ในท่ามกลางวิกฤตมหาอุทกภัย ที่รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มต้นด้วยการประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “เอาอยู่ เอาอยู่” จนกลายเป็นคำล้อเลียนสองแง่สองง่ามของสังคมไทย และผลปรากฏว่า “เอาไม่อยู่” เมื่อมวลน้ำมหาศาลจากภาคเหนือที่ไหลท่วมจังหวัดสุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก ได้ไหลหลากเลยมาท่วมเมืองปากน้ำโพ ชุมทางปิงวังยมน่าน แล้วไหลท่วมจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อุทัยธานี อ่างทอง และลพบุรี เป็นวงกว้าง ก่อนทะลักเข้าท่วมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนมิดเมือง แล้วลุกลามไปท่วมเขตปริมณฑลจังหวัดปทุมธานี และนนทบุรีอย่างสาหัสสากรรจ์
นอกจากบ้านเรือนของราษฎรและห้างร้านบริษัทต่างๆ ที่ถูกน้ำท่วมเสียหาย นิคมอุตสาหกรรมที่รวมของโรงงานหลากหลายเจ็ดนิคม ก็จมน้ำเสียหายยับเยินเกินกว่าแสนล้านบาท
เมื่อสืบค้นหาสาเหตุเริ่มต้นน่าจะมาจากเขื่อนขนาดใหญ่สองแห่งทางภาคเหนือ คือ เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ เก็บกักน้ำไว้ในปริมาณมากเกินควร เมื่อประสบกับพายุโซนร้อนและดีเปรสชันหลายลูก ทำให้ฝนตกเหนือเขื่อนจำนวนมาก จนเกินกว่าเขื่อนทั้งสองจะรับไหว เมื่อน้ำล้นเขื่อนจึงต้องระบายน้ำ ทะลักทลายลงมาวันละหลายสิบล้าน ลบ.ม. ผนวกเข้ากับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ตั้งอยู่ในรอยเขตติดต่อจังหวัดลพบุรีกับสระบุรี ก็มีปริมาณน้ำล้นเขื่อน ต้องระบายออกอย่างฉุกเฉินวันละหลายสิบล้าน ลบ.ม.เช่นเดียวกัน
ซึ่งเหตุแห่งการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญที่กรมชลประทาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องรับผิดชอบชี้แจงแถลงไขต่อสาธารณะให้กระจ่าง เพราะในทางการเมืองแกนนำเสื้อแดงอย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ และหมอเหวง โตจิราการ กำลังออกมาโพนทะนากล่าวหาว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วางแผนกลั่นแกล้งเก็บน้ำไว้ในเขื่อนต่างๆ มากเกินความจำเป็น ทำให้เขื่อนขนาดใหญ่ทั้งสามเขื่อนไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ตามหลักวิชาการที่ถูกต้องของเขื่อนชลประทาน จนเป็นเหตุให้มีมวลน้ำมหาศาลไหลท่วมภาคกลาง และกำลังสร้างความเสียหายถึงใจกลางศูนย์รวมเศรษฐกิจของประเทศ คือ กรุงเทพมหานครที่มีแนวโน้มจะถูกท่วมทั้ง 50 เขต อย่างน่าวิตกกังวล
ข้อกล่าวหาของคนเสื้อแดงที่ลามปามหาเหตุถึงขั้นอ้างอิงชื่อเขื่อนอย่างบัดซบไร้คุณธรรม ได้กลายเป็นวิวาทะที่ตอบโต้กันทางการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งยังหาความกระจ่างไม่ได้ จนกว่ากรมชลประทาน หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เจ้าของเขื่อนจะออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา
อุทกภัยครั้งนี้ เกิดความเสียหายในวงกว้าง นอกจากความเสียหายของนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อด้านการผลิตการลงทุนภาคอุสาหกรรม และแรงงานจำนวนมาก เรือกสวนไร่นา และบ้านเรือนราษฎรที่ถูกน้ำท่วมเสียหายมากมาย ก็ย่อมส่งผลต่อการบริหารจัดการงบประมาณแผ่นดินในอนาคต ที่รัฐบาลจะต้องเยียวยาและฟื้นฟูอย่างมโหฬาร
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่น่าวิตกกังวลกว่า ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ก็คือ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของรัฐบาลนี้ ที่ผิดพลาดบกพร่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันเกิดจากภาวะผู้นำที่ขาดความน่าเชื่อถือ และความไม่เป็นเอกภาพในการทำงาน เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งคนรับผิดชอบใน ศปภ. ที่ผิดฝาผิดตัวไม่ตรงกับความชำนาญการ คือ เอาทหารอากาศมาเป็นฝ่ายเสธ. เอาอดีตอธิบดีประมง อธิบดีกรมป่าไม้มาเป็นฝ่ายปฏิบัติการ และเอาอดีตนายตำรวจมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ทั้งๆ ที่มีคนเชี่ยวชาญและเหมาะสมกว่าแต่ก็ไม่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการ นอกจากนั้นยังมอบให้ ส.ส. และคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งเข้าไปมีบทบาทอำนาจใน ศปภ.จนเกิดกรณี นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก แกนนำเสื้อแดงที่มีตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ตำแหน่งทางการเมืองที่เทียบเท่าข้าราชการประจำแค่ซี 7) ลุแก่อำนาจ ประกาศจะยึดเรือบริจาค โดยทำกร่างว่า คุมกรม ปภ. และใหญ่กว่าอธิบดีกรม ปภ.
ยังมีการมอบอำนาจให้ นายการุณ โหสกุล ส.ส.เสื้อแดง มีอำนาจควบคุมสิ่งของที่รับบริจาคช่วยเหลือน้ำท่วมของ ศปภ.ทุกชนิด จะนำไปช่วยเหลือประชาชนได้ต้องมีลายเซ็นอนุมัติจากนายการุณก่อน
ซึ่งทำให้เกิดการกักตุนสิ่งของบริจาคไว้จ่ายให้เฉพาะ ส.ส.สายคนเสื้อแดง จนเกิดการโวยวายจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนที่มาเบิกสิ่งของไม่ได้ ที่สุดต้องมีคำสั่งใหม่ปลดนายการุณพ้นจาก ศปภ. แต่ก็เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว เมื่อน้ำท่วม ศปภ.แล้วมีผู้สื่อข่าวไปถ่ายคลิปเผยแพร่ว่า มีเรือหลายร้อยลำ และส้วมลอยน้ำจำนวนมาก รวมทั้งน้ำดื่ม และสิ่งของบริจาคอีกมากมายกองพะเนินเทินทึก ส่วนหนึ่งถูกน้ำท่วมเสียหาย สิ่งของจำเป็นเหล่านี้ที่พื้นที่ประสบภัยและผู้ประสบภัยเรียกร้องต้องการแล้วไม่ได้ เพราะถูกคนเสื้อแดงกักตุนไว้ เพื่อให้เฉพาะพวกของตนนี่เอง
แถมเวลานำของบริจาคเหล่านี้ไปช่วยเหลือประชาชน รถที่มารับของบริจาค ก็ยังฉวยโอกาสติดป้ายชื่อ ส.ส.อย่างหน้าไม่อาย และมีบางคนถึงกับสอพลอไปติดป้าย ว่าของบริจาคเหล่านี้มาจากน้ำใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอาสาสมัครที่ไปช่วยเหลือบางคนทนไม่ไหว แอบถ่ายคลิปวิดีโอมาประจานต่อสาธารณะ
นอกจากนั้นยังมีการออกมาเปิดเผยของแกนนำจิตอาสาภาคประชาชน และอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่ง ว่าจะส่งคนที่มีจิตอาสาเข้าไปช่วยเหลือ ศปภ. ก็ถูกสั่งว่า ต้องใส่เสื้อสีแดง ทำให้หลายองค์กรรับไม่ได้และถอนกำลังคนกลับคืนอย่างน่าเสียดาย
ทั้งสิ้นทั้งปวงที่หยิบยกมานี้ เป็นเพียงบางส่วน ยังมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอีกมากมายที่ปะปนอยู่ในการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า เธอรู้เห็นเป็นใจ หรือไร้เดียงสาทางการเมือง จนถูกนักการเมืองรอบข้างและคนเสื้อแดง ต้มยำทำแกงให้เสียรังวัด
ภาพความสับสนอลหม่านของผู้ประสบภัยและการช่วยเหลือที่ไปไม่ทั่วถึง และความล้มเหลวในการปกป้องพื้นที่ต่างๆ ซึ่งยิ่งปกป้องยิ่งขยายความเสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิกฤตจากมหาอุทกภัยครั้งนี้ จึงถือเป็นบททดสอบฝีมือนารีขี่ม้าขาวแล้ว ว่าสอบไม่ผ่าน และหากยังยอมรับฟังคำสั่งพี่ชายดึงดันอยู่ต่อไป อาจถึงขั้น “นารีตกม้า (ขาว) ตาย” ได้ นะจะบอกให้.