ที่จั่วหัวในทางเชิญชวนแบบนี้ นอกจากเป็นความรู้สึกส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่ายังมีผู้คนอีกมากมายและน่าจะเกินครึ่งค่อนประเทศเสียด้วยซ้ำที่มีความคิดเห็นไม่แตกต่าง เพียงแต่ยังไม่มีใครหรือกลุ่มใดริเริ่มทำขึ้นมาก่อน
ความคาดหวังที่ว่าจะให้คนส่วนใหญ่ลุกขึ้นมาทำอะไรพร้อมๆ กัน ในความเป็นจริงแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ในโลกนี้ล้วนริเริ่มจากคนเพียงไม่กี่คน จากนั้นคนส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยและเข้าร่วมจนนำไปสู่การสร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
ตั้งแต่รัฐบาลของระบอบทักษิณชุดใหม่เข้ากุมบังเหียนอำนาจรัฐ อันมีพรรคเพื่อไทยเป็นแก่นแกน และมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี กว่า 3 เดือนที่ได้บริหารประเทศมาล้วนแล้วแต่ปรากฏภาพว่าได้นำพาสังคมไทยเดินเข้าสู่การผจญกับวิกฤตต่างๆ แบบจ่อมจมถลำลึกเข้าไปทุกที เฉพาะวิกฤตมหาอุทกภัยในครั้งนี้ได้บั่นทอนความเชื่อถือของรัฐบาลชนิดดิ่งลงไปใกล้จะกองอยู่ก้นเหว
ผลโพลจากทุกสำนักเป็นที่ประจักษ์แล้ว เมื่อสำทับกับเสียงสวดเซ็งแซ่จากทั่วประเทศเข้าไปอีก ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลงให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปแล้ว
เช่นเดียวกับที่มีกระแสเสียงว่าเป็นรัฐบาลที่สอบตกโดยสิ้นเชิง ในความเห็นผมไม่น่าจะใช่แค่สอบตกเท่านั้น แต่รัฐบาลนี้ไม่สมควรจะผ่านการพิจารณาให้เข้ามานั่งบริหารประเทศตั้งแต่แรกเลย เนื่องเพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถ้าไม่ใช่น้องสาวของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่ถือว่ามีคุณสมบัติใดๆ เข้าเกณฑ์ที่จะได้มานั่งเก้าอี้นายกฯ เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อส่งเสียงเป็นสัญญาณไปให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ว่า รัฐบาลไม่ควรจะหน้าด้านดันทุรังนำพาประเทศไทยไปสู่หนทางแห่งวิกฤตสาหัสสากรรจ์แบบทบเท่าทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
อันที่จริงไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่สมควรถูกไล่ไปให้พ้น เพราะนั่นเป็นวิธีมองสังคมการเมืองไทยแบบเรียลลิตี้เกินไป ถ้าเรามีการประมวลไปสู่อดีตที่ผ่านพ้น รวมถึงคาดการณ์ถึงอนาคตที่จะตามมา แล้วเอามาประกอบขึ้นเป็นมุมมองให้ครอบคลุมครบทุกมิติ แบบให้เห็นป่าได้ทั้งป่า ไม่ใช่มัวแต่ให้ความสนใจกับต้นไม้เพียงต้นเดียวหรือผิวเผินมองแค่ใบไม้ใบเดียว
เราก็จะพบว่า แท้จริงแล้วบรรดานักการเมืองที่ร่วมเล่นเกมอำนาจคือ ตัวการทำลายชาติบ้านเมือง ยิ่งเมื่อพิจารณาให้ลึกก็จะพบว่า ระบบที่ครอบนักการเมืองอยู่นั่นแหละที่มันพิกลพิการ ไม่สอดรับกับสังคมไทยที่เดินหน้าสู่ความเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ณ ห้วงเวลานี้ ผมจึงเห็นว่าสังคมไทยเรามีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดที่จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 2 เรื่องใหญ่ เพื่อให้วิกฤตต่างๆ คลี่คลายโดยเร็ว อีกทั้งจะเป็นหนทางนำพาประเทศชาติให้พัฒนาไปข้างหน้าสู่สิ่งที่ดีกว่าได้
นั่นคือ สังคมไทยต้องปรับรื้อและล้างความเน่าแฟะของ “ระบบการเมือง” ที่เป็นอยู่ และขับไล่บรรดา “นักกินเมือง” (ที่ไม่อยากเรียกว่า นักการเมือง เพราะคนพวกนี้ใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือเข้าไปกินบ้านกินเมืองกันมาอย่างยาวนานจนเกินจะทนทานได้แล้ว) ที่หลงระเริงเหลิงลอยอยู่ในระบบการเมืองน้ำเน่าที่ว่านี้
มีทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจมากและผมคิดว่าอธิบายสังคมไทยดีก็คือ “ทฤษฎีสังคมฝีกลัดหนอง”
หลายสิบปีมาแล้วที่สังคมไทยถูกทำให้เป็นแผลและติดเชื้อประชาธิปไตยแบบไทยๆ จนเกิดเป็นฝีขึ้นมา ที่ผ่านมาเคยมีกลุ่มคนพยายามจะบ่งหนองออกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้เกิดกระบวนการรักษาตัวเองของสังคมไทย โดยเฉพาะพวกชอบใส่รองเท้าบูทสวมเสื้อเขียว แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งลงมือทำอะไรลงไป กลับยิ่งทำให้เกิดภาวะอมเลือดอมหนองมากขึ้นไปเสียทุกครั้ง
สังคมไทยที่ถูกทำให้กลายเป็นฝีกลัดหนองอย่างสมบูรณ์แบบมานานแล้ว เมื่อต้องมาผจญกับระบอบทักษิณที่พยายามเข้าครอบงำให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงในช่วงกว่าทศวรรษมานี้ ถือเป็นห้วงเวลาที่ฝีกลัดหนองได้รับการบ่มดองให้ยิ่งช้ำเลือดช้ำหนองเข้าไปใหญ่ และเป็นไปแบบปูดโปนเปล่งปลั่งใกล้จะผลิแตกอยู่ลอมล่อ ทว่าก็ไม่มีอะไรหรือใครไปทำให้แตกได้ซักกะที
ที่ผ่านมาเคยมีใครมีประสบการณ์คิดฝันไปแบบลมๆ แล้งๆ เหมือนผมบ้างไหมครับ จากช่วงที่ระบอบทักษิณกลืนกินสังคมไทยอยู่อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แรกๆ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลุกขึ้นต่อต้าน เกิดเหตุการณ์ต่างๆ นานาที่เหมือนจะช่วยทำให้ฝีแตก แต่ก็ไม่แตก
ในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่มีประชาชนโห่ร้องยินดี ส่วนผมเองตอนนั้นคิดฝันไปว่าทหารจะช่วยบ่งฝีให้สังคมไทย แต่สุดท้ายหนองเก่าไม่ถูกเอาออก กลับยังทำให้เกิดปัญหาช้ำเลือดช้ำหนองเพิ่มขึ้นเข้าไปอีกจำนวนมาก
การยึดอำนาจครั้งนั้นเกิดขึ้นเพียง 1 วันก่อนที่พันธมิตรฯ นัดรวมพลังทั้งประเทศเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณแบบไม่ชนะไม่เลิกในวันที่ 20 กันยายน 2549 ซึ่งหลายคนยังเชื่อว่าหากทหารไม่เข้าไปยุ่ง ป่านนี้พันธมิตรฯ ได้ทำให้หนองแตกและสังคมไทยได้มีโอกาสรักษาตัวเองไปนานแล้ว
จากนั้นก็ทหารอีกนั่นแหละที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนขั้วอำนาจจากระบอบทักษิณไปสู่ระบอบประชาธิปัตย์ ตอนนั้นเชื่อว่าผู้คนจำนวนมากในสังคมวาดหวังว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะทำหน้าที่บ่งเอาฝีกลัดหนองที่สุดจะระบมบ่มทุกข์มานานออกให้ ทว่ากว่า 2 ปีที่ครองอำนาจแทบจะไม่เห็นแม้เพียงช่วยการเยียวยาความเจ็บปวดให้ทุเลา
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจก็ไม่ควรจะสูญสิ้นซึ่งความหวัง ในวันที่สังคมไทยต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยเช่นนี้ ผมจึงยังอยากที่จะหวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้น่าจะช่วยทำให้ฝีกลัดหนองอันแสนจะร้าวระบมในสังคมไทยได้มีโอกาสแตกเสียที เสมือนให้มวลน้ำมหาศาลที่ไหลบ่าเข้าท่วมกว่าครึ่งค่อนประเทศล้างเอาความช้ำเลือดช้ำหนองออกไปให้หมดจากประเทศไทยด้วย
ผมเองอยากให้สิ่งที่ฝันเกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะถ้าฝีกลัดหนองในสังคมไทยไม่แตกช่วงนี้ หลังน้ำท่วมน่าจะนำไปสู่วิกฤตใหม่มากมาย ไม่ว่าจะในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ซึ่งมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาชี้แล้วว่า มีทางเป็นไปได้ที่วิกฤตการณ์ต่างๆ จะกลายไปสู่การเกิดสงครามประชาชนในที่สุด
ต้นสัปดาห์มานี้มีความเคลื่อนไหวของกองทัพน่าสนใจมากคือ การออกมาชำแหละรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าแก้ปัญหาน้ำท่วมล้มเหลวสิ้นเชิง โดยโยนเหตุผลออกมาจากเวทีระดมความเห็นของนายทหารระดับสูงให้สังคมพิจารณา 12 ข้อ ซึ่งต้องนับว่าล้วนเป็นข้อกล่าวหาฉกาจฉกรรจ์ และเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ก็ออกมายอมรับแล้ว
ต่อกรณีนี้มีเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานา แต่สำหรับผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า แท้จริงแล้วนั่นคือการโยนหินถามทางของบรรดาขุนทหารหรือเปล่า?!
ขอสรุปความฝันไว้ตรงนี้ดังๆ ว่า ด้วยใจจริงผมไม่อยากเห็นทหารฉวยโอกาสเกิดอุทกภัยขับรถถังเข้ายึดอำนาจรัฐ แต่ผมอยากเห็นพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะสวมเสื้อสีอะไร ซึ่งได้ถูกทำให้ตื่นตัวทางการเมืองและฝันว่าสังคมไทยจะปกครองโดยระบอบธรรมาธิปไตย จะได้ออกมารวมตัวร่วมกันทำอะไรสักอย่าง โดยมีทหารชักแถวให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
เวลานี้ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรกันดี ผมว่าน่าจะเริ่มจากคนกลุ่มเล็กๆ นัดแนะชักชวนกันทำกิจกรรมด้วยการตีเกราะเคาะไม้ หรือใครที่มีถ้วยชามกะละมังหม้อไหที่ไม่ใช้แล้วหรือเสียหายจากน้ำท่วมก็เอามาเคาะส่งเสียงให้ดังๆ เพื่อให้สังคมไทยและผู้คนในต่างประเทศได้ยิน ส่วนจะวันไหน เวลาไหนดี แล้วแต่จะพิจารณากัน
เมื่อทหารส่งสัญญาณมาต้นสัปดาห์ ประชาชนก็ควรจะรับช่วงปลายสัปดาห์ในวันศุกร์นี้ที่มีตัวเลขแสนสวยคือ 11/11/11 และก็เอาเวลา 11.11 น. เป็นจุดเริ่มต้นกิจกรรมด้วยจะดีไหม
เนื่องเพราะอย่างน้อยเราก็ได้แสดงออกเพื่อลดความอึดอัดขัดข้องหมองขุนที่สุมหัวใจอยู่ ณ เวลานี้ไปได้บ้าง
ความคาดหวังที่ว่าจะให้คนส่วนใหญ่ลุกขึ้นมาทำอะไรพร้อมๆ กัน ในความเป็นจริงแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ในโลกนี้ล้วนริเริ่มจากคนเพียงไม่กี่คน จากนั้นคนส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยและเข้าร่วมจนนำไปสู่การสร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
ตั้งแต่รัฐบาลของระบอบทักษิณชุดใหม่เข้ากุมบังเหียนอำนาจรัฐ อันมีพรรคเพื่อไทยเป็นแก่นแกน และมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี กว่า 3 เดือนที่ได้บริหารประเทศมาล้วนแล้วแต่ปรากฏภาพว่าได้นำพาสังคมไทยเดินเข้าสู่การผจญกับวิกฤตต่างๆ แบบจ่อมจมถลำลึกเข้าไปทุกที เฉพาะวิกฤตมหาอุทกภัยในครั้งนี้ได้บั่นทอนความเชื่อถือของรัฐบาลชนิดดิ่งลงไปใกล้จะกองอยู่ก้นเหว
ผลโพลจากทุกสำนักเป็นที่ประจักษ์แล้ว เมื่อสำทับกับเสียงสวดเซ็งแซ่จากทั่วประเทศเข้าไปอีก ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลงให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปแล้ว
เช่นเดียวกับที่มีกระแสเสียงว่าเป็นรัฐบาลที่สอบตกโดยสิ้นเชิง ในความเห็นผมไม่น่าจะใช่แค่สอบตกเท่านั้น แต่รัฐบาลนี้ไม่สมควรจะผ่านการพิจารณาให้เข้ามานั่งบริหารประเทศตั้งแต่แรกเลย เนื่องเพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถ้าไม่ใช่น้องสาวของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่ถือว่ามีคุณสมบัติใดๆ เข้าเกณฑ์ที่จะได้มานั่งเก้าอี้นายกฯ เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อส่งเสียงเป็นสัญญาณไปให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ว่า รัฐบาลไม่ควรจะหน้าด้านดันทุรังนำพาประเทศไทยไปสู่หนทางแห่งวิกฤตสาหัสสากรรจ์แบบทบเท่าทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
อันที่จริงไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่สมควรถูกไล่ไปให้พ้น เพราะนั่นเป็นวิธีมองสังคมการเมืองไทยแบบเรียลลิตี้เกินไป ถ้าเรามีการประมวลไปสู่อดีตที่ผ่านพ้น รวมถึงคาดการณ์ถึงอนาคตที่จะตามมา แล้วเอามาประกอบขึ้นเป็นมุมมองให้ครอบคลุมครบทุกมิติ แบบให้เห็นป่าได้ทั้งป่า ไม่ใช่มัวแต่ให้ความสนใจกับต้นไม้เพียงต้นเดียวหรือผิวเผินมองแค่ใบไม้ใบเดียว
เราก็จะพบว่า แท้จริงแล้วบรรดานักการเมืองที่ร่วมเล่นเกมอำนาจคือ ตัวการทำลายชาติบ้านเมือง ยิ่งเมื่อพิจารณาให้ลึกก็จะพบว่า ระบบที่ครอบนักการเมืองอยู่นั่นแหละที่มันพิกลพิการ ไม่สอดรับกับสังคมไทยที่เดินหน้าสู่ความเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ณ ห้วงเวลานี้ ผมจึงเห็นว่าสังคมไทยเรามีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดที่จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 2 เรื่องใหญ่ เพื่อให้วิกฤตต่างๆ คลี่คลายโดยเร็ว อีกทั้งจะเป็นหนทางนำพาประเทศชาติให้พัฒนาไปข้างหน้าสู่สิ่งที่ดีกว่าได้
นั่นคือ สังคมไทยต้องปรับรื้อและล้างความเน่าแฟะของ “ระบบการเมือง” ที่เป็นอยู่ และขับไล่บรรดา “นักกินเมือง” (ที่ไม่อยากเรียกว่า นักการเมือง เพราะคนพวกนี้ใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือเข้าไปกินบ้านกินเมืองกันมาอย่างยาวนานจนเกินจะทนทานได้แล้ว) ที่หลงระเริงเหลิงลอยอยู่ในระบบการเมืองน้ำเน่าที่ว่านี้
มีทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจมากและผมคิดว่าอธิบายสังคมไทยดีก็คือ “ทฤษฎีสังคมฝีกลัดหนอง”
หลายสิบปีมาแล้วที่สังคมไทยถูกทำให้เป็นแผลและติดเชื้อประชาธิปไตยแบบไทยๆ จนเกิดเป็นฝีขึ้นมา ที่ผ่านมาเคยมีกลุ่มคนพยายามจะบ่งหนองออกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้เกิดกระบวนการรักษาตัวเองของสังคมไทย โดยเฉพาะพวกชอบใส่รองเท้าบูทสวมเสื้อเขียว แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งลงมือทำอะไรลงไป กลับยิ่งทำให้เกิดภาวะอมเลือดอมหนองมากขึ้นไปเสียทุกครั้ง
สังคมไทยที่ถูกทำให้กลายเป็นฝีกลัดหนองอย่างสมบูรณ์แบบมานานแล้ว เมื่อต้องมาผจญกับระบอบทักษิณที่พยายามเข้าครอบงำให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงในช่วงกว่าทศวรรษมานี้ ถือเป็นห้วงเวลาที่ฝีกลัดหนองได้รับการบ่มดองให้ยิ่งช้ำเลือดช้ำหนองเข้าไปใหญ่ และเป็นไปแบบปูดโปนเปล่งปลั่งใกล้จะผลิแตกอยู่ลอมล่อ ทว่าก็ไม่มีอะไรหรือใครไปทำให้แตกได้ซักกะที
ที่ผ่านมาเคยมีใครมีประสบการณ์คิดฝันไปแบบลมๆ แล้งๆ เหมือนผมบ้างไหมครับ จากช่วงที่ระบอบทักษิณกลืนกินสังคมไทยอยู่อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แรกๆ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลุกขึ้นต่อต้าน เกิดเหตุการณ์ต่างๆ นานาที่เหมือนจะช่วยทำให้ฝีแตก แต่ก็ไม่แตก
ในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่มีประชาชนโห่ร้องยินดี ส่วนผมเองตอนนั้นคิดฝันไปว่าทหารจะช่วยบ่งฝีให้สังคมไทย แต่สุดท้ายหนองเก่าไม่ถูกเอาออก กลับยังทำให้เกิดปัญหาช้ำเลือดช้ำหนองเพิ่มขึ้นเข้าไปอีกจำนวนมาก
การยึดอำนาจครั้งนั้นเกิดขึ้นเพียง 1 วันก่อนที่พันธมิตรฯ นัดรวมพลังทั้งประเทศเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณแบบไม่ชนะไม่เลิกในวันที่ 20 กันยายน 2549 ซึ่งหลายคนยังเชื่อว่าหากทหารไม่เข้าไปยุ่ง ป่านนี้พันธมิตรฯ ได้ทำให้หนองแตกและสังคมไทยได้มีโอกาสรักษาตัวเองไปนานแล้ว
จากนั้นก็ทหารอีกนั่นแหละที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนขั้วอำนาจจากระบอบทักษิณไปสู่ระบอบประชาธิปัตย์ ตอนนั้นเชื่อว่าผู้คนจำนวนมากในสังคมวาดหวังว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะทำหน้าที่บ่งเอาฝีกลัดหนองที่สุดจะระบมบ่มทุกข์มานานออกให้ ทว่ากว่า 2 ปีที่ครองอำนาจแทบจะไม่เห็นแม้เพียงช่วยการเยียวยาความเจ็บปวดให้ทุเลา
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจก็ไม่ควรจะสูญสิ้นซึ่งความหวัง ในวันที่สังคมไทยต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยเช่นนี้ ผมจึงยังอยากที่จะหวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้น่าจะช่วยทำให้ฝีกลัดหนองอันแสนจะร้าวระบมในสังคมไทยได้มีโอกาสแตกเสียที เสมือนให้มวลน้ำมหาศาลที่ไหลบ่าเข้าท่วมกว่าครึ่งค่อนประเทศล้างเอาความช้ำเลือดช้ำหนองออกไปให้หมดจากประเทศไทยด้วย
ผมเองอยากให้สิ่งที่ฝันเกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะถ้าฝีกลัดหนองในสังคมไทยไม่แตกช่วงนี้ หลังน้ำท่วมน่าจะนำไปสู่วิกฤตใหม่มากมาย ไม่ว่าจะในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ซึ่งมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาชี้แล้วว่า มีทางเป็นไปได้ที่วิกฤตการณ์ต่างๆ จะกลายไปสู่การเกิดสงครามประชาชนในที่สุด
ต้นสัปดาห์มานี้มีความเคลื่อนไหวของกองทัพน่าสนใจมากคือ การออกมาชำแหละรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าแก้ปัญหาน้ำท่วมล้มเหลวสิ้นเชิง โดยโยนเหตุผลออกมาจากเวทีระดมความเห็นของนายทหารระดับสูงให้สังคมพิจารณา 12 ข้อ ซึ่งต้องนับว่าล้วนเป็นข้อกล่าวหาฉกาจฉกรรจ์ และเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ก็ออกมายอมรับแล้ว
ต่อกรณีนี้มีเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานา แต่สำหรับผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า แท้จริงแล้วนั่นคือการโยนหินถามทางของบรรดาขุนทหารหรือเปล่า?!
ขอสรุปความฝันไว้ตรงนี้ดังๆ ว่า ด้วยใจจริงผมไม่อยากเห็นทหารฉวยโอกาสเกิดอุทกภัยขับรถถังเข้ายึดอำนาจรัฐ แต่ผมอยากเห็นพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะสวมเสื้อสีอะไร ซึ่งได้ถูกทำให้ตื่นตัวทางการเมืองและฝันว่าสังคมไทยจะปกครองโดยระบอบธรรมาธิปไตย จะได้ออกมารวมตัวร่วมกันทำอะไรสักอย่าง โดยมีทหารชักแถวให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
เวลานี้ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรกันดี ผมว่าน่าจะเริ่มจากคนกลุ่มเล็กๆ นัดแนะชักชวนกันทำกิจกรรมด้วยการตีเกราะเคาะไม้ หรือใครที่มีถ้วยชามกะละมังหม้อไหที่ไม่ใช้แล้วหรือเสียหายจากน้ำท่วมก็เอามาเคาะส่งเสียงให้ดังๆ เพื่อให้สังคมไทยและผู้คนในต่างประเทศได้ยิน ส่วนจะวันไหน เวลาไหนดี แล้วแต่จะพิจารณากัน
เมื่อทหารส่งสัญญาณมาต้นสัปดาห์ ประชาชนก็ควรจะรับช่วงปลายสัปดาห์ในวันศุกร์นี้ที่มีตัวเลขแสนสวยคือ 11/11/11 และก็เอาเวลา 11.11 น. เป็นจุดเริ่มต้นกิจกรรมด้วยจะดีไหม
เนื่องเพราะอย่างน้อยเราก็ได้แสดงออกเพื่อลดความอึดอัดขัดข้องหมองขุนที่สุมหัวใจอยู่ ณ เวลานี้ไปได้บ้าง