xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ปูแดง”ขว้างงูไม่พ้นคอ โบ้ยเขื่อนต้นเหตุอุทกภัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กราฟแสดงการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพล ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -มหาภัยพิบัติน้ำท่วมสร้างความอึดอัดทรมานในจิตใจของประชาชนทั้งประเทศมานานแรมเดือน แต่ขณะเดียวกัน นักการเมืองไม่ว่ารัฐบาล-ฝ่ายค้าน ยังคงโยนความผิดกันไปมา ไม่จบไม่สิ้น

โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า ใครกันแน่ที่เป็นต้นเหตุของอภิมหาอุทกภัยครั้งนี้ ซึ่งทุกฝ่ายต่างพุ่งไปที่การปล่อยน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ในภาคเหนือ ลงสู่พื้นที่ตอนล่าง ซึ่งมีการปล่อยในอัตราที่มากกว่าปกติ ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมที่ผ่านมา แทนที่จะทยอยระบายออก เพื่อไม่ให้มีมวลน้ำก้อนใหญ่ไหลลงไปท่วมพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลซึ่งเป็นทางออกสู่ทะเล

ประเด็นการเก็บกักในน้ำในเขื่อนถูกจุดขึ้นมาโดยฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งมีการแพร่กระจายข่าวกันในเครือข่ายสังคมอินเทอร์เน็ตว่า กรมชลประทานได้ปกปิดข้อมูลการเก็บกักน้ำ ทำให้รัฐบาลวางแผนการจัดการน้ำไม่ถูก

ต่อมา วันที่ 24 ตุลาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นครั้งแรกว่า ปัญหาน้ำท่วมเป็นเพราะเขื่อนเก็บกักน้ำที่เกิดจากพายุถึง 4 ลูก “โดยปกติแล้วเจอพายุลูกหนึ่งก็จะถูกระบายผ่านเขื่อน และมีช่วงพักในการระบายน้ำ แต่วันนี้ไม่ใช่ เจอลูกหนึ่งก็เก็บไว้ๆ และเจออีกหลายลูกก็ยังเก็บต่ออีกกลายเป็นปริมาณที่สะสมมาถึง 4 ลูก ถือเป็นภัยพิบัติที่รอบประเทศเพื่อนบ้านเราก็เจอ ก็เลยเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ”

ถึงแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะไม่ได้กล่าวโทษรัฐบาลชุดก่อนโดยตรง แต่โดยนัยก็ย่อมมองออกว่า รัฐบาลชุดนี้พยายามปัดสวะให้พ้นตัว เป็นการหาแพะมารับบาป กรณีที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอุทกภัยครั้งนี้ได้ จนสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับพื้นที่การเกษตร อุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย และกิจการร้านค้าต่างๆ และส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง และนั่นย่อมจะส่งผลต่อคะแนนเสียงของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลอยู่ขณะนี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม การกล่าวโทษพรรคประชาธิปัตย์แบบเต็มๆ มาจากสื่อในเครื่อข่ายของรัฐบาลเอง เมื่อหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ ได้ตีพิมพ์เรื่องจากปกในหัวข้อ “2 เขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู! บทพิสูจน์น้ำ “หมื่นล้านคิว” มาจากไหน? ใครวางยา?”โดยชี้ว่า น้ำจำนวนมหาศาลเป็นหมื่นๆ ล้านลูกบาศก์เมตรในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการบริหารน้ำในเขื่อนสำคัญคือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ นั่นเอง

ในรายงานอ้างว่า ปกติเขื่อนภูมิพล จะต้องมีระดับความจุเก็บกักน้ำต่ำสุด คือ 3,800 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ความจุเก็บกักน้ำต่ำสุดคือ 2,850 ล้าน ลบ.ม. แต่ในปีนี้ ทั้ง 2 เขื่อนเกิดความวิตกในเรื่องภัยแล้งมากจนเกินเหตุ จึงไม่มีการพร่องน้ำเอาไว้เลย ทำให้ในช่วงเดือน พฤษภาคม มิถุนายน จนถึงกรกฎาคม น้ำในเขื่อนถูกเก็บกักเอาไว้สูงขึ้น ประกอบกับในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมมีการเลือกตั้ง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลรักษาการอยู่ จนถึงวันที่ 9 สิงหาคม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งในวันที่ 13 สิงหาคม เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ มีความจุน้ำพุ่งขึ้นไปถึง 8,400 ล้าน ลบ.ม.แล้ว ทำให้เมื่อเจอกับพายุเข้า 3-4 ลูกติดๆ กัน น้ำในเขื่อนใหญ่ทั้ง 2 จึงขยับขึ้นมาเต็มเขื่อนอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำในเขื่อนสิริกิติ์แตะระดับ 9,500 ล้าน ลบ.ม.และเขื่อนภูมิพลแตะ 13,500 ล้าน ลบ.ม.ในต้นเดือนกันยายน จึงทำให้เขื่อนต้องเร่งระบายน้ำ และกลายเป็นมวลน้ำจำนวนมหึมาที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั่นเอง และกลายเป็นโศกนาฏกรรมใหญ่ในครั้งนี้

พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าวทันที โดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า นี่เป็นการกลบเกลื่อนความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายกว่า 2 แสนล้านบาท มีคนตกงานกว่า 2 ล้านคน และย้ำว่า วันที่ 10 สิงหาคม ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ปริมาณน้ำในเขื่อนประมาณ 9 พันล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 66% ของความจุเขื่อน และมีแนวโน้มว่าพายุจะเข้า ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งระบายน้ำจากเขื่อนโดยเร็ว แต่เป็นเพราะมีโครงการจำนำข้าวทำให้เกรงว่าปล่อยน้ำแล้วจะกระทบนาข้าวจนไม่มีผลผลิตไปจำนำ จึงไม่มีการระบายน้ำ กระทั่งปริมาณน้ำไต่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ที่นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการบางระกำโมเดลแก้ปัญหาน้ำท่วม ปริมาณน้ำในเขื่อนสูงกว่า 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรแล้ว แต่การระบายน้ำออกจากเขื่อนกลับทำเหมือนอยู่ในภาวะปกติ คือ 40 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และเริ่มระบายน้ำจำนวนมากในช่วงต้นเดือนตุลาคม คือ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดังนั้นรัฐบาลจะโทษรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ได้

ขณะที่ นายเจ๊ะอามิง โต๊ะตาหยง รมช.มหาดไทยเงาพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าในช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์จะพร่องน้ำจากเขื่อนเมื่อระดับน้ำสูงไม่เกิน 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร แต่ทำไมรัฐบาลชุดนี้กับปล่อยให้ระดับน้ำสูง 1.3 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรค่อยปล่อยน้ำ ถือว่าเกินระดับที่เขื่อนจะรับไหว เท่ากับตั้งใจให้เกิดน้ำท่วมใช่หรือไม่

ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ย้ำว่าน้ำในเขื่อนมีปริมาณสูงขึ้นในช่วงการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ แต่กลับไม่มีการระบายน้ำอย่างที่ควรจะทำ โดยนำคำสัมภาษณ์ของนายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ ในวันที่ 5 กันยายน ที่มีคำสั่งให้ชะลอการระบายน้ำในเขื่อนภูมิพล เพื่อให้ชาวนาในพื้นที่เขตลุ่มเจ้าพระยาเก็บเกี่ยวข้าวได้เสร็จก่อน มายืนยัน

ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลการปล่อยน้ำของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ได้ทำคำชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า การบริหารจัดการน้ำทั้ง 2 เขื่อน เป็นไปตาม “เกณฑ์ควบคุมระดับน้ำ” (Rule Curve) โดยในปี 2554 นี้ ช่วงพฤษภาคม ปริมาณน้ำยังอยู่ในระดับต่ำ แต่หลังจากนั้น มีพายุเข้ามา 5 ลูก จึงต้องช่วยเก็บน้ำปริมาณมากช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน ซึ่งมีการระบายน้ำเพียงวันละ 30-40 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อบรรเทาน้ำท่วมภาคกลาง แต่หลังจากนั้นต้องเร่งระบายน้ำออกช่วงปลาย ก.ย.-ต.ค.เมื่อน้ำใกล้เต็มความจุของอ่าง หรืออยู่เลยเส้นเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำตัวบน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนและอาคารประกอบ

จากข้อมูลทั้งหมด ชี้ชัดว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เข้ามาบริหารประเทศอย่างเต็มตัวแล้ว และเริ่มเห็นสัญญาณปัญหาน้ำท่วมแล้วในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ประกอบกับมีพายุเข้ามาเพิ่มปริมาณน้ำฝนอย่างต่อเนื่อง น่าจะสั่งให้เร่งระบายน้ำไว้แต้เนิ่นๆ

แต่ในช่วงนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับชะล่าใจ จะด้วยสาเหตุใดก็สุดแท้แต่ ทว่าในช่วงนั้น รัฐบาลก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามัวแต่จะไปสร้างสัมพันธ์กับกัมพูชาตามคำสั่งของใครบางคน จนลืมชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม เพราะฉะนั้น การโยนความผิดไปที่การเก็บกักน้ำของเขื่อนทั้งสองแห่ง จึงเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงตอกย้ำว่าเป็นความผิดผิดพลาดของรัฐบาลที่ไม่สั่งให้ระบายน้ำ หลังจากน้ำในเขื่อนเพิ่มขึ้นมากในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน
กำลังโหลดความคิดเห็น