ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ยืนยันว่า ศปภ.จะเป็นหน่วยงานสุดท้ายที่จะย้ายออกจากจุดนี้ ที่สำคัญเรายังมีผู้อพยพที่ยังต้องขนย้ายไปในที่ที่ปลอดภัย”
นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนได้ฟังแล้วก็รู้สึก “อุ่นใจ” ว่าอย่างไรเสียรัฐบาลก็จะปักหลักทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และที่สำคัญรัฐบาลจะไม่มีวันทอดทิ้งประชาชน
แต่พอถึงเวลาคับขัน น้ำไหลทะลักเข้ามาใน ศปภ.ดอนเมือง (คล้อยหลังคำประกาศอันขึงขังเพียงไม่กี่วัน) รัฐบาลโดยการนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็รีบเผ่นหนีเอาตัวรอด ทอดทิ้งประชาชนหน้าตาเฉย โดยย้ายศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง มาปักหลักที่อาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน ริม ถ.วิภาวดีฯ อย่างน่าเกลียดที่สุด
เพราะนั่นสะท้อนให้เห็นถึง “ความไม่จริงใจ” ต่อประชาชนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และศปภ. ซึ่งแทนที่จะแสดงให้เห็นถึง “ภาวะผู้นำ” และรัฐบาลที่จะปกป้องคุ้มครองดูแลประชาชนจนถึงวินาทีสุดท้าย หรือจนกว่าประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สนามบินดอนเมืองจะได้รับการอพยพออกจากศูนย์พักพิงไปอย่างปลอดภัยจนหมดสิ้นแล้ว แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และศปภ.กลับหนี “หัวซุกหัวซุน” เอาตัวรอด ทอดทิ้งผู้ประสบภัยตาดำๆ กว่า 600 คน ซึ่งมีทั้งคนชรา คนป่วย และเด็ก ให้อยู่ในความมืดเพราะถูกตัดน้ำ ตัดไฟ และหิวโซ เนื่องจากไม่มีอาหารประทังชีวิต
นอกจาก “ลอยแพประชาชน” ให้เผชิญชะตากรรมกับน้ำท่วมอย่างไม่สนใจไยดีแล้ว รัฐบาลและศปภ. ยังทิ้งสิ่งของบริจาคลอยเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด และที่จมน้ำก็มีเป็นจำนวนมาก ทั้งเสื้อผ้า อาหาร น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ จนภาพน้ำดื่มบรรจุขวด กองถุงยังชีพ เรือพลาสติก เรือติดเครื่องยนต์ และสุขาลอยน้ำที่ได้รับบริจาคจากประเทศญี่ปุ่นแปะสติ๊กเกอร์ JAPAN อีกนับร้อยห้องที่ถูกทิ้งให้จมน้ำอยู่ในตัวอาคาร ถูกนำไปแพร่ประจานในสังคมออนไลน์ทั้ง “ทวิตเตอร์-เฟซบุ๊ก-ยูทูบ” จนเป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก
ทั้งนี้ ยังมีรายงานข่าวอีกด้วยว่า นอกจากสิ่งของที่ได้รับการบริจาคจากภาคส่วนต่างๆ แล้ว ศปภ.ยังได้นำเงินบริจาคส่วนหนึ่งไปจัดซื้อถุงยังชีพในราคาถุงละ 500 บาทอีกเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ถึงมือผู้ประสบภัย กลายเป็น “ซาก” ประจานรัฐบาล และเป็น “สุสาน” ธารน้ำใจของ “ผู้ให้” ที่ไปไม่ถึงมือ “ผู้รับ”
ยังไม่นับเครื่องกรองน้ำจากประเทศเกาหลีที่อุตส่าห์ส่งมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยถึง 150 เครื่อง ก็เจียดไปได้เพียง 8 เครื่อง เพื่อนำไปติดตั้งตามจุดที่ชาวบ้านเดือดร้อน ส่วนที่เหลือ 142 เครื่อง อันตรธานหายไปกับ “ไอ้ปื๊ด” เสื้อมีสี
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ภัยพิบัติยังไม่ผ่านพ้นไป แต่ความ “อัปยศอดสู” ของรัฐบาลชุดนี้กลับผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนราวกับ “น้ำเน่า” ที่ผุดขึ้นมาตามท่อระบายน้ำ โดยหลังจากทำเรื่องที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่งแล้ว รัฐบาลและศปภ. ก็พยายามกลบเกลื่อนและทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายหลักฐานที่ประจานความ “เหลวแหลก” ของตัวเอง
แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคง ได้ให้ข้อมูลกับ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ว่า ทหารได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ไปทำลายหลักฐานของบริจาคที่ถูกทิ้งที่ “ศปภ.ดอนเมือง” โดยให้เอารถยีเอ็มซีชนกระจกเข้าไปเอาเสื้อผ้าที่จมน้ำไปทิ้ง โดยส่วนหนึ่งถูกนำไปทิ้งในที่ดินว่างเปล่า แถวเมเจอร์ ย่านปากเกร็ด อีกส่วนหนึ่งนำไปทิ้งที่ จ.กาญจนบุรี
ทั้งนี้ เนื่องจากขณะที่เข้าไปทำลายหลักฐานได้มีผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสตามเข้าไปสังเกตการณ์ ทหารจึงจัดการได้เฉพาะเสื้อผ้า โดยอ้างกับผู้สื่อข่าวว่าเป็นเสื้อผ้าเก่าที่ใช้แล้วที่ได้รับบริจาคจึงยังไม่ได้นำไปแยก ทำให้ขนย้ายไม่ทัน ส่วนของบริจาคอื่นๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม ถุงยังชีพ ซึ่งอยู่ในคลังสินค้าอาคารเทอร์มินอล 1 ทหารยังไม่สามารถลำเลียงขนย้ายออกมาได้ เนื่องจากจะเป็นที่ผิดสังเกต จึงได้ทำการปิดคลังสินค้าดังกล่าวโดยล็อกกุญแจไว้อย่างแน่นหนาหลายชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สื่อหรือบุคคลภายนอกเข้าไปบันทึกภาพ
“ของบริจาคทั้งของสดและของแห้งในอาคารเทอร์มินอล 1 ลอยอืดเกลื่อนกระจายเต็มไปหมด เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่สิ่งของบริจาคจำนวนมากเหล่านี้ไม่ได้รับการเหลียวแลและส่งให้ถึงมือผู้ประสบภัยที่เดือดร้อน” แหล่งข่าวระบุ
เช่นเดียวกับกรณีของ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ดารานักแสดง ที่กล่าวถึงพฤติกรรมอันน่าอดสูของศปภ. ว่า ก่อนหน้านี้ได้ขอของบริจาคเพื่อจะนำไปแจกจ่ายผู้ประสบภัย แต่ศปภ.ไม่ยอมให้ แต่ล่าสุด ศปภ.แจ้งให้มาเก็บของบริจาคที่ดอนเมืองออกไปช่วยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม
“ผมได้รับแจ้งมาแล้ว แต่ขอบอกว่าผมจะเอาแค่ส้วมไปเท่านั้น ส่วนของบริจาคอื่นๆ ที่ศปภ.เก็บไว้ทั้งหมด ทั้งน้ำดื่ม เสื้อผ้า ฯลฯ นั้น ทางมูลนิธิร่วมกตัญญูจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างเด็ดขาด”
ทั้งนี้ สาเหตุที่เอาแต่ส้วมไปเพราะประชาชนเดือดร้อนในเรื่องทำธุระส่วนตัว โดยจะนำไปแจกจ่ายยังพื้นที่ประสบภัย เช่น บางกรวย บางบัวทอง ไทรน้อย หมู่บ้านชลลดา
“เข้าใจดีว่าทำไม ศปภ. ถึงอยากให้พวกผมเข้าไปเอาของบริจาค เพราะต้องการให้ของเหล่านี้พ้นหูพ้นตานักข่าวและประชาชน จะได้ไม่ต้องถูกต่อว่า แต่ผมไม่สนใจ ผมสนใจแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่ทางศปภ.จะจัดการอย่างไรกันเอง เพราะก่อนหน้านี้เราเคยขอของบริจาคไป 2-3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ โทรศัพท์ไปไม่เคยรับ พอเรื่องแดงขึ้นมา จะให้ผมไปขนของออกมา ผมไม่เอา” บิณฑ์ ให้ความเห็น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความจริงแล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้โดน “วางยา” อย่างที่คนในพรรคเพื่อไทยออกมากล่าวหา โยนความผิดให้คนอื่นเพื่อหา “แพะรับบาป” ต่อความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล แต่เป็นเพราะรัฐบาลโดยการนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ง่อยเปลี้ยเสียขา “ไม่มีน้ำยา” ในการวางแผนรับมือน้ำท่วมมาตั้งแต่ต้น จนเหตุการณ์บานปลายกลายเป็นวิกฤตใหญ่ลุกลามไปในหลายพื้นที่ของประเทศ หนำซ้ำยังปล่อยให้พวก “เหลือบไร” ในพรรคเพื่อไทยก่อพฤติกรรม “เลว” ซ้ำเติมความทุกข์ยากของชาวบ้านอย่างไม่หยุดหย่อน
ทั้งนี้ การที่ “นายกฯยิ่งลักษณ์” พยายามออกมาสร้างภาพกลบเกลื่อนความล้มเหลวของรัฐบาลที่สร้าง “หายนะ” ให้แก่ประเทศชาติและประชาชน โดยการป่าวประกาศแก่ชาวกรุงเทพฯว่า หลังจากนี้เป็นต้นไปวิกฤตมหาอุทกภัยจะคลี่คลายลงตามลำดับ เนื่องจากพ้นช่วงน้ำทะเลหนุนสูงในวันที่ 31 ต.ค. และน้ำเหนือที่ไหลบ่ามาโอบล้อมเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้ก็ลดปริมาณลงแล้ว
แต่การตีกินโดยการสร้างวิมานในอากาศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เข้าใจวิกฤตน้ำอย่างลึกซึ้งดีพอ ก็อาจทำให้หน้าแตกเป็นรอบที่ร้อย เพราะการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่าน้ำเหนือที่โอบล้อมเมืองหลวงอ่อนแรงลงแล้ว ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับนั้น มันตรงกันข้ามกับคำให้สัมภาษณ์ของ “ธีระ วงศ์สมุทร” รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ชี้ว่า น้ำทะเลหนุนสูงสุดไม่ใช่สิ้นสุดแค่ วันที่ 31 ต.ค. แต่ต้องจับตาอีกช่วงหนึ่งคือกลางเดือน พ.ย.นี้ ที่จะมีน้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง ขณะที่น้ำเหนือที่ไหลบ่ามาสมทบกับน้ำที่ท่วมทุ่งโอบล้อมกทม.อยู่ในขณะนี้ ยังเป็นแค่ทัพน้ำส่วนหน้าซึ่งมีปริมาณน้ำแค่ 4,000 กว่าล้านลูกบาศก์เมตร แต่ยังมีทัพหลวงที่มีปริมาณน้ำมหาศาลอีกราว 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรอโจมตีเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้
แล้วจะให้ประชาชนเชื่อมั่นในตัวผู้นำและรัฐบาลได้อย่างไร ในเมื่อแม้แต่ข้อมูลของนายกฯยิ่งลักษณ์ และรมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็ยังไม่ตรงกัน โดยเฉพาะตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่มาจนถึงวันนี้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอไม่มีภาวะผู้นำ ขาดความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศ และไร้ซึ่งวิสัยทัศน์และสติปัญญาในการทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่างๆ บ่อยครั้งประชาชนจึงเห็นการบีบน้ำตาแทนการใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติและประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่บ้านเมืองเผชิญกับวิกฤตการณ์ร้ายแรง อย่างที่ประสบพบเจอกันอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประชาชนกำลังเผชิญกับ “ทุกข์หนัก” ประเทศชาติเสียหายยับเยินเนื่องจากวิกฤตอุทกภัย แต่คนในรัฐบาลอย่าง “พิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พลังงาน กลับไม่รู้จักกาลเทศะว่าอะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง ด้วยการคิดจะถลุงเงินของประเทศ โดยเสนอแผนฟื้นฟูประเทศที่ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษเสียโก้หรู ซึ่งไม่รู้เป็นภาษาพ่อภาษาแม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า "นิวไทยแลนด์" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน นิวไทยแลนด์ รัฐไทยใหม่ สมใจ “พี่แม้ว” หน้า 12) ด้วยการถลุงงบประมาณ แผ่นดินถึง 8 แสนล้านบาท เพื่อเนรมิตประเทศไทยให้กลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิม
โดยหาได้สำเหนียกไม่ว่า ขณะนี้ประชาชนต้องการแค่ความปลอดภัย ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่เพียงพอในการดำรงชีวิตในภาวะวิกฤต และที่สำคัญเขาต้องการแค่ให้รัฐบาลมีความตั้งใจ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาวิกฤตให้ผ่านพ้นไปให้ได้ในเร็ววัน เขาไม่ต้องการ “เมกะโปรเจ็กต์” หรือสวรรค์วิมานอะไรทั้งนั้นในตอนนี้
และในขณะที่ประชาชนกำลังเผชิญกับ “ทุกข์หนัก” ประเทศชาติเสียหายยับเยินเนื่องจากวิกฤตอุทกภัย ก็ยังมีพวก ส.ส. พรรคเพื่อไทย กเฬวรากทั้งหลายที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไม่ว่าจะเป็น นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดง ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินหน้าผลักดันให้ตั้งคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อปูทางไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อฟอกโทษความผิดให้กับ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่หนีคุกของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ได้ประจานให้เห็นถึงความอัปยศ “ห่วยแตก” และสมองอันกลวงเปล่าของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างชัดเจน เพราะในสถานการณ์ที่ “ล้มเหลว” ของการแก้ปัญหา สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังกระเสือกกระสนทำอยู่ในตอนนี้ก็คือการตีกิน สร้างภาพ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ปล่อยให้พวก “หัวโจกคนเสื้อแดง” ที่เป็นส.ส.พรรคเพื่อไทยเดินหน้าพยายามมุ่งแก้รัฐธรรมนูญเพื่อช่วยพี่ชายนายใหญ่
และว่างๆ ก็ยังมีพวก “เปรตขอส่วนบุญ” มาคอยฉวยโอกาสเบียดบังสิ่งของบริจาคช่วยผู้ประสบอุทกภัย ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยแปะป้ายชื่อตัวเอง และชื่อของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ด้วยความห่วงใย นักโทษหนีคุกที่อยู่ดูไบ อีกต่างหาก
และมาจนถึงวันนี้ ไม่บอกก็เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า ความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ ศปภ. ลดต่ำลงแทบเหลือ “ศูนย์” จากเดิมที่คิดว่าจะเป็นผู้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่า “รัฐบาลและศปภ.” กลายเป็นผู้ประสบภัย และ “เป็นภาระ” ให้สังคมเสียเอง เพราะตั้งแต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไล่ลงมาจนถึงตัวประธานศูนย์ศปภ. “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” บอกได้เลยว่าคนพวกนี้หมดสภาพแล้ว “โดยสิ้นเชิง”
และบอกได้คำเดียวว่า “กาก” มาก!