“โจกแดง”จิตหลอน กุเรื่องทหารใช้“น้ำท่วม”ปฏิวัติ

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ชัดเจนว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัวแทนเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เก่งกาจในเรื่องการบริหารจัดการอย่างคำโฆษณาแต่ประการใด

ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ยังไม่มีมาตรการใดของรัฐบาลชุดนี้ที่แก้ปัญหาได้เป็นชิ้นเป็นอัน เริ่มตั้งแต่ “บางระกำโมเดล” ซึ่งเป็นรูปแบบการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ที่จะใช้เป็นแม่แบบในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ แต่กลับมีข่าวการทุจริตของข้าราชการที่เรียกเก็บค่าหัวคิวเงินชดเชยจากผู้ประสบภัย รวมทั้งการแจกจ่ายสิ่งของที่ไม่มีคุณภาพให้แก่ชาวบ้าน จนเวลาล่วงเลยมา 5 เดือนเศษ สถานการณ์ที่บางระกำก็ยังไม่คลี่คลาย ชาวบ้านจำนวนมากยังติดต่อกับภายนอกไม่ได้ การจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายก็ยังไม่คืบหน้า

เมื่อมวลน้ำขยับลงมาพื้นที่ด้านล่าง รัฐบาลก็ไม่สามารถป้องกันความเสียหายไว้ได้เลย ไล่มาตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ ที่ตัวเมืองจมอยู่ใต้น้ำนานนับเดือนมาแล้ว ลงมาถึงตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา จนบ้านเรือนประชาชนและโบราณสถานอายุหลายร้อยปีที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกต้องจมน้ำได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด

เท่านั้นยังไม่พอ กระแสน้ำได้ไหลบ่าเข้าท่วมในแหล่งอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ สหรัตนะนคร บางหว้า(ไฮเทค) และนิคมบางปะอิน ลามไปถึงนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ในจังหวัดปทุมธานี สร้างความเสียหายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมมูลค่าหลายแสนล้านบาท และคนงานหลายแสนคนตกงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้จีดีพีหดหายกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ และรัฐบาลต้องกู้เงินหลายแสนล้านบาทมาฟื้นฟูประเทศ

ทั้งที่ ก่อนน้ำเข้าท่วมนิคมฯ ดังกล่าว รัฐบาลโดยศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ย้ำนักย้ำหนาว่า สามารถกันน้ำอยู่ นอกจากนี้ ยังเห็นความไร้ประสิทธิภาพของ ศปภ.ในการให้ข้อมูลแก่สาธารณชน ทั้งในแง่ความไม่เป็นระบบในการแถลงข่าว และข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัยจะนำไปใช้ประโยชน์ได้

สิ่งที่ผู้บริหารสวนอุตสาหกรรมบางกะดีบอกกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ที่ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม กรณีที่ไม่ได้รับข้อมูลจาก ศปภ.เลย รวมทั้งกรณีที่ปริมาณน้ำที่กรมชลประทานรายงานไม่ตรงกับปริมาณน้ำที่แท้จริง ย่อมสะท้อนอีกปัญหาในการรับมือวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้

รวมทั้งกรณีน้ำทะลักจากย่านรังสิตไหลเข้าคลองประปา ซึ่งชาวบ้านได้แจ้ง ศปภ.ตั้งแต่เช้าวันที่ 19 ตุลาคมฯ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ไปดูแล จนกระทั่งถึงเช้ามืดวันที่ 20 ตุลาคมฯ น้ำได้ล้นคลองประปาไหลออกมาเจิ่งนองตามท้องถนน จนประชาชนแตกตื่น ศปภ.ค่อยมาแถลงเตือนให้ประชาชนเตรียมอพยพ

ขณะเดียวกัน ยังพบว่า ศปภ.แถลงข่าวมั่วหลายครั้ง เช่น กรณีให้ประชาชนรีบอพยพ หลังจากประตูระบายน้ำบ้านพร้าวแตก หรือ การประกาศพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินใน 7 เขตของกรุงเทพมหานคร สะท้อนถึงการทำงานที่ขาดการประสานกับหน่วยงานต้นเรื่อง

มาตรการจัดการกับน้ำที่เห็นเป็นรูปธรรมมีเพียงปฏิบัติการ “เรือดันน้ำ” ที่นำเรือมาเปิดเครื่องยนต์หมุนใบพัดให้น้ำไหลลงทะเลเร็วกว่าปกติ แต่การใช้เรือเพียง 1 พันลำในแม่น้ำเจ้าพระยา ระยะทางจากจังหวัดนนทบุรี ถึงปากน้ำ จ.สมุทปราการ และใช้อีก 100 ลำในแม่น้ำท่าจีน กับอีก 100 กว่าลำในแม่น้ำบางปะกง ก็ไม่ได้ส่งผลในการเพิ่มอัตราการไหลของน้ำแต่อย่างใด เนื่องจากจำนวนเรือมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับความกว้างและระยะทางของแม่น้ำ ซ้ำยังดำเนินการเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

ปฏิบัติการ “เรือดันน้ำ”จึงเป็นเพียงการสร้างภาพ เพื่อที่จะบอกว่ารัฐบาลได้พยายามทำเต็มที่แล้ว

ความล้มเหลวที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ก็ทำให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอยู่แล้ว แต่แกนนำคนเสื้อแดง ที่เป็นฐานมวลชนของพรรคเพื่อไทย ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลยิ่ง ตกต่ำลงไปอีก เมื่อยังคงเดินเกมทำลายฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วยนายใหญ่อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติกำลังประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่อยู่

ในช่วงที่คนไทยทั้งประเทศกำลังระทมทุกข์จากภัยน้ำท่วมนั้น แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กลับพานายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเดินสายเยี่ยมคนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกด้วยคดีเผาบ้านเผาเมืองระหว่างการชุมนุมปี 2553 โดยอ้างว่าเพื่อหาข้อมูลฟ้องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งที่นายโรเบิร์ต ตกเป็นผู้ต้องหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีเขียนหนังสือชื่อ “สังหารหมู่ที่ กทม.”แต่กลับเดินทางไปไหนมาไหนในประเทศไทยได้อย่างลอยนวล
มิหนำซ้ำนายโรเบิร์ตยังไปร่วมแถลงข่าวกับแกนนำคนเสื้อแดง สนับสนุนให้แก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกลาโหม และเหิมเกริมกล่าวหาว่ามีมือที่มองไม่เห็นขัดขวางการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

เท่านั้นยังไม่พอ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส. พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ยังได้ให้นายโรเบิร์ตเข้าประชุมในวาระการพิจารณาเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งนายโรเบิรต์ได้ฉวยโอกาส กล่าวหาว่าระบบยุติธรรมไทยไม่ได้มาตรฐาน กรณีการจับกุมคุมขังคนเสื้อแดง

พฤติการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้คะแนนเสียงของรัฐบาลจมดิ่งลงลึกยิ่งขึ้น ในฐานะที่คนเสื้อแดงก็เป็นขาหนึ่งของรัฐบาล แทนที่จะไปให้การช่วยเหลือประชาชนที่ถูกน้ำท่วม กลับมาพาฝรั่งหัวแดงมาจุดไฟเผาประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของนายใหญ่ตัวเอง

การแถลงข่าวเรื่อง “อุทกภัยร้ายแรง 2554” ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว ของแกนนำคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม จึงเป็นความพยาพยามแก้เกี้ยว เพื่อเรียกคะแนนกลับ แต่ก็ไม่วาย เล่นลูกไม้เดิมๆ นั่นคือการโยนความชั่วให้ฝ่ายตรงข้าม

นายจตุพร พรหมพันธุ์ โบ้ยไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่า อย่านำวิกฤตน้ำท่วมมาเป็นเกมการเมืองเพื่อให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ และกล่าวหาว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนให้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในการแก้วิกฤติน้ำท่วมก็เพื่อใช้เป็นโอกาสกล่าวหาว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีความสามารถ จากนั้นก็ให้ทหารดำเนินการโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์

ขณะที่นายแพทย์ เหวง โตจิราการ อ้างว่าการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิต์ช่วงปี 2552 – 2554 แตกต่างกัน เพื่อที่จะโยนความผิดไปให้ฝ่ายข้าราชการประจำว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในรัฐบาลชุดนี้

อย่างไรก็ตาม คำแถลงของแกนนำคนเสื้อแดง ถูกมองว่าเป็นอาการของพวกจิตหลอน สร้างจินตนาการเรื่องการปฏิวัติ เพื่อหวังผลเรียกเรตติ้งให้ตัวเอง เพราะบทบาทของแกนนำคนเสื้อแดงในพรรคเพื่อไทยปัจจุบันตกต่ำลงมาก ยิ่งในสถานการณ์ที่รัฐบาลกำลังเจอวิกฤติน้ำท่วม คนเสื้อแดงกลับไม่มีบทบาทในการเข้ามาช่วยเหลืออะไรเลย

รวมทั้งเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อทำลายกองทัพซึ่งทุ่มเทกำลังพลลงไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จนผลสำรวจพบว่า ประชาชนพึงพอใจการทำงานของทหารมากกว่า ศปภ.เสียอีก

การออกมาแถลงข่าวของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่พยายามโยนผิดไปให้คนอื่น จึงไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายทางการเมือง ด้วยการกระโจนลงไปในมวลน้ำก่อนใหญ่ที่กำลังท่วมประเทศอยู่ขณะนี้