ผมไม่รู้จะพูดถึงเรื่องอะไรก่อนดีในภาวะบ้านเมืองวิกฤตแบบนี้
เอเอสทีวี จอดับ น้ำท่วม หรือกระบวนการที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
แต่ผมมานั่งคิดอีกทีทั้งหมดก็เป็นเรื่องเดียวกัน
ว่าด้วยเอเอสทีวีสำหรับพวกผมแล้วรับรู้มาตลอดว่า วันหนึ่งเหตุการณ์นี้ต้องมาถึง เพราะคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้านายของผมนั้นแบกรับภาระที่หนักอึ้งมาตลอดหลายปีที่สู้กับระบอบทักษิณ พวกเราวงในเท่านั้นที่รับรู้สัมผัสด้วยจิตแม้คุณสนธิจะไม่เคยร้องออกมา
แล้วมันก็มาถึงจริงๆ เขื่อนมันควรจะแตกตั้งนานแล้ว แต่การยืนหยัดที่จะต่อสู้ท่ามกลางเสียงครหาต่างๆ นานาว่า วันนี้สนธิไม่สู้แล้วด่าประชาธิปัตย์เพราะรับเงินทักษิณมา แม้คำพูดเหล่านี้จะเหมือนสวะในสายน้ำ มันบั่นทอนทั้งกำลังกายและใจเหมือนกับการปิดกั้นเส้นทางน้ำไม่ให้ไหลไปได้อย่างราบรื่น แต่เราก็อดทนต่อสู้และฝ่าฟันไป
วันนี้เอเอสทีวีจอดับแล้ว วันก่อนคุณสนธิเรียกระดับหัวหน้างานมาคุย พลันที่คุณสนธิเดินเข้ามาในห้องประชุมไฟก็ดับวูบลง ในห้องมืดทุกคนนั่งเงียบ สักครู่ไฟก็สว่างขึ้น คุณสนธิผายมือสองข้างไปยังลูกน้องที่นั่งรออยู่แล้วบอกว่า
“เป็นไงมันดับได้ก็สว่างได้ใช่ไหม”
การต่อสู้ของเอเอสทีวีระยะหลายปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากเกลียดเราเพราะเราเป็นอย่างที่เราเป็น มีคนจำนวนมากรักเราเพราะเราเป็นอย่างที่เราเป็น
วิกฤตของเอเอสทีวีที่มาพร้อมกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก มันเป็นผลพวงที่เกี่ยวพันกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงหลายปีมานี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้กระทั่งการทำงานต่อสู้กับวิกฤตน้ำท่วมของรัฐบาลชุดนี้ ผมประหลาดใจมากที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับเช้าวันที่ 19 ตุลาคม พาดหัวว่า “คนไม่เชื่อถือชี้ ศปภ.ห่วย ออกข่าวสับสน” เพราะมันชัดเจนที่สุดสำหรับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้จากหนังสือพิมพ์ที่เชียร์รัฐบาลชุดนี้มาตลอด
เราต่อสู้เผชิญวิกฤตเพราะเราไม่ได้นิ่งดูดายให้นักการเมืองกระทำต่อประเทศของเราอย่างไรก็ได้ ถ้าทุกคนทำหน้าที่สื่อมวลชน ทำหน้าที่ ประชาชนทำหน้าที่ นักการเมือง ทำหน้าที่ เราก็คงไม่ต้องเหนื่อยที่จะแบกรับประเทศไว้คนเดียว
วันนี้อาจมีคนคิดว่าเราพ่ายแพ้ คนเสื้อแดงประกาศชัยชนะเปลี่ยนแม้กระทั่งพระพรหมบนทำเนียบรัฐบาลให้เป็นสีแดง แต่นั่นก็ช่างเถอะ ผมคิดว่า การเกิดขึ้นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้วนำมาสู่การเกิดขึ้นของ นปช.มันเป็นพัฒนาการที่มีความหวังว่า ประชาชนจะไม่นิ่งเฉยต่อการเมืองอีกต่อไป
นั่นแปลว่า เรายังไม่ได้พ่ายแพ้หรอก แต่เป็นชัยชนะของเราที่จุดประกายให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับนักการเมือง เพียงแต่ว่าวันนี้ เราต่างเป็นเรา เขาต่างเป็นเขา ต่างคนต่างก็แบกรับชุดความคิดและอุดมการณ์ของตัวเอง
รอวันแต่ว่า ประชาชนทั้งสองกลุ่มจะเรียนรู้กติกาของระบอบประชาธิปไตย เคารพสิทธิ ความเห็นต่าง อุดมการณ์ที่แตกต่างกันและต่อสู้กันบนวิถีของวิญญูชน (ผมพูดถึงนัยนี้เพราะนึกถึงภาพไฟที่ลามบ้านเมือง และคุณค่าของคนที่เสียชีวิตไม่ว่าฝ่ายเขาและฝ่ายเรา)
วิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นผมคิดว่า อย่างน้อยประชาชนก็คงได้เรียนรู้ว่า อนาคตของประเทศอยู่ในมือของเรา เราเลือกผู้นำแบบไหน นักการเมืองแบบไหน ผลลัพธ์มันก็สะท้อนกลับมายังเราแบบนั้น
ผมคิดว่าคนเสื้อแดงก็เห็นผลงานของรัฐบาลของเขาแล้ว และทำให้ผมนึกถึงภาษิตจีนในภาวะน้ำเชี่ยวกรากว่า น้ำทำให้เรือลอยได้ ก็ทำให้เรือจมได้เช่นกัน
ก่อนที่เอเอสทีวีจะจอดับ คุณสนธิประกาศแล้วว่า เราจะไม่แบกรับชะตากรรมของประเทศไว้ฝ่ายเดียวอีกต่อไป ผมคิดว่าก็ดีเหมือนกันเพราะว่า บางคนกล่าวหาว่าเราผูกขาดความรักชาติ ก็ปล่อยให้เขารับผลด้วยวิธีการรักชาติแบบเขาไปบ้าง อุดมการณ์ต่อชาติบ้านเมืองของเราไม่ได้เปลี่ยน แต่เราจะไม่แบกรับปัญหามันไว้ฝ่ายเดียว และปล่อยให้ใครใช้เราเป็นเครื่องมือเพื่อก้าวไปสู่อำนาจอีกต่อไป
แบกไว้มันหนัก ปล่อยวางสิถึงเบาสบาย และถึงปล่อยวางเราก็ยังมีลมหายใจมีชีวิต นั่นก็คือเรายังต่อสู้ไม่ได้ท้อถอย เพียงแต่เราเรียนรู้จากชะตากรรมที่เราได้รับมาและใช้เป็นบทเรียนสอนใจ ทบทวนตัวเอง และคิดให้มากขึ้น
การต่อสู้ของเรานั้นถูกกล่าวหาว่าต่อสู้เพื่ออำมาตย์ ทั้งที่จริงแล้วปฐมบทการต่อสู้ของเราคือ การต่อสู้กับนักการเมือง เพื่อความถูกต้อง เพื่อความเป็นธรรม ซึ่งเป็นกติกาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้วว่า ประชาชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะขับไล่รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม แต่บางคนคิดว่า รัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นคือ ความชอบธรรม แต่สำหรับผมแล้วพฤติกรรมของรัฐบาลต่างหากที่จะตัดสินความชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม
แต่ไม่มีใครรับรู้ว่าความจริงแล้ว พันธมิตรฯ เองก็มองเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นของบ้านเมือง มองเห็นปัญหาของบ้านเมืองที่ซึ่งผมคิดว่าไม่แตกต่างกับที่ปัญญาชนของคนเสื้อแดงเห็น รู้ว่าอะไรคือปัญหา อะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปไปตามกาลเวลา อะไรที่ควรรักษาให้ดำรงอยู่และต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคม แต่ว่าวิธีการต่างกันและเราเห็นว่า ปัญหาใหญ่สุดคือ นักการเมืองและนี่คือที่มาที่เราต้องโหวตโนเพื่อปฏิเสธนักการเมืองทุกฝ่าย
ผมเพิ่งอ่านแถลงการณ์ของนิติราษฎร์ฉบับล่าสุด สะดุดกับเนื้อหาตอนหนึ่งว่าคนที่วิจารณ์คณะนิติราษฎร์นั้น “ส่วนใหญ่มุ่งประเด็นไปยังเรื่อง “การลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549” ซึ่งปรากฏข้อวิจารณ์อย่างอึกทึกครึกโครม ทั้งที่ยังมีข้อเสนออีกหลายประการในคำแถลงการณ์”
ผมว่า คำพูดนี้ยิ่งเป็นคำพูดที่บิดและตะแบงของพวกนิติราษฎร์อีกครั้ง
ประเด็นง่ายๆ ที่จะตอบก็คือ ก็ไม่มีใครสงสัยหรอกครับต่อข้อเสนอที่ควรจะมีประกาศแนวทางต่อต้านการรัฐประหารในอนาคต ไม่มีใครสงสัยเรื่องที่จะทำให้บ้านเมืองของเราเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ถ้าจะสงสัยอยู่บ้างก็คือ นัยที่นิติราษฎร์ต้องการนั้นหวังให้เกิดขึ้นแบบผลลัพธ์หลัง “คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง 1789” ของฝรั่งเศสหรือไม่
ถ้าสงสัยอยู่บ้างก็คือ ประชาธิปไตยของคณะนิติราษฎร์เป็นประชาธิปไตยแบบไหน แบบทุนสามานย์ที่คนอเมริกันกำลังลุกขึ้นสู้ เพราะผลประโยชน์ตกอยู่กับคน 1% ประชาธิปไตยแบบเกาหลีเหนือที่ปูสืบทอดอำนาจสัก 8 ปีแล้วต่อด้วยพานทองแท้สัก 8 ปี ประชาธิปไตยแบบลีกวนยู ลีเซียงลุง
แต่ที่เขาสงสัยเรื่องผลการลบล้างรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็เพราะเห็นว่า ที่ได้ประโยชน์มีเพียงระบอบทักษิณ และคำแก้ตัวของนิติราษฎร์เรื่องนี้เป็นไปแบบถูๆ ไถๆ
ผมต้องพูดเรื่องนี้เพราะจุดเริ่มการต่อสู้ของเอเอสทีวีคือการโค่นล้มระบอบทักษิณ
เอเอสทีวีกลายเป็นทีวีการเมืองไปแล้วแบบไม่ต้องสงสัย เราไม่เคยนิ่งเฉยต่อความเห็นต่างที่เราคิดว่าจะชักนำพาบ้านเมืองไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เราลุกขึ้นต่อสู้ แต่แล้วเราก็ถูกกระแสการเมืองที่เชี่ยวกรากพัดพาให้เราโดดเดี่ยว
วันนี้เราจอดับ แต่มีดับแล้วก็มีสว่าง ไม่ว่ายืนอยู่ท่ามกลางความมืดและความสว่างอุดมการณ์ของเราก็ไม่แตกต่างกัน การต่อสู้เรายังไม่สิ้นสุดเพราะเรายังมีลมหายใจ
เอเอสทีวี จอดับ น้ำท่วม หรือกระบวนการที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
แต่ผมมานั่งคิดอีกทีทั้งหมดก็เป็นเรื่องเดียวกัน
ว่าด้วยเอเอสทีวีสำหรับพวกผมแล้วรับรู้มาตลอดว่า วันหนึ่งเหตุการณ์นี้ต้องมาถึง เพราะคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้านายของผมนั้นแบกรับภาระที่หนักอึ้งมาตลอดหลายปีที่สู้กับระบอบทักษิณ พวกเราวงในเท่านั้นที่รับรู้สัมผัสด้วยจิตแม้คุณสนธิจะไม่เคยร้องออกมา
แล้วมันก็มาถึงจริงๆ เขื่อนมันควรจะแตกตั้งนานแล้ว แต่การยืนหยัดที่จะต่อสู้ท่ามกลางเสียงครหาต่างๆ นานาว่า วันนี้สนธิไม่สู้แล้วด่าประชาธิปัตย์เพราะรับเงินทักษิณมา แม้คำพูดเหล่านี้จะเหมือนสวะในสายน้ำ มันบั่นทอนทั้งกำลังกายและใจเหมือนกับการปิดกั้นเส้นทางน้ำไม่ให้ไหลไปได้อย่างราบรื่น แต่เราก็อดทนต่อสู้และฝ่าฟันไป
วันนี้เอเอสทีวีจอดับแล้ว วันก่อนคุณสนธิเรียกระดับหัวหน้างานมาคุย พลันที่คุณสนธิเดินเข้ามาในห้องประชุมไฟก็ดับวูบลง ในห้องมืดทุกคนนั่งเงียบ สักครู่ไฟก็สว่างขึ้น คุณสนธิผายมือสองข้างไปยังลูกน้องที่นั่งรออยู่แล้วบอกว่า
“เป็นไงมันดับได้ก็สว่างได้ใช่ไหม”
การต่อสู้ของเอเอสทีวีระยะหลายปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากเกลียดเราเพราะเราเป็นอย่างที่เราเป็น มีคนจำนวนมากรักเราเพราะเราเป็นอย่างที่เราเป็น
วิกฤตของเอเอสทีวีที่มาพร้อมกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก มันเป็นผลพวงที่เกี่ยวพันกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงหลายปีมานี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้กระทั่งการทำงานต่อสู้กับวิกฤตน้ำท่วมของรัฐบาลชุดนี้ ผมประหลาดใจมากที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับเช้าวันที่ 19 ตุลาคม พาดหัวว่า “คนไม่เชื่อถือชี้ ศปภ.ห่วย ออกข่าวสับสน” เพราะมันชัดเจนที่สุดสำหรับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้จากหนังสือพิมพ์ที่เชียร์รัฐบาลชุดนี้มาตลอด
เราต่อสู้เผชิญวิกฤตเพราะเราไม่ได้นิ่งดูดายให้นักการเมืองกระทำต่อประเทศของเราอย่างไรก็ได้ ถ้าทุกคนทำหน้าที่สื่อมวลชน ทำหน้าที่ ประชาชนทำหน้าที่ นักการเมือง ทำหน้าที่ เราก็คงไม่ต้องเหนื่อยที่จะแบกรับประเทศไว้คนเดียว
วันนี้อาจมีคนคิดว่าเราพ่ายแพ้ คนเสื้อแดงประกาศชัยชนะเปลี่ยนแม้กระทั่งพระพรหมบนทำเนียบรัฐบาลให้เป็นสีแดง แต่นั่นก็ช่างเถอะ ผมคิดว่า การเกิดขึ้นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้วนำมาสู่การเกิดขึ้นของ นปช.มันเป็นพัฒนาการที่มีความหวังว่า ประชาชนจะไม่นิ่งเฉยต่อการเมืองอีกต่อไป
นั่นแปลว่า เรายังไม่ได้พ่ายแพ้หรอก แต่เป็นชัยชนะของเราที่จุดประกายให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับนักการเมือง เพียงแต่ว่าวันนี้ เราต่างเป็นเรา เขาต่างเป็นเขา ต่างคนต่างก็แบกรับชุดความคิดและอุดมการณ์ของตัวเอง
รอวันแต่ว่า ประชาชนทั้งสองกลุ่มจะเรียนรู้กติกาของระบอบประชาธิปไตย เคารพสิทธิ ความเห็นต่าง อุดมการณ์ที่แตกต่างกันและต่อสู้กันบนวิถีของวิญญูชน (ผมพูดถึงนัยนี้เพราะนึกถึงภาพไฟที่ลามบ้านเมือง และคุณค่าของคนที่เสียชีวิตไม่ว่าฝ่ายเขาและฝ่ายเรา)
วิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นผมคิดว่า อย่างน้อยประชาชนก็คงได้เรียนรู้ว่า อนาคตของประเทศอยู่ในมือของเรา เราเลือกผู้นำแบบไหน นักการเมืองแบบไหน ผลลัพธ์มันก็สะท้อนกลับมายังเราแบบนั้น
ผมคิดว่าคนเสื้อแดงก็เห็นผลงานของรัฐบาลของเขาแล้ว และทำให้ผมนึกถึงภาษิตจีนในภาวะน้ำเชี่ยวกรากว่า น้ำทำให้เรือลอยได้ ก็ทำให้เรือจมได้เช่นกัน
ก่อนที่เอเอสทีวีจะจอดับ คุณสนธิประกาศแล้วว่า เราจะไม่แบกรับชะตากรรมของประเทศไว้ฝ่ายเดียวอีกต่อไป ผมคิดว่าก็ดีเหมือนกันเพราะว่า บางคนกล่าวหาว่าเราผูกขาดความรักชาติ ก็ปล่อยให้เขารับผลด้วยวิธีการรักชาติแบบเขาไปบ้าง อุดมการณ์ต่อชาติบ้านเมืองของเราไม่ได้เปลี่ยน แต่เราจะไม่แบกรับปัญหามันไว้ฝ่ายเดียว และปล่อยให้ใครใช้เราเป็นเครื่องมือเพื่อก้าวไปสู่อำนาจอีกต่อไป
แบกไว้มันหนัก ปล่อยวางสิถึงเบาสบาย และถึงปล่อยวางเราก็ยังมีลมหายใจมีชีวิต นั่นก็คือเรายังต่อสู้ไม่ได้ท้อถอย เพียงแต่เราเรียนรู้จากชะตากรรมที่เราได้รับมาและใช้เป็นบทเรียนสอนใจ ทบทวนตัวเอง และคิดให้มากขึ้น
การต่อสู้ของเรานั้นถูกกล่าวหาว่าต่อสู้เพื่ออำมาตย์ ทั้งที่จริงแล้วปฐมบทการต่อสู้ของเราคือ การต่อสู้กับนักการเมือง เพื่อความถูกต้อง เพื่อความเป็นธรรม ซึ่งเป็นกติกาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้วว่า ประชาชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะขับไล่รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม แต่บางคนคิดว่า รัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นคือ ความชอบธรรม แต่สำหรับผมแล้วพฤติกรรมของรัฐบาลต่างหากที่จะตัดสินความชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม
แต่ไม่มีใครรับรู้ว่าความจริงแล้ว พันธมิตรฯ เองก็มองเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นของบ้านเมือง มองเห็นปัญหาของบ้านเมืองที่ซึ่งผมคิดว่าไม่แตกต่างกับที่ปัญญาชนของคนเสื้อแดงเห็น รู้ว่าอะไรคือปัญหา อะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปไปตามกาลเวลา อะไรที่ควรรักษาให้ดำรงอยู่และต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคม แต่ว่าวิธีการต่างกันและเราเห็นว่า ปัญหาใหญ่สุดคือ นักการเมืองและนี่คือที่มาที่เราต้องโหวตโนเพื่อปฏิเสธนักการเมืองทุกฝ่าย
ผมเพิ่งอ่านแถลงการณ์ของนิติราษฎร์ฉบับล่าสุด สะดุดกับเนื้อหาตอนหนึ่งว่าคนที่วิจารณ์คณะนิติราษฎร์นั้น “ส่วนใหญ่มุ่งประเด็นไปยังเรื่อง “การลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549” ซึ่งปรากฏข้อวิจารณ์อย่างอึกทึกครึกโครม ทั้งที่ยังมีข้อเสนออีกหลายประการในคำแถลงการณ์”
ผมว่า คำพูดนี้ยิ่งเป็นคำพูดที่บิดและตะแบงของพวกนิติราษฎร์อีกครั้ง
ประเด็นง่ายๆ ที่จะตอบก็คือ ก็ไม่มีใครสงสัยหรอกครับต่อข้อเสนอที่ควรจะมีประกาศแนวทางต่อต้านการรัฐประหารในอนาคต ไม่มีใครสงสัยเรื่องที่จะทำให้บ้านเมืองของเราเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ถ้าจะสงสัยอยู่บ้างก็คือ นัยที่นิติราษฎร์ต้องการนั้นหวังให้เกิดขึ้นแบบผลลัพธ์หลัง “คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง 1789” ของฝรั่งเศสหรือไม่
ถ้าสงสัยอยู่บ้างก็คือ ประชาธิปไตยของคณะนิติราษฎร์เป็นประชาธิปไตยแบบไหน แบบทุนสามานย์ที่คนอเมริกันกำลังลุกขึ้นสู้ เพราะผลประโยชน์ตกอยู่กับคน 1% ประชาธิปไตยแบบเกาหลีเหนือที่ปูสืบทอดอำนาจสัก 8 ปีแล้วต่อด้วยพานทองแท้สัก 8 ปี ประชาธิปไตยแบบลีกวนยู ลีเซียงลุง
แต่ที่เขาสงสัยเรื่องผลการลบล้างรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็เพราะเห็นว่า ที่ได้ประโยชน์มีเพียงระบอบทักษิณ และคำแก้ตัวของนิติราษฎร์เรื่องนี้เป็นไปแบบถูๆ ไถๆ
ผมต้องพูดเรื่องนี้เพราะจุดเริ่มการต่อสู้ของเอเอสทีวีคือการโค่นล้มระบอบทักษิณ
เอเอสทีวีกลายเป็นทีวีการเมืองไปแล้วแบบไม่ต้องสงสัย เราไม่เคยนิ่งเฉยต่อความเห็นต่างที่เราคิดว่าจะชักนำพาบ้านเมืองไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เราลุกขึ้นต่อสู้ แต่แล้วเราก็ถูกกระแสการเมืองที่เชี่ยวกรากพัดพาให้เราโดดเดี่ยว
วันนี้เราจอดับ แต่มีดับแล้วก็มีสว่าง ไม่ว่ายืนอยู่ท่ามกลางความมืดและความสว่างอุดมการณ์ของเราก็ไม่แตกต่างกัน การต่อสู้เรายังไม่สิ้นสุดเพราะเรายังมีลมหายใจ