ในขณะที่ประชาชนค่อนประเทศกำลังลอยคอในน้ำรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดูเหมือนว่าคนเป็นผู้นำประเทศจะมิได้ทำให้เกิดความหวังกับขจัดทุกข์ของประชาชน
เราจึงเห็นรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤตมหันตภัยน้ำครั้งนี้ด้วยการสาละวนอยู่กับการ มั่วข้อมูล เทอดทูนนายกฯ ตลกร้ายรายวัน ปั้นตัวเลขน้ำ ซ้ำเติมวิกฤติ คาดผิดตลอดเวลา ฯลฯ
นี่คือภาพเหนือน้ำที่เรามองเห็น แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือ ภายใต้วิกฤตการณ์น้ำท่วมทั่วประเทศ เกิดอาเพทไปทั้งแผ่นดินคราวนี้ นายกฯยิ่งลักษณ์กลับแข็งแกร่งอย่างยิ่งในการซุกขยะไว้ใต้น้ำ ซ่อนกลผลประโยชน์พี่ชายและพรรคพวกในภาวะชุลมุนของสังคมอย่างแยบยล โดยที่ผู้คนไม่ทันได้ตรวจสอบ
คนส่วนใหญ่คงลืมไปแล้วว่า มีกฎหมายที่ค้างการพิจารณาในสภาที่รอให้รัฐบาลยืนยันภายใน 60 วันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไปถึง 295 ฉบับ
หากรัฐบาลไม่ยืนยันกฎหมายเหล่านั้นก็จะตกไปทันที
ซึ่งในช่วงที่คนไทยพุ่งความสนใจที่สถานการณ์น้ำที่รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการจนถึงขั้นเรียก่า "ล้มเหลว" นั้น
การทำงานด้านกฎหมายเพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้องกลับมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งเพราะรัฐบาลเลือกที่จะยืนยันกฎหมายค้างการพิจารณาในสภาเพียง 24 ฉบับ โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นกฎหมายมะโนสาเร่ที่ไม่สลักสำคัญอันใดนักต่อการส่งผลในเชิงปฏิรูปประเทศลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้ง ๆ ที่เป็นประเด็นเรียกร้องสำคัญที่ใช้เป็นข้ออ้างให้แดงเผาเมือง
ที่น่าสนใจคือกฎหมายที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ที่ คณิต ณ นคร เป็นประธาน ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภาเพื่อให้ประสานกับคณะรัฐมนตรียืนยันกฎหมายสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนรวม 26 ฉบับ กลับไม่ได้รับการแยแสชายตามองจากนายกฯปูแดงอย่างที่ควรจะเป็น
ตัวอย่างกฎหมายที่รัฐบาลชุดนี้ปล่อยให้ตกไป อาทิ ร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ร่างพระราขบัญญัติคณะกรรมกาคปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
จะเห็นได้ว่ากฎหมายที่รัฐบาลปล่อยให้ตกไปข้างต้น สะท้อนชัดถึงการมีวาระซ่อนเร้นในการบริหารประเทศ ขาดความจริงใจที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคม
และจะมีผลทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในกติกาของประเทศไทย จนตัดสินใจย้ายฐานการผลิตหนีภัยธรรมชาติและกติกาที่ยุ่งเหยิงไปได้ง่าย ๆ
การที่รัฐบาลปล่อยให้ร่างพระราชบัญญัติองค์กาคอิสระด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ตกไป ทั้ง ๆ ที่เป็นกฎหมายที่ต้องอนุวัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2 ซึ่งมีความจำเป็นต้องประกาศให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วเพื่อจัดระเบียบอุตสาหกรรมให้อยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างสมดุล หลังเกิดปัญหาสะเทือนวงการอุตสาหกรรมไปก่อนหน้านี้จากคำพิพากษาของศาลปกครอง เป็นเหตุให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเกิดความไม่มั่นใจในกติกาของประเทศไทย จนมีข่าวว่าจะย้ายฐานการผลิตออกมาอยู่ตลอด
นอกจากปัญหาภัยพิบัติที่รัฐอ่อนด้อยในการบริหารจัดการที่มีน้ำหนักมากพอจะทำให้นักลงทุนต่างชาติทิ้งประเทศไทยแล้ว ความไม่ชัดเจนว่าจะมีกฎหมายองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมฯเมื่อใด ก็เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ต่างชาติย้ายฐานการผลิตโดยไม่ลังเล
ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และกฎหมายคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งจะมีผลอย่างมากในการจัดเก็บรายได้เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่นนำภาษีที่ได้มาใช้เพื่อกระจายที่ดินให้เกิดความเป็นธรรม
รัฐบาลไพร่ก็ยังไม่เห็นคุณค่า แล้วไพร่แดงจะฝากความหวังไว้ได้อย่างไร
ที่สำคัญคือวาระซ่อนเร้นในการขวางระบบตรวจสอบที่ซ่อนอยู่ด้วยการไม่ยืนยันกฎหมายสำคัญอย่าง ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ
สะท้อนว่ารัฐบาลปูแดงเตรียมจัดระเบียบกระบวนการยุติธรรมรองรับ “รัฐไทยใหม่”ซึ่งแพลมมาแล้วว่าจะไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ ก็เลยไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ใช่หรือไม่
รัฐบาลไพร่ไม่สนใจข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่คลอดตามรัฐธรรมนูญ เพราะจะรอใช้ข้อเสนอที่ป๊ะยี่ห้อจากคณะนิติราษฎร์และคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ เพื่อมาชำเราหลักนิติรัฐ ชำระความผิดให้พี่ชายนักโทษของนายกรัฐมนตรีเท่านั้นใช่หรือไม่
เรื่องทำลายล้างผลาญชาติล่ะเก่งนัก จึงไม่ต้องสงสัยว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายท่ามกลางภัยพิบัติครั้งนี้ได้มหาศาลขนาดไหน
เพราะเขาถนัดแต่เผาครับพี่น้องเผาเลย พอน้ำมาก็เลยจบเห่ด้วยประการฉะนี้แล
เราจึงเห็นรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤตมหันตภัยน้ำครั้งนี้ด้วยการสาละวนอยู่กับการ มั่วข้อมูล เทอดทูนนายกฯ ตลกร้ายรายวัน ปั้นตัวเลขน้ำ ซ้ำเติมวิกฤติ คาดผิดตลอดเวลา ฯลฯ
นี่คือภาพเหนือน้ำที่เรามองเห็น แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือ ภายใต้วิกฤตการณ์น้ำท่วมทั่วประเทศ เกิดอาเพทไปทั้งแผ่นดินคราวนี้ นายกฯยิ่งลักษณ์กลับแข็งแกร่งอย่างยิ่งในการซุกขยะไว้ใต้น้ำ ซ่อนกลผลประโยชน์พี่ชายและพรรคพวกในภาวะชุลมุนของสังคมอย่างแยบยล โดยที่ผู้คนไม่ทันได้ตรวจสอบ
คนส่วนใหญ่คงลืมไปแล้วว่า มีกฎหมายที่ค้างการพิจารณาในสภาที่รอให้รัฐบาลยืนยันภายใน 60 วันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไปถึง 295 ฉบับ
หากรัฐบาลไม่ยืนยันกฎหมายเหล่านั้นก็จะตกไปทันที
ซึ่งในช่วงที่คนไทยพุ่งความสนใจที่สถานการณ์น้ำที่รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการจนถึงขั้นเรียก่า "ล้มเหลว" นั้น
การทำงานด้านกฎหมายเพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้องกลับมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งเพราะรัฐบาลเลือกที่จะยืนยันกฎหมายค้างการพิจารณาในสภาเพียง 24 ฉบับ โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นกฎหมายมะโนสาเร่ที่ไม่สลักสำคัญอันใดนักต่อการส่งผลในเชิงปฏิรูปประเทศลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้ง ๆ ที่เป็นประเด็นเรียกร้องสำคัญที่ใช้เป็นข้ออ้างให้แดงเผาเมือง
ที่น่าสนใจคือกฎหมายที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ที่ คณิต ณ นคร เป็นประธาน ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภาเพื่อให้ประสานกับคณะรัฐมนตรียืนยันกฎหมายสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนรวม 26 ฉบับ กลับไม่ได้รับการแยแสชายตามองจากนายกฯปูแดงอย่างที่ควรจะเป็น
ตัวอย่างกฎหมายที่รัฐบาลชุดนี้ปล่อยให้ตกไป อาทิ ร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ร่างพระราขบัญญัติคณะกรรมกาคปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
จะเห็นได้ว่ากฎหมายที่รัฐบาลปล่อยให้ตกไปข้างต้น สะท้อนชัดถึงการมีวาระซ่อนเร้นในการบริหารประเทศ ขาดความจริงใจที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคม
และจะมีผลทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในกติกาของประเทศไทย จนตัดสินใจย้ายฐานการผลิตหนีภัยธรรมชาติและกติกาที่ยุ่งเหยิงไปได้ง่าย ๆ
การที่รัฐบาลปล่อยให้ร่างพระราชบัญญัติองค์กาคอิสระด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ตกไป ทั้ง ๆ ที่เป็นกฎหมายที่ต้องอนุวัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2 ซึ่งมีความจำเป็นต้องประกาศให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วเพื่อจัดระเบียบอุตสาหกรรมให้อยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างสมดุล หลังเกิดปัญหาสะเทือนวงการอุตสาหกรรมไปก่อนหน้านี้จากคำพิพากษาของศาลปกครอง เป็นเหตุให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเกิดความไม่มั่นใจในกติกาของประเทศไทย จนมีข่าวว่าจะย้ายฐานการผลิตออกมาอยู่ตลอด
นอกจากปัญหาภัยพิบัติที่รัฐอ่อนด้อยในการบริหารจัดการที่มีน้ำหนักมากพอจะทำให้นักลงทุนต่างชาติทิ้งประเทศไทยแล้ว ความไม่ชัดเจนว่าจะมีกฎหมายองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมฯเมื่อใด ก็เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ต่างชาติย้ายฐานการผลิตโดยไม่ลังเล
ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และกฎหมายคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งจะมีผลอย่างมากในการจัดเก็บรายได้เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่นนำภาษีที่ได้มาใช้เพื่อกระจายที่ดินให้เกิดความเป็นธรรม
รัฐบาลไพร่ก็ยังไม่เห็นคุณค่า แล้วไพร่แดงจะฝากความหวังไว้ได้อย่างไร
ที่สำคัญคือวาระซ่อนเร้นในการขวางระบบตรวจสอบที่ซ่อนอยู่ด้วยการไม่ยืนยันกฎหมายสำคัญอย่าง ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ
สะท้อนว่ารัฐบาลปูแดงเตรียมจัดระเบียบกระบวนการยุติธรรมรองรับ “รัฐไทยใหม่”ซึ่งแพลมมาแล้วว่าจะไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ ก็เลยไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ใช่หรือไม่
รัฐบาลไพร่ไม่สนใจข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่คลอดตามรัฐธรรมนูญ เพราะจะรอใช้ข้อเสนอที่ป๊ะยี่ห้อจากคณะนิติราษฎร์และคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ เพื่อมาชำเราหลักนิติรัฐ ชำระความผิดให้พี่ชายนักโทษของนายกรัฐมนตรีเท่านั้นใช่หรือไม่
เรื่องทำลายล้างผลาญชาติล่ะเก่งนัก จึงไม่ต้องสงสัยว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายท่ามกลางภัยพิบัติครั้งนี้ได้มหาศาลขนาดไหน
เพราะเขาถนัดแต่เผาครับพี่น้องเผาเลย พอน้ำมาก็เลยจบเห่ด้วยประการฉะนี้แล
