xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปรากฏการณ์แบล็คมันเดย์ พิสูจน์กึ๋น “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ช่วงปลายเดือนกันยายน ตลาดหุ้นไทย กลายเป็นอีกตลาดหนึ่งในทุกตลาดหุ้นทั่วโลกที่ถูกแรงเทขายจำนวนมหาศาล กดดันให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลดลงแรงหลุด 1,000 จุด และ 900 จุดลงมา จากความผิดหวังต่อมติผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ไม่มีอะไรใหม่ๆออกมาแก้ไขปัญหา เหมือนกับปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรมที่ก่อ รวมทั้งวิกฤตในยูโรโซน ที่ดูท่าจะหนักมากขึ้นกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ทั้งยังต้องเฝ้ารอลุ้นการช่วยเหลือจากเหล่าประเทศที่แข็งแกร่งกว่ากับบรรดาประเทศที่อ่อนแอและประสบปัญหา

แรงเทขายที่มีออกมา หลายฝ่ายต่างคาดการณ์ว่าเกิดจากความกังวลและไม่แน่นอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น... บ้างก็อ้างว่าเงินถูกโยกย้ายออกไปจากหุ้น มุ่งไปยังสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยเช่นพันธบัตร((บอนด์) มากกว่านำไปลงในสินทรัพย์มีค่าอย่างทองคำ ซึ่งปรับตัวลงอย่างมากตามตลาดหุ้นเช่นกัน

...แค่3วันทำการ (22-23 และ 26 ก.ย.) เป็นช่วงที่หุ้นไทยปรับตัวลงแรงสุดพบว่า ดัชนีรูดลงไปถึง 129.28 จุด แม้วันถัดมา (27ก.ย.) จะรีบาวน์กลับขึ้นมาได้ อีก 42 จุดก็ตาม แต่มูลค่ามาร์เก็ตแคปรวมทั้งตลาดก็ผันผวนมากจนหล่นมาเหลืออยู่ที่ 7.625 ล้านล้านบาท และกลับการปิดตลาดด้วยดัชนีติดลบเพิ่มอีก 1 วัน (28ก.ย.) ที่ -15.02 จุด

คำถามอยู่ที่ว่า เมื่อไรความผันผวนครั้งนี้จะยุติลงเสียที และนักลงทุนไทยจะมีวิธีใดรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นในเรื่องนี้เช่นใด เพื่อเพิ่มความมั่นใจต่อนักลงทุนว่า มีเครื่องมือหรือนโยบายในการรับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งใครต่อใครพากันกังวลว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลกอีกครั้ง?

สมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่และไม่มีปัญหาทางการเมืองเหมือนก่อนหน้า รวมถึงฐานะของบริษัทจดทะเบียนไทยมีความเข้มแข็ง และให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งการที่ดัชนีในวันที่ 26 กันยายนได้มีการปรับตัวลดลงแรง เพราะนักลงทุนตื่นตระหนกจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่ต้องการถอนเงินลงทุนกลับ แต่ไทยเป็นตลาดที่ถูกถอนเงินลงทุนในตลาดท้ายๆ จากก่อนหน้านี้ที่มีการขายหุ้นในตลาดหุ้นอื่นๆออกไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการหยุดการซื้อขายนั้นเป็นเพราะระบบมีปัญหาและขอยืนยันว่าการหยุดการซื้อขายนั้นไม่ได้เป็นการเข้าไปแทรกแซง

จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองเห็นโอกาสที่ดีต่อการลงทุนว่า การปรับตัวลดลง แรงของตลาดหุ้นในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสของนักลงทุนไทยที่จะเข้าซื้อ โดยระยะสั้นแนะนำให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง เพราะภาพรวมตลาดหุ้นมีความผันผวน ส่วนระยะ ยาวแนะนำให้ลงทุนโดยพิจารณาจากพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม คาดว่าเม็ดเงินในตลาดหุ้นเอเชียช่วงนี้ยังไหลออกเพื่อนำเงินไปชดเชยการขาดทุนในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป

ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยหลุดรอดจากวิกฤตครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น หน่วยงานองค์กรต่างๆ ก็เริ่มออกมาเสนอแนะรัฐบาล หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้นสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่ง ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ กล่าวว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทย มีความเป็นห่วงผลกระทบที่มีต่อประเทศไทย จึงขอนำเสนอ 7 ข้อ ต่อรัฐบาลไทย เพื่อช่วยเร่งสร้างภูมิคุ้มกันและสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ

โดยประกอบด้วย 1.เสนอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายโดยการปรับปรุงและเรียงลำดับความสำคัญใหม่ 2.รัฐบาลอาจต้องทบทวนนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำให้ขึ้นค่าแรงแบบค่อยเป็นค่อยไป 3. เสนอให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินนโยบายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากเอกชน 4.สภาฯสนับสนุนนโยบายลดภาษีนิติบุคคล จาก 30% เป็น 20% 5.เนื่องจากมีแรงเทขายในตลาดหุ้นอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก จึงเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนในลักษณะเดียวกันกับกองทุนวายุภักษ์ เพื่อเข้าลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี 6.เสนอให้ธปท.ทบทวนนโยบายการเงิน และชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปจะช่วยลดความผันผวนในตลาดทุนได้ และ 7.เสนอให้รัฐบาลรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้ขาดดุลทางการคลัง และหนี้สาธารณะเพิ่มมากหรือเร็วจนเกินไป

ตามด้วยเสียงกระทุ้ง จากนักการเมืองขั้วตรงข้าม...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุการณ์หุ้นตกที่ผ่านมา สะท้อนความหวั่นไหวของนักลงทุน ซึ่งในภูมิภาคไม่มีประเทศใดหุ้นตกรุนแรงเท่าไทย จึงอยากให้รัฐบาลมีความชัดเจนในการเตรียมรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่วางใจไม่ได้โดยไม่ประมาท ส่วนกรณีที่มีเอกชนเสนอแนวทางตั้งกองทุนพยุงหุ้น มองว่ายังไม่จำเป็น เพราะสิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งดูแลคือทิศทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลทำเรื่องเหล่านี้น้อยมาก มีแต่ความพยายามทำโครงการที่หาเสียงไว้ และไม่สามารถทำได้ในขณะนี้

เมื่อมีการเรียกร้องจากหลายฝ่ายขนาดนี้...ที่แสดงถึงความกังวลว่าหากไทยไม่มีแผนรับมือ..โอกาสในการรอดพ้นจากวิกฤตที่เกิดขึ้นก็อาจเหลือน้อยลงไปทุกทีด้วย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมายืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลว่ายังไม่จำเป็นต้องปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย แต่จะติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และคิดว่าในภาพรวมยังรับมือสถานการณ์ได้ จากนี้ไปจะหารือในแต่ละหน่วยงาน ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนกลับมาลงทุนเช่นเดิม ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนเสนอตั้งกองทุนเพื่อรับวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่อาจมาเร็วเกินคาดนั้น คงต้องดูเหตุการณ์ให้ชัดเจนก่อน

สำหรับข้อเสนอที่ให้รัฐบาลทบทวนนโยบายประชานิยมแล้วลำดับความสำคัญใหม่เพื่อรับมือเศรษฐกิจโลกตนก็รับฟัง แต่เรียนว่านโยบายของรัฐบาลมีการดำเนินการที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งนั้น และในส่วนที่มีการแถลงนโยบายก็ยังคงดำเนินการต่อ ทั้งนี้ ในการใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลในการลงทุนมาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเรายังคงรักษาวินัยการเงินการคลังอยู่ ดังนั้นยังเป็นไปตามแผนอยู่เหมือนเดิม

ท่าทีรัฐบาลที่ยืนยันเจตนาเดิมตามนโยบายหาเสียง เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายเริ่มกังวลมากขึ้น ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณจาก กนง.ว่าการประชุมครั้งถัดไปโอกาสในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความเป็นไปได้สูงขึ้น

ส่วนผู้ลงทุน บลจ.แอสเซทพลัส ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วง 2 สัปดาห์จากนี้( 26 กันยายน - 7 ตุลาคม) ว่า ดัชนี SETน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 870-950 จุด โดยในสัปดาห์นี้ SET Index น่าจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตามการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐฯ นอกจากนั้นการอ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอีกด้วย

ด้านตลาดต่างประเทศมองว่า น่าจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังมีความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงขึ้นของกรีซและทำให้ CDS ของกรีซปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของยุโรปก็ออกมาแย่กว่าที่คาด นอกจากนั้นเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0-0.25 % และประกาศใช้มาตรการ Operation Twist ด้วยการใช้เงินมูลค่า 4 แสนล้านดอลลาร์เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่มีอายุการไถ่ถอน 6-30 ปี พร้อมกับขายพันธบัตรอายุ 3 ปีหรือต่ำกว่า ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประชุมผ่านร่างกฎหมายเพื่อขยายวงเงินกองทุนเพื่อความช่วยเหลือทางการเงินยุโรป (EFSF) ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายน ส่วนราคาทองคำ จะมีความผันผวนสูงตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ผันผวนตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ แต่ในระยะยาวความผันผวนน่าจะเบาบางลงหลังจากที่นักลงทุนหายตื่นตระหนก

ภาพรวมแล้วแม้จะมีความกังวลเข้ามากดดัน แต่ในระยะยาวหลายฝ่ายยังเชื่อมั่นต่อปัจจัยพื้นฐานประเทศ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนที่มีความแข็งแกร่ง อีกทั้งราคาหุ้นหลักๆ อย่างกลุ่มพลังงานเช่น ปตท. และบ้านปูก็ปรับตัวลงมามาก โอกาสในการเข้าไปเก็บหุ้นเพื่อรอรีบาวน์กลับมีความน่าสนใจสูง...ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่ที่นักลงทุนจะต้องการผลตอบแทนระยะสั้นหรือยาว มีความระมัดระวังการลงทุนต่อการลงทุนแค่ไหน เพราะเมื่อทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นและเมื่อตลาดหุ้นร่วงลงมาแรง ..กำไรจากการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส...ก็เกิดขึ้นตามมาเป็นประจำ
กำลังโหลดความคิดเห็น