ASTV ผู้จัดการรายวัน – นักลงทุนผิดหวังผลประชุมเฟดแห่เทขายหุ้นทั่วโลกดิ่ง ตลาดหุ้นไทยหนีไม่พ้นร่วง 39 จุด หลุดฐานสำคัญ 1,000 จุดแล้ว ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯออกโรงเตือน ชะลอการเก็งกำไร แนะลงทุนหุ้นระยะยาว ชูหุ้นไทยศักยภาพแกร่งฝ่าฝันวิกฤตได้ เชื่อพอเหตุการณ์คลี่คลายต่างชาติขนเงินกลับมาลงทุนแน่ โบรกฯคาดมีโอกาสรีบาวน์สูง
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (22ก.ย.) ดัชนีผันผวนอยู่ในแดนลบตลอดวัน โดยปิดที่ระดับ 990.59 จุด ลดลง 39.00 จุด หรือ -3.79% มูลค่าการซื้อขาย 32,481.33 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูง1,014.75 จุด และต่ำสุดที่ 990.59 จุด โดยการที่ดัชนีหลุด1,000 จุดในครั้งนี้ เป็นไปตามทิศทางตลาดต่างประเทศ หลังผิดหวังผลประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อคืนนี้ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง ซึ่งพบว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,700.30 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,083.15 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 41 หลักทรัพย์ ลดลง 560 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 34 หลักทรัพย์
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,881.65 ล้านบาท ปิดที่ 302.00 บาท ลดลง 10.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,699.54 ล้านบาท ปิดที่ 118.00 บาท ลดลง 5.50 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,692.20 ล้านบาท ปิดที่ 123.50 บาท ลดลง 3.00 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,666.48 ล้านบาท ปิดที่ 295.00 บาท ลดลง 11.00 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,431.57 ล้านบาท ปิดที่ 110.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดห้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงหลุด 1,000 จุด มาอยู่ที่ 990 จุด เนื่องจากนักลงทุนมีการขายออกมาหลังจากที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ มีมาตรการที่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐมากนัก ประกอบกับการที่สถาบันจัดอันดับเครดิตเช่น มูดี้ส์มีการปรับลดอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถที่จะช่วยพลักดันการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้ จึงทำให้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯยิ่งน่ามีความกังวลมากขึ้น
ทั้งนี้จึงส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกมีการขายหุ้นออกมา เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนโดยลดจากการลงทุนในหุ้นไปลงทุนในพันธบัตร (บอนด์)ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากนี้จะต้องติดตามว่าแรงขายหุ้นของนักลงทุนทั่วโลกจะรุนแรงมากแค่ไหน โดยช่วงนี้นักลงทุนจะต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะลงทุนในลักษณะเก็งกำไร เพราะ ภาวะตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรที่จะลงทุนระยะยาว และใช้เงินของตนเองในการลงทุน อย่ากู้เงินมาเพื่อซื้อหุ้น แต่จากการติดตามข้อมูลกับทางบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ถือว่าไม่น่ากังวลจากที่มีมูลค่าการใช้มาร์จิ้นโลนปัจจุบันอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขอให้นักลงทุนเน้นลงทุนระยะยาวจากบริษัทจดทะเบียนไทยนั้นมีกำไรที่ดี มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง และ ที่ผ่านมาบริษัทไทยสามารถที่จะผ่านวิกฤตต่างมากได้ และหากเมื่อเม็ดเงินต่างประเทศจะกลับมาลงทุนในหุ้นนั้นตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนมากที่สุดอีกตลาดหนึ่งในตลาดหุ้นภูมิภาคนี้
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงแรงหลุดระดับ 1,000 จุด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากผิดหวังผลประชุมเฟด เมื่อคืนนี้ แม้จะมีมาตรการเพิ่มเติมออกมา แต่ก็เป็นเรื่องคาดกันไว้อยู่แล้ว และไม่ใช่มาตรการที่หวังผลได้เร็ว อย่างไรก็ตามภาพรวมแล้วยังไม่เปลี่ยนแปลงหรือแย่ลง ดังนั้น จึงคาดว่าน่าจะมีแรงซื้อกลับมาเร็วๆนี้ จากการคาดหวังว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ที่จะตามมาภายหลัง
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(23 ก.ย.)ดัชนีมีโอกาสรีบาวน์ในกรอบแคบหลังปรับตัวลงแรง และมองว่าการรีบาวน์จะชัดเจนในสัปดาห์หน้า พร้อมให้แนวรับ 995 และ 990 จุด แนวต้าน 1,010 และ 1,020 จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (22ก.ย.) ดัชนีผันผวนอยู่ในแดนลบตลอดวัน โดยปิดที่ระดับ 990.59 จุด ลดลง 39.00 จุด หรือ -3.79% มูลค่าการซื้อขาย 32,481.33 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูง1,014.75 จุด และต่ำสุดที่ 990.59 จุด โดยการที่ดัชนีหลุด1,000 จุดในครั้งนี้ เป็นไปตามทิศทางตลาดต่างประเทศ หลังผิดหวังผลประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อคืนนี้ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง ซึ่งพบว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,700.30 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,083.15 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 41 หลักทรัพย์ ลดลง 560 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 34 หลักทรัพย์
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,881.65 ล้านบาท ปิดที่ 302.00 บาท ลดลง 10.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,699.54 ล้านบาท ปิดที่ 118.00 บาท ลดลง 5.50 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,692.20 ล้านบาท ปิดที่ 123.50 บาท ลดลง 3.00 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,666.48 ล้านบาท ปิดที่ 295.00 บาท ลดลง 11.00 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,431.57 ล้านบาท ปิดที่ 110.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดห้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงหลุด 1,000 จุด มาอยู่ที่ 990 จุด เนื่องจากนักลงทุนมีการขายออกมาหลังจากที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ มีมาตรการที่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐมากนัก ประกอบกับการที่สถาบันจัดอันดับเครดิตเช่น มูดี้ส์มีการปรับลดอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถที่จะช่วยพลักดันการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้ จึงทำให้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯยิ่งน่ามีความกังวลมากขึ้น
ทั้งนี้จึงส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกมีการขายหุ้นออกมา เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนโดยลดจากการลงทุนในหุ้นไปลงทุนในพันธบัตร (บอนด์)ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากนี้จะต้องติดตามว่าแรงขายหุ้นของนักลงทุนทั่วโลกจะรุนแรงมากแค่ไหน โดยช่วงนี้นักลงทุนจะต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะลงทุนในลักษณะเก็งกำไร เพราะ ภาวะตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรที่จะลงทุนระยะยาว และใช้เงินของตนเองในการลงทุน อย่ากู้เงินมาเพื่อซื้อหุ้น แต่จากการติดตามข้อมูลกับทางบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ถือว่าไม่น่ากังวลจากที่มีมูลค่าการใช้มาร์จิ้นโลนปัจจุบันอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขอให้นักลงทุนเน้นลงทุนระยะยาวจากบริษัทจดทะเบียนไทยนั้นมีกำไรที่ดี มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง และ ที่ผ่านมาบริษัทไทยสามารถที่จะผ่านวิกฤตต่างมากได้ และหากเมื่อเม็ดเงินต่างประเทศจะกลับมาลงทุนในหุ้นนั้นตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนมากที่สุดอีกตลาดหนึ่งในตลาดหุ้นภูมิภาคนี้
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงแรงหลุดระดับ 1,000 จุด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากผิดหวังผลประชุมเฟด เมื่อคืนนี้ แม้จะมีมาตรการเพิ่มเติมออกมา แต่ก็เป็นเรื่องคาดกันไว้อยู่แล้ว และไม่ใช่มาตรการที่หวังผลได้เร็ว อย่างไรก็ตามภาพรวมแล้วยังไม่เปลี่ยนแปลงหรือแย่ลง ดังนั้น จึงคาดว่าน่าจะมีแรงซื้อกลับมาเร็วๆนี้ จากการคาดหวังว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ที่จะตามมาภายหลัง
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(23 ก.ย.)ดัชนีมีโอกาสรีบาวน์ในกรอบแคบหลังปรับตัวลงแรง และมองว่าการรีบาวน์จะชัดเจนในสัปดาห์หน้า พร้อมให้แนวรับ 995 และ 990 จุด แนวต้าน 1,010 และ 1,020 จุด