ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยร่วง 30 จุด จากความกังวลวิกฤตเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ และวิกฤตหนี้สาธารณะที่ยุโรป ฉุดนักลงทุนเทขาย ตลาดหลักทรัพย์เตือนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ส่วนโบรกเกอร์คาดนักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายทำกำไรหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าอีก 1 หมื่นล้าน ผู้ว่าแบงก์ชาติเผยตลาดการเงินโลกผันผวนมาก แนะรัฐบาลให้รักษาฐานะการคลัง เหตุต่างชาติเริ่มจับตามากขึ้น
หุ้นไทยวานนี้ (5ส.ค.) ดัชนีผันผวนอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยปิดที่ระดับ 1,093.38 จุด ลดลง 30.63 จุด หรือ -2.73% มูลค่าการซื้อขาย 67,282.12 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,94.27 จุด และต่ำสุด 1,077.12 จุด ลดลงแรงตามภูมิภาค จากปัจจัยในต่างประเทศ ทั้งความกังวลเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายกลัวว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะถดถ้อยอีกครั้ง รวมทั้งปัญหาหนี้สินยุโรป ที่เริ่มลุกลามไปยังอิตาลีและสเปน
โดยวานนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6,091.80 ล้านนบาท ตามด้วย สถาบันขายสุทธิ 5,425.01 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,756.21 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วเข้าซื้อสุทธิถึง 13,273 ล้านบาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) วานนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยปัจจัยหลักมาจากการคาดการณ์ที่ชัดเจนขึ้นถึงผลของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกา และปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ผู้ลงทุนควรติดตามการวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ เพื่อติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และพิจารณากระจายความเสี่ยงในการลงทุนให้เหมาะสม
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากปัญหาเศรษฐกิจดังกล่าวยังมีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนทั่วโลกไปอีกระยะหนึ่ง ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น เนื่องจากยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาค โดย SET Index ที่ลดลง 2.73% ในวานนี้ เป็นการปรับตัวตามตลาดทั่วโลกที่มีการปรับลดลงระหว่าง 1-5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ด้าน นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประทศไทย) กล่าวในงานสัมนา" วิพากษ์นโยบายยิ่งลักษณ์ หุ้นไหนควรลงทุน - หุ้นไหนควรหลีกเลี่ยง"ว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลดลงต่อเนื่อง โดยประเมิน 3 วันทำการ ( 5 - 9 ส.ค) นักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่องสุทธิรวม 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นจิตวิทยาในช่วงสั้นในการขายทำกำไรของนักลงทุน จากก่อนหน้านี้ที่ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ถึง 13% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมทั้งกองทุนต่างประเทศขาย เพื่อคืนเงินให้กับผู้ถือหน่วย
แต่อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตราการผ่อนคลายเชิงปริมาณ รอบที่ 3 (QE3) ชัดเจนในวันที่ 9 ส.ค. 54โดยมองแนวรับของดัชนีหุ้นไทยที่ 1,050 จุด
โดยในส่วนนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มองว่า จะให้ความสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทั้งนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท นโยบายเงินบาทแข็งค่า และการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% จาก 30% ซึ่งจะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มสิ่งพิมพ์
ส่วนกลุ่มน่ากังวล คือ กลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพราะต้องแบกรับกับต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันนโยบายลดภาษีนิติบุคคล กลุ่มส่งออกก็ไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากส่วนใหญ่ได้สิทธิพิเศษจากบีโอไออยู่แล้วรวมทั้งหุ้นบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงคือกลุ่มรับหมาก่อสร้าง เช่น STEC CK และ ITD เนื่องจากได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมากแล้ว
***ธปท.เตือนตลาดการเงินโลกผันผวนมาก
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดการเงินโลกอ่อนไหวเร็วมาก เนื่องจากเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างประเทศสหรัฐและสหภาพยุโรป ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีปัญหาค้างคาอยู่และยังไม่มีหนทางแก้ไขที่ชัดเจน ทำให้ตลาดการเงินโลกผันผวนพอสมควร แต่ในส่วนของไทยมองว่าขณะนี้มีภูมิคุ้มกันที่ดีทั้งด้านการเงินและด้านการคลัง จึงมองว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาใหญ่ต่อภาวะเศรษฐกิจไทย
“ขณะนี้เศรษฐกิจไทยไม่จำเป็นต้องกระตุ้นอุปสงค์ของเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะ 41%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ถือว่าไม่สูงมาก และมองว่าตัวเลขขาดดุลงบประมาณฯ ไม่ควรเกิน 3.5 แสนล้านบาท เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการส่งสัญญาณไม่ดีต่อตลาด และยิ่งเมื่อใดก็ตามเกิดความเปาะบางต่อตลาดโลก ต่างชาติก็จะหันมาดูเราทันทีว่ามีฐานะการคลังเป็นเช่นไร เรื่องนี้เป็นการเรียกร้องความสนใจต่อต่างชาติได้เป็นอย่างดีในเวลานี้ เราจึงควรรักษากรอบวินัยทางการคลัง เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีของประเทศ”
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในขณะนี้เป็น 2 ทิศทาง ทำให้ธปท.เข้าไปดูแลค่าเงินบ้างเฉพาะเวลาที่มีความผันผวนมากเกินไปและมองว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องมีเครื่องมือใหม่เพิ่มเติมจากที่ใช้ในปัจจุบัน เพื่อรับมือกับเงินทุนเคลื่อนย้าย อย่างไรก็ตาม ธปท.พยายามเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเชื่อว่าไทยมีภูมิคุ้มกันที่ดี
โดยปัจจุบันไทยมีปริมาณเงินสำรองทางการระหว่างประเทศค่อนข้างสูง อัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่น และมาตรการอื่นๆ ไว้กำกับดูแล ซึ่งรวมถึงการเข้าไปสอดส่องดูแลการเก็งกำไรเงินตราต่างประเทศ และพยายามส่งสัญญาณไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสถาบันการเงิน โดยหากมีใครล้ำเส้นออกมาก็จะจัดการโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจมีปัญหาตามมา
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ภาคการส่งออกไทยได้รับผลกระทบบ้าง แต่จากการกระจายตลาดไปยังคู่ค้านอกกลุ่มประเทศ G3 มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการค้าขายกับ G3 ประมาณ 30% ส่วนอีก 70% เป็นคู่ค้าประเทศอื่นๆ ซึ่งประเทศเหล่านี้ยังมีศักยภาพการการเติบโตเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ นอกจากนี้ธปท.ยังคงมีการศึกษาแนวทางการนำเงินสำรองฯ ไปลงทุนอยู่ แต่ขณะนี้ต้องรอรัฐบาลใหม่ก่อน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อไป.
หุ้นไทยวานนี้ (5ส.ค.) ดัชนีผันผวนอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยปิดที่ระดับ 1,093.38 จุด ลดลง 30.63 จุด หรือ -2.73% มูลค่าการซื้อขาย 67,282.12 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,94.27 จุด และต่ำสุด 1,077.12 จุด ลดลงแรงตามภูมิภาค จากปัจจัยในต่างประเทศ ทั้งความกังวลเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายกลัวว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะถดถ้อยอีกครั้ง รวมทั้งปัญหาหนี้สินยุโรป ที่เริ่มลุกลามไปยังอิตาลีและสเปน
โดยวานนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6,091.80 ล้านนบาท ตามด้วย สถาบันขายสุทธิ 5,425.01 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,756.21 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วเข้าซื้อสุทธิถึง 13,273 ล้านบาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) วานนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยปัจจัยหลักมาจากการคาดการณ์ที่ชัดเจนขึ้นถึงผลของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกา และปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ผู้ลงทุนควรติดตามการวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ เพื่อติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และพิจารณากระจายความเสี่ยงในการลงทุนให้เหมาะสม
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากปัญหาเศรษฐกิจดังกล่าวยังมีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนทั่วโลกไปอีกระยะหนึ่ง ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น เนื่องจากยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาค โดย SET Index ที่ลดลง 2.73% ในวานนี้ เป็นการปรับตัวตามตลาดทั่วโลกที่มีการปรับลดลงระหว่าง 1-5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ด้าน นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประทศไทย) กล่าวในงานสัมนา" วิพากษ์นโยบายยิ่งลักษณ์ หุ้นไหนควรลงทุน - หุ้นไหนควรหลีกเลี่ยง"ว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลดลงต่อเนื่อง โดยประเมิน 3 วันทำการ ( 5 - 9 ส.ค) นักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่องสุทธิรวม 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นจิตวิทยาในช่วงสั้นในการขายทำกำไรของนักลงทุน จากก่อนหน้านี้ที่ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ถึง 13% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมทั้งกองทุนต่างประเทศขาย เพื่อคืนเงินให้กับผู้ถือหน่วย
แต่อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตราการผ่อนคลายเชิงปริมาณ รอบที่ 3 (QE3) ชัดเจนในวันที่ 9 ส.ค. 54โดยมองแนวรับของดัชนีหุ้นไทยที่ 1,050 จุด
โดยในส่วนนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มองว่า จะให้ความสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทั้งนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท นโยบายเงินบาทแข็งค่า และการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% จาก 30% ซึ่งจะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มสิ่งพิมพ์
ส่วนกลุ่มน่ากังวล คือ กลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพราะต้องแบกรับกับต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันนโยบายลดภาษีนิติบุคคล กลุ่มส่งออกก็ไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากส่วนใหญ่ได้สิทธิพิเศษจากบีโอไออยู่แล้วรวมทั้งหุ้นบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงคือกลุ่มรับหมาก่อสร้าง เช่น STEC CK และ ITD เนื่องจากได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมากแล้ว
***ธปท.เตือนตลาดการเงินโลกผันผวนมาก
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดการเงินโลกอ่อนไหวเร็วมาก เนื่องจากเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างประเทศสหรัฐและสหภาพยุโรป ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีปัญหาค้างคาอยู่และยังไม่มีหนทางแก้ไขที่ชัดเจน ทำให้ตลาดการเงินโลกผันผวนพอสมควร แต่ในส่วนของไทยมองว่าขณะนี้มีภูมิคุ้มกันที่ดีทั้งด้านการเงินและด้านการคลัง จึงมองว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาใหญ่ต่อภาวะเศรษฐกิจไทย
“ขณะนี้เศรษฐกิจไทยไม่จำเป็นต้องกระตุ้นอุปสงค์ของเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะ 41%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ถือว่าไม่สูงมาก และมองว่าตัวเลขขาดดุลงบประมาณฯ ไม่ควรเกิน 3.5 แสนล้านบาท เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการส่งสัญญาณไม่ดีต่อตลาด และยิ่งเมื่อใดก็ตามเกิดความเปาะบางต่อตลาดโลก ต่างชาติก็จะหันมาดูเราทันทีว่ามีฐานะการคลังเป็นเช่นไร เรื่องนี้เป็นการเรียกร้องความสนใจต่อต่างชาติได้เป็นอย่างดีในเวลานี้ เราจึงควรรักษากรอบวินัยทางการคลัง เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีของประเทศ”
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในขณะนี้เป็น 2 ทิศทาง ทำให้ธปท.เข้าไปดูแลค่าเงินบ้างเฉพาะเวลาที่มีความผันผวนมากเกินไปและมองว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องมีเครื่องมือใหม่เพิ่มเติมจากที่ใช้ในปัจจุบัน เพื่อรับมือกับเงินทุนเคลื่อนย้าย อย่างไรก็ตาม ธปท.พยายามเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเชื่อว่าไทยมีภูมิคุ้มกันที่ดี
โดยปัจจุบันไทยมีปริมาณเงินสำรองทางการระหว่างประเทศค่อนข้างสูง อัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่น และมาตรการอื่นๆ ไว้กำกับดูแล ซึ่งรวมถึงการเข้าไปสอดส่องดูแลการเก็งกำไรเงินตราต่างประเทศ และพยายามส่งสัญญาณไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสถาบันการเงิน โดยหากมีใครล้ำเส้นออกมาก็จะจัดการโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจมีปัญหาตามมา
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ภาคการส่งออกไทยได้รับผลกระทบบ้าง แต่จากการกระจายตลาดไปยังคู่ค้านอกกลุ่มประเทศ G3 มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการค้าขายกับ G3 ประมาณ 30% ส่วนอีก 70% เป็นคู่ค้าประเทศอื่นๆ ซึ่งประเทศเหล่านี้ยังมีศักยภาพการการเติบโตเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ นอกจากนี้ธปท.ยังคงมีการศึกษาแนวทางการนำเงินสำรองฯ ไปลงทุนอยู่ แต่ขณะนี้ต้องรอรัฐบาลใหม่ก่อน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อไป.