ไม่น่าเชื่อว่าการ ปชส.ของกลุ่มคณาจารย์ธรรมศาสตร์เพียงเจ็ดคน ที่เรียกตัวเองว่า นิติราษฎร์ จะได้รับการตีข่าวเกินคุณค่าของพวกเขามากไปได้ถึงเช่นนี้
กลุ่มนิติราษฎร์คือกลุ่มคณาจารย์นิติศาสตร์ 7 คนที่ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนอดีต นรม.ทักษิณ ในคดีความทั้งหลาย (โดยอ้อม) อย่างออกนอกหน้า แม้จะมาแก้เกี้ยวภายหลังว่า “ไม่ใช่นะ” อย่างไรก็ตามเถิด
...ในบทความนี้เนื้อความในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ของกลุ่มนิติราษฎร์นำด้วย $$ ส่วนของผมนำด้วย :)
$$ นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ...ผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผล และสติปัญญาของผู้คน
:) ไม่มีกฎหมายไหนในโลกหรอกครับที่ไม่อิงประเพณี หรือบุคคลที่ศรัทธา แม้แต่อังกฤษก็ใช้จารีตประเพณีเป็นรัฐธรรมนูญ สหรัฐอเมริกาก็เชื่อฟังบุคคลที่เขาศรัทธา เช่น ใช้งานอดีตประธานาธิบดีที่ผู้คนนับถือในการหาเสียง และช่วยขับเคลื่อนวาระของรัฐบาล
นักกฎหมายปริญญาเอกกลุ่มนี้ช่างไม่สำเหนียกกันบ้างเลยหรือว่ากฎหมายส่วนใหญ่แล้วอิงจารีตประเพณีทั้งสิ้น เช่น ห้ามมีผัวเมียมากกว่าหนึ่ง ห้ามโกงกินลักทรัพย์ ห้ามหมิ่นประมาท ห้ามทำร้ายร่างกาย ฯลฯ ประเพณีมันถูกหล่อหลอมลองผิดถูกมาหลายพันปี ส่วนกฎหมายคิดกันแค่สองปีในสมัยเลือกตั้ง..แถมมีผลประโยชน์นักการเมืองและพ่อค้าแอบแฝงเข้ามา
$$..วงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไปสู่ยุคภูมิธรรมหรือยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป
:) ยุค Enlightenment ของฝรั่งที่พวกคุณเห่อนั้น แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นพุทธิปัญญาดังที่คุณเสกสรรปั้นคำให้หรูดอก แท้จริงแล้วมันคือรากของยุคล่าอาณานิคมที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งส่งเสริมด้วยแรงขับเคลื่อนโดยระบบ “ประชาธิปไตย” ที่พวกคุณทั้งเจ็ดยกย่องเสียหนักหนานั่นเอง
แอฟริกา พม่า ลิเบีย ฆ่ากันเป็นเบือทุกวันนี้ล้วนเป็นผลพวงจากยุคนั้นในยุโรปทั้งสิ้น...สมองอันเลิศระดับกลุ่มคุณที่คิดเชื่อมโยงอดีต นรม.ทักษิณกับความดีงามได้ ก็น่าจะฉลาดพอที่จะคิดเชื่อมโยงประเด็นที่ผมเสนอมาได้ด้วยนะ
$$ การที่เราเรียกตนเองว่า enlightened jurists จึงมีความหมายแต่เพียงว่าเราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล
:) ช่างไม่กระดากปากเลยหนอที่เรียกตนเองว่า enlightened jurists (นิติกรผู้บรรลุธรรม) บรรลุธรรมปานนั้นแล้วทำไมยังไปงมงายเชิดชูระบอบทักษิณอยู่ได้และก็ไม่เห็นตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ท้าทายระบอบทักษิณเลยสักแอะเดียว ทั้งที่วิญญูชนจำนวนมากที่เขาเคยสนับสนุนต่างถอนตัวกันออกมาหมดแล้ว
$$ เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหาร และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร พร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำรัฐประหาร
:) ไม่เห็นแปลก ถ้ารัฐประหารที่ดีมันดีกว่า ปชต.ที่เลวก็น่ารับใช้นะ แล้วนักกฎหมายอย่างพวกคุณเล่า..กำลังรับใช้เผด็จการทุนนิยมสามานย์อยู่หรือเปล่า
$$ เราเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรม...ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร
:) นิยามของ “ความยุติธรรม” ไม่ง่ายอย่างที่พวกคุณคิด เรื่องนี้มันเป็นหน้าที่ของนักปรัชญาที่ถกเถียงกันมาหลายพันปีจนถึงวันนี้ ส่วนความ “ยุติธรรม” ในทางปฏิบัติมันก็เป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะร่างกฎหมายให้ยุติธรรมต่อราษฎร...มันไม่ใช่หน้าที่ของนักนิติศาสตร์หรอกนะ
นักนิติศาสตร์อย่างพวกคุณควรมีหน้าที่ใช้กฎหมายให้เป็นธรรมแก่ราษฎรต่างหาก แต่นี่คุณกำลังจะทำเกินหน้าที่ จนกลายเป็นผู้ร่างกฎหมายเสียเอง อย่างนี้คุณต้องไปสมัครผู้แทนราษฎร หรือสมัครเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัตินะครับ
แล้วมันยุติธรรมไหม ที่กลุ่มคณาจารย์มหาลัยของรัฐ กินเงินเดือนจากภาษีราษฎร แต่กลับออกมาปกป้องคนที่เอาเปรียบราษฎรด้วยการโกงเชิงนโยบายแบบบูรณาการ โดยใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายที่กลุ่มพวกคุณแสนเทิดทูนเป็นช่องทางทำมาหากินกันอย่างโจ๋งครึ่ม
$$ ..การศึกษาวิชานิติศาสตร์อย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผลอธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน ย่อมเท่ากับเป็นการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย
:) “การวิพากษ์วิจารณ์” กฎหมายเป็นหน้าที่ของนักรัฐศาสตร์ และนักสังคมศาสตร์ ถ้านักนิติศาสตร์ออกมาวิจารณ์กฎหมายก็แสดงว่า ลำเอียง แล้ว แล้วจะใช้กฎหมายด้วยความเถรตรงตามอุดมคติอันเลิศลอยที่พวกคุณอ้างได้อย่างไรเล่า
ผมขอพิพากษาว่า แค่เริ่มต้น..ความคิดของพวกคุณเป็นก็โมฆะเสียแล้ว
กลุ่มนิติราษฎร์คือกลุ่มคณาจารย์นิติศาสตร์ 7 คนที่ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนอดีต นรม.ทักษิณ ในคดีความทั้งหลาย (โดยอ้อม) อย่างออกนอกหน้า แม้จะมาแก้เกี้ยวภายหลังว่า “ไม่ใช่นะ” อย่างไรก็ตามเถิด
...ในบทความนี้เนื้อความในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ของกลุ่มนิติราษฎร์นำด้วย $$ ส่วนของผมนำด้วย :)
$$ นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ...ผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผล และสติปัญญาของผู้คน
:) ไม่มีกฎหมายไหนในโลกหรอกครับที่ไม่อิงประเพณี หรือบุคคลที่ศรัทธา แม้แต่อังกฤษก็ใช้จารีตประเพณีเป็นรัฐธรรมนูญ สหรัฐอเมริกาก็เชื่อฟังบุคคลที่เขาศรัทธา เช่น ใช้งานอดีตประธานาธิบดีที่ผู้คนนับถือในการหาเสียง และช่วยขับเคลื่อนวาระของรัฐบาล
นักกฎหมายปริญญาเอกกลุ่มนี้ช่างไม่สำเหนียกกันบ้างเลยหรือว่ากฎหมายส่วนใหญ่แล้วอิงจารีตประเพณีทั้งสิ้น เช่น ห้ามมีผัวเมียมากกว่าหนึ่ง ห้ามโกงกินลักทรัพย์ ห้ามหมิ่นประมาท ห้ามทำร้ายร่างกาย ฯลฯ ประเพณีมันถูกหล่อหลอมลองผิดถูกมาหลายพันปี ส่วนกฎหมายคิดกันแค่สองปีในสมัยเลือกตั้ง..แถมมีผลประโยชน์นักการเมืองและพ่อค้าแอบแฝงเข้ามา
$$..วงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไปสู่ยุคภูมิธรรมหรือยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป
:) ยุค Enlightenment ของฝรั่งที่พวกคุณเห่อนั้น แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นพุทธิปัญญาดังที่คุณเสกสรรปั้นคำให้หรูดอก แท้จริงแล้วมันคือรากของยุคล่าอาณานิคมที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งส่งเสริมด้วยแรงขับเคลื่อนโดยระบบ “ประชาธิปไตย” ที่พวกคุณทั้งเจ็ดยกย่องเสียหนักหนานั่นเอง
แอฟริกา พม่า ลิเบีย ฆ่ากันเป็นเบือทุกวันนี้ล้วนเป็นผลพวงจากยุคนั้นในยุโรปทั้งสิ้น...สมองอันเลิศระดับกลุ่มคุณที่คิดเชื่อมโยงอดีต นรม.ทักษิณกับความดีงามได้ ก็น่าจะฉลาดพอที่จะคิดเชื่อมโยงประเด็นที่ผมเสนอมาได้ด้วยนะ
$$ การที่เราเรียกตนเองว่า enlightened jurists จึงมีความหมายแต่เพียงว่าเราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล
:) ช่างไม่กระดากปากเลยหนอที่เรียกตนเองว่า enlightened jurists (นิติกรผู้บรรลุธรรม) บรรลุธรรมปานนั้นแล้วทำไมยังไปงมงายเชิดชูระบอบทักษิณอยู่ได้และก็ไม่เห็นตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ท้าทายระบอบทักษิณเลยสักแอะเดียว ทั้งที่วิญญูชนจำนวนมากที่เขาเคยสนับสนุนต่างถอนตัวกันออกมาหมดแล้ว
$$ เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหาร และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร พร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำรัฐประหาร
:) ไม่เห็นแปลก ถ้ารัฐประหารที่ดีมันดีกว่า ปชต.ที่เลวก็น่ารับใช้นะ แล้วนักกฎหมายอย่างพวกคุณเล่า..กำลังรับใช้เผด็จการทุนนิยมสามานย์อยู่หรือเปล่า
$$ เราเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรม...ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร
:) นิยามของ “ความยุติธรรม” ไม่ง่ายอย่างที่พวกคุณคิด เรื่องนี้มันเป็นหน้าที่ของนักปรัชญาที่ถกเถียงกันมาหลายพันปีจนถึงวันนี้ ส่วนความ “ยุติธรรม” ในทางปฏิบัติมันก็เป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะร่างกฎหมายให้ยุติธรรมต่อราษฎร...มันไม่ใช่หน้าที่ของนักนิติศาสตร์หรอกนะ
นักนิติศาสตร์อย่างพวกคุณควรมีหน้าที่ใช้กฎหมายให้เป็นธรรมแก่ราษฎรต่างหาก แต่นี่คุณกำลังจะทำเกินหน้าที่ จนกลายเป็นผู้ร่างกฎหมายเสียเอง อย่างนี้คุณต้องไปสมัครผู้แทนราษฎร หรือสมัครเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัตินะครับ
แล้วมันยุติธรรมไหม ที่กลุ่มคณาจารย์มหาลัยของรัฐ กินเงินเดือนจากภาษีราษฎร แต่กลับออกมาปกป้องคนที่เอาเปรียบราษฎรด้วยการโกงเชิงนโยบายแบบบูรณาการ โดยใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายที่กลุ่มพวกคุณแสนเทิดทูนเป็นช่องทางทำมาหากินกันอย่างโจ๋งครึ่ม
$$ ..การศึกษาวิชานิติศาสตร์อย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผลอธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน ย่อมเท่ากับเป็นการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย
:) “การวิพากษ์วิจารณ์” กฎหมายเป็นหน้าที่ของนักรัฐศาสตร์ และนักสังคมศาสตร์ ถ้านักนิติศาสตร์ออกมาวิจารณ์กฎหมายก็แสดงว่า ลำเอียง แล้ว แล้วจะใช้กฎหมายด้วยความเถรตรงตามอุดมคติอันเลิศลอยที่พวกคุณอ้างได้อย่างไรเล่า
ผมขอพิพากษาว่า แค่เริ่มต้น..ความคิดของพวกคุณเป็นก็โมฆะเสียแล้ว