“องอาจ” ถกผู้จัดละคร “ดอกส้มสีทอง” และผู้บริหารวิกช่อง 3 ได้ข้อสรุปตัดบางฉากที่หวือหวาที่อาจมีผลกระทบต่อสังคมออก พร้อมให้เพิ่มตัววิ่งเตือนเยาวชนในการรับชม เผยปรากฏการณ์ “เรยา” เป็นผลดีช่วยสังคมตระหนักร่วมกันถึงปัญหา
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกำกับสื่อของรัฐ ให้สัมภาษณ์ภายหลังหาหรือกับผู้บริหารช่อง 3 ผู้จัดละครและดารานักแสดงจากละครเรื่อง “ดอกส้มสีทอง” ว่า มีความเห็นร่วมกันว่าขณะนี้ละครดอกส้มสีทองยังคงเหลืออีก 6 ตอนจะจบเรื่อง ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์ ขณะที่กระแสสังคมส่วนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาของละครว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อสังคม โดยตนได้ให้ความเห็นว่าหากเป็นไปได้ ข้อเสนอแรก ก่อนละครจะฉายให้มีข้อความอธิบายให้ผู้ชมได้เข้าใจว่าภาพที่จะปรากฏบนจอต่อไปนี้เป็นการแสดง และผู้ปกครองควรให้คำแนะนำเด็กหรือเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
นอกจากนี้ ในขณะที่ละครกำลังฉายก็ควรจะมีลักษณะตัววิ่งที่เป็นข้อความอธิบายให้เห็นด้วยว่าภาพที่ปรากฏขณะนี้เป็นการแสดง และผู้ปกครองควรให้คำแนะนำเด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
“ในความเป็นจริง ละครหรือรายการโทรทัศน์สามารถจะเป็นบทเรียนในการสอนลูกหลานได้ รายการโทรทัศน์ดีๆ จะสามารถนำสิ่งดีๆมาสอนลูกหลาน ขณะเดียวกัน หากมีเรื่องราวอะไรที่นำเสนอในเชิงลบ ในเชิงที่เป็นปัญหา เราก็นำสิ่งที่ปรากฏออกมาในเชิงลบแนะนำลูกหลานไม่ให้ปฏิบัติตาม อย่างไรก็ดี หากเราไม่ให้คำแนะนำ หรือไม่ให้เด็กเข้าไปดู เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งจะสามารถไปหาช่องทางโดยที่ไม่มีใครแนะนำได้ เช่น อินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ หากลูกยังเล็กอยู่ อายุ 3-10 ขวบ ไม่ควรให้ลูกหลานมาชมละคร เพราะคิดว่าเวลาหลังข่าวควรเป็นเวลาที่เด็กควรอ่านหนังสือ หรือพ่อแม่ควรหารายการที่ประเทืองปัญญา ตลอดจนให้ลูกไปพักผ่อนเพื่อจะไปเรียนในวันรุ่งขึ้น ส่วนกรณีเด็กที่มีอายุ 14-18 ปี ยังอยู่ในช่วงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ควรมีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ”
นายองอาจกล่าวต่อว่า ข้อเสนอที่ 2 คือ แม้จะเหลืออีก 6 ตอนก็ตาม แต่ทางช่อง 3 และผู้จัดละครจะไปดูว่ามีฉากใดตอนใดที่อาจจะทำให้ประชาชนผู้ชมส่วนหนึ่งมีความรู้สึกว่าจะเป็นผลกระทบต่อสังคม และจะไปนำฉากนั้นๆ ออกไปเพื่อให้เกิดความเหมาะสมให้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงตอนท้ายๆ ของละครจะนำเสนอให้เห็นถึงความเลวร้ายของตัวละคร โดยฉพาะตัวเอกของเรื่องที่จะได้รับผลกรรมที่กระทำไว้อย่างไร ซึ่งเท่าที่สำรวจตรวจสอบพบว่าคนที่ชมละครเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น และติดตามชมทุกตอน ซึ่งคนเหล่าจะมีเปอร์เซ็นต์สูงที่สุด รองลงมาชมบ้าง เพราะฉะนั้นผู้ที่ชมละครเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะที่เป็นเด็กและเยาวชนจะสามารถมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นเมื่อชมไปถึงตอนสุดท้าย แต่สำหรับผู้ใหญ่คงไม่มีปัญหาเพราะมีวุฒิภาวะอยู่แล้ว
“เท่าที่พูดคุยกันมองเห็นความรับผิดชอบทางช่องและผู้จัดมากขึ้น และผมเชื่อว่าทางช่องและผู้จัดละครจะเข้าใจเจตนารมณ์ของสังคมว่าควรจะดำเนินการอย่างไรให้เหมาะสมที่สุดเพราะคิดว่าในสังคมควรจะให้เกียรติซึ่งกันและกันว่าจะพิจารณาอย่างไรให้เหมาะสมที่สุด แม้ประเทศไทยจะไม่มี กบว.อยู่แล้วก็ตาม แต่เป็นความรับผิดชอบของแต่ละช่อง กบว.สังคมมีความหมายมากกว่า กบว.ตามกฎหมายเสียอีก”
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับบทบาท กบว.ช่องหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า เป็นเรื่องของ กสทช.ที่กำลังจะออกมาไม่นาน โดย กสทช.จะกำหนดแผนแม่บทเรื่องวิทยุโทรทัศน์ เรื่องของโทรคมนาคม จุดนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนแม่บทด้วย
อย่างไรก็ตาม อาจมีช่องโหว่ทางกฎหมายนิดหน่อย เพราะเดิมการกำหนดเรตติ้งจะเป็นงานของกรมประชาสัมพันธ์ มีกองงานที่ทำหน้าที่ในเรื่องนี้โดยตรง แต่พอมี พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ส่วนนี้ก็จะยุติลง และจะไปเป็นภาระหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่า กทช.จะปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมี กสทช. อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้ประสานงานไปยังสภาวิชาชีพวิทยุโทรทัศน์ จะพูดคุยในภาพรวมของการทำงานของทางวิทยุ โทรทัศน์ มากขึ้น โดยเฉพาะรายการละคร
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิจารณ์ว่าเหตุใดจึงมาให้ความสำคัญกับละครที่ใกล้จะจบ เป็นการเกาะกระแสบันเทิงเพื่อเอาการเมืองเข้ามาโยงหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า ตนไม่ได้เกาะกระแส แต่เริ่มจากการวิจารณ์กันเรื่องนี้ โดยเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงวัฒนธรรมที่หยิบยกขึ้นมา ทั้งนี้ ต่อไปหากมีแผนแม่บทออกมาสิ่งเหล่านี้จะลดลง แต่คิดว่าปรากฏการณ์ของดอกส้มสีทอง ของเรยาในครั้งนี้ทำให้สังคมมีความตระหนักร่วมกันมากขึ้น