xs
xsm
sm
md
lg

กทม.แถน้ำขุ่นCCTVเก๊ DSI-ป.ป.ช.รับลูกสอบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-รองผู้ว่า กทม. แจงกมธ. ติดตั้ง"กล้องดัมมี่" เพราะงบไม่พอ แต่การดำเนินการโปร่งใส อ้างเป็นการดิสเครดิตทางการเมืองหวังผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เผยช่วงม็อบแดง ทำกล้องพังไปกว่า 33 ล้าน แฉ 3 จังหวัดใต้ก็ติดกล้องหลอก 7 พันตัว ของจริงแค่ 3 ร้อย "ดีเอสไอ"รับลูกสอบกล้องฉาว ให้เวลากทม.มอบสัญญาซื้อขายใน 3 วัน ส่วนป.ป.ช.มีมติรับเรื่องไว้ตรวจสอบแล้วเช่นกัน

วานนี้ (27 ก.ย.) ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาและติดตามระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง ในคณะกมธ. วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการติดกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เปล่า ในพื้นที่กทม. โดยกมธ.ได้เชิญนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม. และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของ กทม. มาชี้แจงและให้ข้อมูล

นายธีระชนกล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมว่า การจัดซื้อกล้องซีซีทีวี ของกทม.มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ส่วนที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น เข้าใจว่ามีความพยายามโยงเป็นประเด็นการเมือง เพราะกำลังใกล้ถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ซึ่งม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ได้กำชับให้ฝ่ายข้าราชการประจำ และกทม. งดการตอบโต้ เพียงแต่ให้ชี้แจงในข้อเท็จจริงเท่านั้น

ทั้งนี้ ยอมรับว่า กทม. ได้ติดตั้งกล้องดัมมี่ (กล้องเปล่า) จริง แต่ขณะนี้เหลือเพียง 500 ตัว ส่วนสาเหตุที่ต้องมีกล้องดัมมี่ เพราะก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณการจัดซื้อ จึงต้องจัดซื้อกล้องดัมมี่ในราคาตัวละ 1,000 บาท มาติดตั้ง เพื่อป้องปราม อีกทั้งในการชุมนุมทางการเมืองช่วงที่ผ่านมา มีการทำลายกล้องซีซีทีวี ไปเป็นจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายกว่า 33 ล้านบาท

ส่วนโครงการที่มีการติดตั้งกล้อง CCTV 10,000 ตัวนั้น ยืนยันว่า ไม่มีการจัดซื้อกล้องหลอก หรือกล้องดัมมี่ แต่ที่ยังคงค้างอยู่เป็นสต็อกของเก่า ในความเป็นจริงแล้วตามหลักสากลหน่วยงานไม่ควรเปิดเผยเรื่องกล้องดัมมี่ เพราะจะเกิดความเสียหาย แต่เมื่อเรื่องถูกยกมาเป็นประเด็น ก็จำเป็นที่จะต้องเปิดเผย และขอยืนยันว่า การติดตั้งกล้องดัมมี่ในกทม. ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในหลายประเทศก็ได้ติดตั้ง รวมถึงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่พบจากรายงานของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎรว่า มีการติดตั้งกล้องดัมมี่มากถึง 7,000 ตัว และเป็นกล้องจริงเพียง 327 ตัว ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นในปี 2548

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าในสมัยผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน ไม่ได้มีการติดตั้งกล้องดัมมี่อีก และในโครงการระยะต่อไปที่จะติดตั้งกล้อง CCTV ในพื้นที่ กทม. ครบ 20,000 ตัวนั้น กล้องจะเป็นกล้องจริงทั้งหมด

**"แม่ยกเด็จพี่" ยื่นหนังสือร้องนายกฯ

เมื่อเวลา 08.50 น. วานนี้ กลุ่มเครือข่ายสตรีส่งเสริมประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ได้เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินการตรวจสอบกล้อง CCTV 10,000 ตัวของกทม. เพื่อความปลอดภัย และการใช้ภาษีของประชาชนให้มีมาตรฐานตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อไม่ให้เกิดการหลอกหลวงประชาชน คือ 1.ขอให้นำกล้องดัมมี่ (กล้องปลอม) ออก 2.ติดตั้งกล้องจริงในจุดที่เสี่ยงที่จะเกิดอาชญากรรม 3.ให้มีการตรวจสอบสัญญาการจัดซื้อ จัดจ้าง การติดตั้งกล้องซีซีทีวีตัวจริง และกล้องดัมมี่ ที่มีราคาแตกต่างกันอย่างไร และ 4.ให้มีการแถลงผลการตรวจสอบทางสื่อมวลชนอย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียนดังกล่าว พร้อมระบุว่า คงต้องขอดูในรายละเอียดว่ามีอำนาจในการตรวจสอบหรือไม่ แต่ยืนยันว่า จะติดตามเรื่องนี้ให้ เพราะเป็นภาษีของประชาชน

**"สุขุมพันธ์"ส่งไม้ปชป.ชี้แจงเอง

รายงานข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งว่า เมื่อเกิดกรณีเรื่องกล้องCCTVฉาว และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักนั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ได้เรียกผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ จากสำนักการจราจรและขนส่ง ประชุมเร่งด่วน โดยระบุว่า หากพรรคเพื่อไทยนำเรื่องนี้เป็นประเด็นการเมือง ทางกทม.จะไม่ออกมาโต้ตอบ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่หากมีประเด็นที่จำเป็นต้องชี้แจง ก็จะมีการแถลงข่าวเป็นกรณีๆ ไป เฉพาะในรายละเอียดของโครงการเท่านั้น ซึ่งล่าสุด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้สั่งให้ผู้บริหารกทม.ฝ่ายการเมืองทุกคน งดการให้สัมภาษณ์โดยเด็ดขาด และให้เตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อส่งให้พรรคประชาธิปัตย์

ส่วนกรณีที่องค์กรอิสระ อาทิ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะเข้ามาตรวจสอบนั้น ฝ่ายบริหารกทม.ก็มั่นใจว่า จะชี้แจงโครงการนี้ได้ เพราะที่ผ่านมาได้ทำหนังสือชี้แจงกับทางสตง. มาโดยตลอด และหากที่สุดแล้วการสอบสวนของ สตง. ดีเอสไอ หรือ ป.ป.ช.ไม่พบการกระทำความผิดในโครงการนี้ ผู้บริหารอาจจะให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมการฟ้องร้องเอาผิดกับบุคคลที่ออกมาพูดทำให้กทม.เสียหาย อาทิ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เป็นต้น

** ดีเอสไอขอดูเอกสารการซื้อขาย

พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน คดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องการตรวจสอบกล้องCCTV ของกทม. ภายหลังยื่นหนังสือต่อปลัดกทม. เพื่อขอเอกสาร และหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับสัญญาการซื้อขาย ตั้งแต่ปี 2550-2554 มาประกอบสำนวน ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสาน และกทม. ยังไม่ได้ให้เอกสารใดๆ ซึ่งตนมองว่า ต้องให้เวลากับกทม. ตามกรอบเวลาที่ขอ คือ 3 วัน ส่วนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีอีเอสไอนั้น ได้มีการติดตามความคืบหน้าตลอด และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคน เร่งดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว เพราะอยู่ในความสนใจของประชาชน

"ได้เข้าไปตรวจสอบสัญญาการซื้อขายที่ กทม. ระบุว่า ได้มีการเปิดเผยผ่านทางเว็บไซต์ แต่ยืนยันว่า ข้อมูลที่ได้จากเว็บไซต์นั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการดำเนินการตรวจสอบ และจะนำมาเป็นหลักฐานสำคัญไม่ได้ จึงต้องขอให้กทม. เร่งทำสำเนาการซื้อขาย โครงการรจัดซื้อที่มี ลายเซ็นคณะกรรมการอย่างถูกต้อง เพื่อให้ทราบถึงตัวบุคคล ที่เกี่ยวข้องทุกคน ก่อนที่ DSI จะเรียกมาสอบสวนเพิ่มเติม"

อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อมูลที่ DSI ตั้งไว้เบื้องต้นก่อนที่จะดำเนินการสอบสวน คือ การจัดซื้อกล้อง CCTV มีราคาแพงเกินจริงหรือไม่ รวมถึงความจำเป็นที่ต้องติดตั้งกล้อง ดัมมี่ หรือกล้องหลอก

** ป.ป.ช.มีมติรับสอบกล้องฉาว

นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกป.ป.ช. กล่าวว่า กรรมการป.ป.ช. เห็นว่ากรณีดังกล่าวมีเหตุอันควรสงสัยว่า การจัดซื้อกล้องซีซีทีวี ของกทม.จะมีการทุจริตหรือไม่ และจะเป็นกล้องจริงหรือกล้องเปล่า รวมถึงมีราคาแพงจริงหรือไม่ ป.ป.ช. จึงมีมติรับไว้พิจารณา และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่หาข้อเท็จจริงรวบวามเอกสารหลักฐานว่า บุคคลใดมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างไร

** พท.โบ้ยCCTVภาคใต้ซื้อยุคสุรยุทธ์

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงโครงการจัดซื้อกล้องCCTV ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า จากรายงานของ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายเจะอาหมิง โต๊ะตาหยง เป็นประธานฯ ได้พิจารณาศึกษาและติดตามโครงการนี้ สรุปว่าได้มีการริเริ่มโครงการในสมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ
กำลังโหลดความคิดเห็น