ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติรับสอบจัดซื้อกล้อง CCTV กทม.ชี้ อัยการสูงสุดมีอำนาจไม่ชงศาลฎีกาฟัน “หญิงอ้อ” คดีภาษีหุ้น ยันมติเอกฉันท์ ยื่นฟ้อง “นพเหล่” ออกมติ ครม.หนุนแถลงการณ์ร่วมยกพระวิหารให้เขมร พร้อมสั่งสอบโกงจัดซื้อคอมพ์ สธ.เพิ่ม เผย “ภักดี” ถอนตัว ปธ.อนุ กก.ไต่สวนแล้ว
วันนี้ (27 ก.ย.) ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.แถลงผลการประชุม ป.ป.ช.ว่า กรณีการติดตั้งกล้อง CCTV และกล้องดัมมี่ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) นั้น ซึ่งกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า กรณีดังกล่าวมีเหตุอันควรสงสัยว่าการจัดซื้อกล้องซีซีทีวีของ กทม.จะมีการทุจริตหรือไม่ และจะเป็นกล้องจริงหรือกล่องเปล่า รวมถึงมีราคาแพงจริงหรือไม่ ป.ป.ช.จึงมีมติรับไว้พิจารณา และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่หาข้อเท็จจริง รวบรวมเอกสารหลักฐานว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างไร
ส่วนกรณี นายจุลสิงห์ วสันต์สิงห์ อัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีภาษีหุ้นของ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และ คุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร นั้น นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ป.ป.ช.ได้พิจารณาแล้วว่า การจะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ดังนั้น การที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฎีกาคดี จึงถือเป็นที่สุด ส่วนกรณีที่มีข้อครหาถึงการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบของอัยการสูงสุดนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเข้าชื่อยื่นคำร้องให้ถอดถอนอัยการสูงสุด และยังไม่มีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงชัดแจ้ง ป.ป.ช.จึงมีมติให้รวบรวมหลักฐานให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการ
นายกล้านรงค์ กล่าวต่อว่า กรณีอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรณีออกมติ ครม.สนับสนุนการลงนามในแถลงการณ์ร่วม สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ซึ่งที่ผ่านมา คณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุด และ ป.ป.ช.มีความเห็นไม่ตรงกัน โดยอัยการเห็นว่า หลักฐานพอฟ้อง นายนพดล ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ ป.ป.ช.มีความเห็นว่าพยานหลักฐานสมบูรณ์พอเพียงที่จะสั่งฟ้อง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะยื่นฟ้องนายนพดล ตามที่ได้ชี้มูลไว้ก่อนหน้านี้ โดยให้ประสานสภาทนายความเพื่อเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีเอง
นายกล้านรงค์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการไต่ส่วนคดีทุจริตการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 911 ล้านบาท ที่มี คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สาธารณสุข เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่า คณะอนุกรรมการคดีดังกล่าวที่มี นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานได้ไต่สวนคดีดังกล่าวเสร็จแล้ว และส่งเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณา แต่ที่ประชุมเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาหลายคนไม่ใช่เฉพาะคุณหญิง สุดารัตน์ ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้สอบสวนเพิ่มเติมในหลายเรื่อง โดยอ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่ที่ยังไม่เคยมีในสำนวน ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้ไปสอบสวนข้อมูลเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม นายภักดี ได้แจ้งขอถอนตัวออกจากการเป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีนี้ ดังนั้น ที่ประชุมจึงมอบให้ใช้คณะกรรมการทั้ง 9 คน เป็นองค์คณะในการไต่สวนแทน โดยมอบให้ นายวิชัย วิวัตเสวี และ นายปรีชา เลิศกมลมาศ เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน