xs
xsm
sm
md
lg

ความรุนแรงทางการเมืองไทยร่วมสมัย : การปฏิบัติเชิงวาทกรรมของลัทธิแดงนิยม (2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ในการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มและขบวนการทางการเมือง สิ่งสำคัญและเป็นหัวใจของการต่อสู้ประการหนึ่งคือ “การสร้างความจริง” (reality construction) เพื่อที่จะใช้ความจริงที่ถูกสร้างขึ้นมาหรือในปัจจุบันรู้จักในนาม “วาทกรรม” (discourse) เป็นอาวุธทางความคิดในการสร้างความชอบธรรมให้กับการดำรงอยู่ การจัดตั้ง ขยายลัทธิ และการทำลายปรปักษ์ทางการเมือง

ชุดของวาทกรรมที่ได้รับการสร้างขึ้นมาจะถูกนำออกไปปฏิบัติผ่านกลไกการสื่อสารทั้งในระดับกว้างและลึก พร้อมกันนั้นก็จะมีการปฏิบัติการทางการเมืองในเชิงรูปธรรมเพื่อตอกย้ำและสร้างความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับวาทกรรมดังกล่าว วาทกรรมที่ได้รับการตอกย้ำทั้งอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ก็จะตกผลึกอยู่ในจิตสำนึกและจิตไร้สำนึกของบรรดาผู้เสพวาทกรรม และกลุ่มบุคคลที่เสพวาทกรรมชุดใดก็จะสร้าง “โลกแห่งความจริง” ที่มีฐานรองรับจากวาทกรรมชุดนั้น ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็จะสร้างกำแพงแห่งจิตปิดกั้นการรับรู้วาทกรรมชุดอื่นๆในสังคม และพร้อมที่จะตอบโต้หากวาทกรรมของพวกเขาถูกท้าทาย

การต่อสู้ระหว่างวาทกรรมมีแนวโน้มนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงทางการเมือง เพราะว่าเป็นการต่อสู้ในระดับการล้มล้างความเป็นจริงที่แต่ละกลุ่มเชื่ออย่างฝังลึกในระดับจิตใต้สำนึก การที่ชุดของวาทกรรมที่ตนเองยึดถือถูกท้าทายหรือทำลายมีความหมายเท่ากับการที่ “ตัวตน” (self) ถูกทำลายลงไปด้วย ดังนี้บรรดาสาวกของลัทธิ ขบวนการทางการทางการเมือง ศาสนา หรือสังคม จึงต้องปกป้องชุดวาทกรรมของตนเองอย่างถึงที่สุดและจะใช้ทุกวิธีการเพื่อดำรงรักษาเอาไว้ และในที่สุดก็จะในสู่การใช้ความรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในตอนที่แล้วผู้เขียนได้อรรถาธิบายเกี่ยวกับความเชื่อหลักๆของลัทธิแดงนิยม โดยชี้ให้เห็นว่ามีลักษณะเป็นแบบ “เผด็จการทุนอุปถัมภ์นิยม” ในตอนนี้จะขยายความต่อเกี่ยวกับชุด “ความเป็นจริงที่ถูกสร้าง” หรือ วาทกรรมที่ลัทธิแดงนิยมใช้เป็นอาวุธในการสร้างความชอบธรรมและทำลายฝ่ายที่มีความคิดทางการเมืองไม่ตรงกับตนเอง

วาทกรรมหลักที่เป็นรากฐานของลัทธิแดงมี 3 ประการ คือ ประการแรกสังคมไทยยังถูกปกครองด้วยระบอบอำมาตย์หรือ ปกาศกของกลุ่มแดงบางคนเรียกว่า “ระบอบเทวดา” และกลุ่มนี้ขัดขวางและบ่อนทำลายประชาธิปไตย ประการที่สอง กลุ่มอำมาตย์เป็นผู้สร้างสองมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมายและสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม ประการที่สาม กลุ่มอำมาตย์รังแกนายใหญ่ของลัทธิแดงทั้งที่นายใหญ่เป็นผู้บริสุทธิ์

เราต้องทำความเข้าใจกับวาทกรรมของกลุ่มลัทธิแดงนิยมให้ชัดเจนในแต่ละเรื่องเพื่อทลายมายาคติเหล่านี้ออกไป ในเรื่องแรกคำถามคือจริงหรือไม่ที่สังคมไทยยังปกครองด้วยระบอบอำมาตย์ คำว่าระบอบอำมาตย์หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอำมาตยาธิปไตย เป็นคำที่นักวิชาการไทยจำนวนหนึ่งแปลจากคำว่า bureaucratic polity ของนักวิชาการต่างชาติที่มาศึกษาสังคมไทยในยุคทศวรรษ 2490 และอธิบายสังคมไทยในขณะนั้นว่า เป็นสังคมที่การเมืองถูกควบคุมกำกับโดยข้าราชการ อันหมายถึงว่าบรรดาข้าราชการเป็นผู้มีอำนาจทั้งในการกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศและการนำนโยบายไปปฏิบัติ

แนวคิดอำมาตยธิปไตยสามารถใช้อธิบายความเป็นจริงทางการเมืองไทยได้อย่างค่อนข้างถูกต้องในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2490 ถึง 2516 แต่หลังจากนั้นความถูกต้องของแนวคิดนี้ก็ลดลงโดยเฉพาะในช่วงพ.ศ. 2520 เป็นต้นไป มีนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์หลายคน เช่น ศ. ดร. ลิขิต ธีรเวคิน รศ. ดร. ไพศาล สุริยะมงคล รศ. ดร. อเนกเหล่า ธรรมทัศน์ เป็นต้น ได้ศึกษาและสรุปอย่างชัดเจนว่าอำนาจของข้าราชการในการชี้นำและบงการการเมืองไทยเริ่มลดลงและเสื่อมคลายหายไป เปรียบเสมือนตะวันที่กำลังอยู่ในยามสนธยา ในขณะเดียวกันอำนาจของกลุ่มนักธุรกิจ นายทุนก็ได้คืบคลานเข้าในการครอบงำและชี้นำทิศทางของการเมืองไทยมากขึ้นตามลำดับ

สังคมไทยในช่วง 2530 ถึง 2540 เป็นช่วงที่มีการเติบโตและขยายขอบเขตแห่งอำนาจของกลุ่มทุนออกไปอย่างกว้างขวาง ทักษิณ ชินวัตร เองก็เป็นหนึ่งในข้าราชการที่มองเห็นภาพแนวโน้มเช่นนี้ เขาจึงลาออกจากราชการมาประกอบธุรกิจ ทักษิณอาศัยเครือข่ายทางการเมืองจากการที่เคยเป็นนายตำรวจติดตามนายปรีดา พัฒนถาบุตร ในการประกอบธุรกิจสื่อสารและได้รับสัมปทานจากรัฐ ทำธุรกิจผูกขาดจนร่ำรวยมหาศาล และเข้าสู่แวดวงการเมือง ใน พ.ศ. 2537

กลุ่มทุนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติเข้าไปมีอำนาจรัฐทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร โดยใช้กลไกการเลือกตั้งที่ทุจริตเป็นบันได และเมื่อเข้าไปมีอำนาจก็ไม่ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนในสังคม ตรงกันข้ามกลับมีพฤติกรรมที่ทุจริตคอรัปชั่นอย่างกว้างขวาง สิ่งที่เรียกว่า จริยธรรมทางการเมืองไม่เคยอยู่ในจิตสำนึกของบรรดาเหล่านายทุนนักการเมืองเหล่านั้นแม้แต่น้อย

พฤติกรรมของนายทุนนักการเมืองได้สร้างกระแสความไม่พอใจแก่ชนชั้นกลาง จนกระทั่งเกิดการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ใน พ.ศ. 2540 โดยหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีกลไกในการป้องกันและขจัดนักการเมืองที่ทุจริต ฉ้อฉล คอรัปชั่น และมีลักษณะเผด็จการอำนาจนิยมออกจากการเมืองไทยได้

ทว่า ความตั้งใจที่ดีกลับส่งผลที่เลวร้าย กลายเป็นว่า กลไกที่สร้างขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กลับเป็นสิ่งที่ลายประชาธิปไตยให้ย่อยยับอัปราไป ทั้งในระดับองค์การ สถาบัน หลักการและค่านิยมของระบอบประชาธิปไตย

กลุ่มทุนที่มีทักษิณ เป็นหัวหอกได้ใช้กลไกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 รวบอำนาจในรัฐสภาโดยใช้วิธีการทางธุรกิจในการควบรวมพรรคการเมืองเล็กๆให้มาอยู่กับตน ทำให้มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเด็ดขาด ส.ส. จึงหมดความเป็นอิสระและตกอยู่ภายใต้คำสั่งของนายทุนพรรคการเมืองแต่เพียงกลุ่มเดียวหรือผู้เดียว ขณะเดียวกันก็เข้าไปครอบงำวุฒิสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนสภาทั้งสองตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนอย่างสมบูรณ์แบบ

การทำลายกลไกประชาธิปไตยโดยกลุ่มทุนดังดำเนินการต่อไปโดยการเข้าไปครอบงำองค์การอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เมื่อกลุ่มทุนมีอำนาจควบคุมรัฐสภา พวกเขาก็สามารถกำหนดตัวบุคคลที่เข้าไปเป็นกรรมการในองค์การอิสระได้ เพราะฉะนั้นองค์การอิสระทั้งหลายไม่ว่าคณะกรรมการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญในยุคนั้นต่างก็ทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มทุนเป็นหลัก จนบางคนถูกฟ้องและถูกพิพากษจำคุก

นอกจากการทำลายกลไกสำคัญของประชาธิปไตยดังที่กล่าวมาแล้วกลุ่มทุน ยังทำลายเนื้อหา หลักการและจิตวิญญาณประชาธิปไตย ตลอดจนจิตวิญญาณของสังคมไทยด้วย การทำลายหลักการประชาธิปไตยที่สำคัญคือการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชน และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงซึ่งรัฐบาลของกลุ่มทุนที่นำโดยทักษิณทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตหลายพันคน ทั้งจากนโยบายการปราบยาเสพติดแบบเด็ดขาดซึ่งทำให้คนตายถึง 2,800 คน รวมทั้งการใช้ความรุนแรงในการสังหารและจัดการผู้ชุมนุมประท้วงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกจำนวนมาก จนทำให้ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง

ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลของกลุ่มทุนยังทำลายปัญญา จริยธรรมและสำนึกแห่งการพึ่งตนเองของพลเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยการนำนโยบายประชานิยมมาใช้ นโยบายประชานิยม ไม่ว่าจะเป็นหวยบนดิน หรือ กองทุนหมู่บ้าน ล้วนแล้วแต่ทำให้คนงมงายติดการพนันอบายมุขและใช้จ่ายเงินในทางที่ฟุ่มเฟือยยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้ผู้คนจำนวนมากงอมืองอเท้ารอรับแต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาล

กล่าวโดยสรุปในขั้นต้น จะเห็นได้ว่า กลุ่มที่ทำลายเนื้อหา หลักการ และจิตวิญญาณของระบอบประชาธิปไตยอย่างถึงรากถึงโคน หาใช่กลุ่มอำมาตย์แต่อย่างใด แต่เป็นกลุ่มนายทุนอำนาจนิยมอุปถัมภ์ที่นำโดยทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก วาทกรรมของลัทธิแดงจึงเป็นการสร้างความจริงจากมายาคติ ที่ไม่ดำรงอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงทางสังคม แต่เป็นวาทกรรมที่เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนเผด็จการผูกขาดเป็นหลักในการนำไปครอบงำความคิดของประชาชน

สำหรับวาทกรรมชุดที่สองซึ่งระบุว่า กลุ่มอำมาตย์เป็นผู้สร้างสองมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมายและสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม วาทกรรมชุดนี้เป็นผลสืบเนื่องจากชุดแรก แกนนำและสาวกของลัทธิแดงพยายามหยิบยกเรื่องสองมาตรฐานเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการพิพากษาของศาลมาใช้ในการตอกย้ำและโจมตีบุคคลต่างๆในสังคม แต่พวกเขาไม่ได้กล่าวถึงสองมาตรฐานในบริบทอื่นของสังคมที่เกิดจากการกระทำของกลุ่มทุนแม้แต่น้อย ทั้งๆที่ภาวะสองมาตรฐานในบริบทอื่นนั้นมีมากมายดาษดื่น เหตุที่พวกเขาไม่กล่าวก็เพราะว่า การใช้สองมาตรฐานเกือบทั้งหมดเกิดจากกลุ่มทุนที่เป็นแกนนำและเจ้าลัทธิแดงนั่นเอง

สองมาตรฐานที่ชัดเจนคือ กรณีลูกสาวของนายใหญ่ของลัทธิแดงสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยรู้ข้อสอบล่วงหน้า และคนนำไปบอกก็เป็นคนข้าราชการรับสูงสุดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสอบ ซึ่งทำให้ลูกสาวของนายใหญ่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ ซึ่งเป็นการเอาเปรียบลูกชาวบ้านคนอื่นๆอีกนับหมื่นนับแสนคน หรือ กรณีสองมาตรฐานในการประกอบการธุรกิจ ที่เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มพวกพ้องตนเองเป็นหลักซึ่งมีให้เห็นอย่างกลาดเกลื่อน หรือ สองมาตรฐานในการซื้อหุ้นการปิเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งมีแต่เฉพาะกลุ่มทุนทางการเมืองและพวกพ้องเท่านั้นที่มีโอกาสซื้อหุ้นจากการแปรรูปของการปิโตเลียมแห่งประเทศไทย

ภาวะสองมาตรฐานหรือไร้มาตรฐานดำรงอยู่จริงในประเทศไทย และกลุ่มที่ทำให้เกิดภาวะสองมาตรฐานซึ่งเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็คือ กลุ่มทุนสามานย์ผูกขาดอำนาจนิยม ผู้มีอำนาจทางการเมืองมาโดยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานั่นเอง

และวาทกรรมประการที่สาม กลุ่มอำมาตย์รังแกนายใหญ่ของลัทธิแดงทั้งที่นายใหญ่เป็นผู้บริสุทธิ์ ลูกน้องคนสำคัญของเจ้าลัทธิแดงนิยมผู้จบปริญญาเอกทางกฎหมาย และกำลังเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองในปัจจุบัน มักจะกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อสาธารณะว่า นายใหญ่ของเขาไม่ได้ทำผิด แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม ซึ่งเป็นการกล่าวในการบิดเบือนหลักการของกฎหมายและเล่นคำ การกล่าวเช่นนี้มีเป้าประสงค์เพื่อสื่อสารเชิงตอกย้ำไปแก่สาวกของลัทธิแดงทั้งหลายให้เชื่อมั่นและเข้าใจว่านายใหญ่เป็นคนดี และเป็นการหยั่งเชิงทางสังคมอันจะนำไปสู่การขออภัยโทษ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างความผิดแก่นายใหญ่ของลัทธิแดงต่อไปในอนาคต

ที่จริงแล้ว ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้มีความผิดกฎหมายอย่างชัดเจนในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องการทุจริตและการประพฤติมิชอบในราชการ โดยใช้อำนาจของการเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นหลักประกันในการทำธุรกิจกับรัฐของภรรยา อันเป็นการทับซ้อนของผลประโยชน์ รวมทั้งใช้อำนาจในการสั่งให้วันที่ 31 มกราคม ในปีนั้นให้เป็นวันทำการราชการเพื่อทำให้การโอนที่ดินไม่ต้องเสียภาษีในอัตราใหม่ ส่งผลให้ภรรยาของตนเองประหยัดเงินได้นับร้อยล้านบาท

พฤติกรรมเลวร้ายของทักษิณ และกลุ่มทุนสามานย์ยังมีอีกมาก ซึ่งเป็นที่รับรู้ของผู้มีปัญญาและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน ดังนั้นไม่ว่าบรรดาปกาศกระดับรองลงมาและแกนนำสาวกของลัทธิแดงจะสร้างวาทกรรมอย่างไรก็ตาม ก็มิอาจปิดบังความจริงเหล่านี้ไปได้
กำลังโหลดความคิดเห็น