ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นไปตามคาดกับคำตอบของ “คนสวย” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับกรณีที่หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงการจับกุม “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคดีจากประเทศไทย ที่จะเดินทางไปเยือนกัมพูชา ว่า “วันนี้ยังไม่ทราบ” ซึ่งก็เหมือนกับแทบทุกเรื่องที่ “คนสวย” ชอบ “เล่นลิ้น” พยายามพลิกพลิ้วตอบคำถามว่า “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่ได้รับรายงาน”
เช่นเดียวกับภัยพิบัติน้ำท่วม ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสอยู่ในตอนนี้ แต่รัฐบาลที่นำโดย “น้องปู” กลับทำเหมือนไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ และยังไม่ได้รับรายงาน เพราะในขณะที่ชาวบ้านประสบความเดือดร้อนอย่างหนัก ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังมีแก่ใจ ร่อนไปประเทศนั้นประเทศนี้ แทนที่จะอยู่สั่งการ หรือถลกขากางเกงลงไปสัมผัสกับชาวบ้านที่ประสบภัย เพื่อรับรู้ปัญหา ทำความเข้าใจ และแก้ไขความเดือดร้อนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
แต่นี่คนสวยก็ยังร่อนไปกัมพูชาอีก!
และที่สำคัญ ในขณะที่ประชาชนกำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์ พวกคนในรัฐบาลเพื่อไทยยังจะไปจัดงานรื่นเริงที่เขมร อยากถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าทำอย่างนี้มันเหมาะสมหรือไม่ อย่าตอบว่า “ยังไม่ทราบ” อีกล่ะ
เพราะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด หรือมีเหตุให้ต้องพับแผนไปเสียก่อน การแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างสมาชิกรัฐสภาและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชากับไทย จะจัดให้มีการแข่งขันกันที่สนามโอลิมปิก ในกรุงพนมเปญ ในวันที่ 24 ก.ย. นี้อย่างแน่นอน โดย “ไฮไลต์” ที่สำคัญอาจเป็นการลงไปสัมผัสแข้งกันระหว่าง “ทักษิณ-ฮุนเซน” เพื่อนรักชั่วนิรันดร์ ในเกมฟาดแข้งแดงสันติภาพ “เรดพีซ” หรือที่หลายคนตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “เจ้ามูลเมืองคัพ”
โดยล่าสุด บรรดาคนเสื้อแดง แกนนำเสื้อแดง รวมถึงพวกที่เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่างระริกระรี้อยากไปเฝ้านายใหญ่ที่เขมรจนตัวสั่น โดยแกนนำก่อการร้ายหลายคน ต่างก็กระเสือกกระสนดิ้นรนยื่นคำร้องขอศาลปล่อยตัวชั่วคราวให้เดินทางไปกัมพูชา โดยล่าสุด ศาลอนุญาตให้ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นพ.เหวง โตจิราการ นายขวัญชัย ไพรพนา และนายยศวริศ ชูกล่อม ออกนอกประเทศได้ตามคำร้องขอ โดยจำเลยทั้งหมดวางเงินสดเป็นหลักประกันต่อศาลคนละ 6แสนบาท
เชื่อแน่ว่าพวกจำเลยดังกล่าว ต่างก็เฝ้ารอวันที่จะได้เข้าไป “คลอเคลีย” เจ้านายของพวกเขาด้วยหัวใจที่แสนจะภักดี และสั่นระทึก!
แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า การเตะฟุตบอลนั้นเป็นเพียงหน้าฉาก แต่เบื้องหลังที่แท้จริงจะมีการเกณฑ์มวลชนคนเสื้อแดงจนเต็มสนามโอลิมปิกสเตเดี้ยม กรุงพนมเปญ เพื่อแสดงพลังและพบปะกับ “ท่านทักษิณ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงดูไบ หรือบรูไน และที่สำคัญเป็นการแสดงเจตนาให้เห็นว่า ใกล้ถึงเวลาที่ “ท่านทักษิณ” จะได้เดินทางกลับบ้านเกิดแล้ว
และที่สำคัญ งานนี้เป็นการ “เซตฉาก” เพื่อตบหน้าพรรคประชาธิปัตย์ฉาดใหญ่ ในการปล่อยตัวนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 2 คนไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกอยู่ในเรือนจำเปรย์ซอว์ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ต้นปี 2554 ที่ผ่านมา ก่อนที่นายฮุนเซนจะเล่นลิ้นด้วยการให้กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์ยืนยันว่า จะยังไม่มีการอภัยโทษให้ทั้ง 2 คนในภายหลัง ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า กัมพูชาจะปล่อยตัวหรือไม่ เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในบ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปเช่นกัมพูชา
ทั้งนี้ กำหนดการเดินทางไปเยือนกัมพูชาของ “ทักษิณ ชินวัตร” มีการเปิดเผยออกมาแล้วว่า จะเดินทางมาเยือนกัมพูชาในวันที่ 16 กันยายน หลังการเยือนของ “น้องสาว” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพียงหนึ่งวัน
ทำให้หลายคนสงสัยว่า นานๆ จะมาเยือนกัมพูชาทั้งที ทำไม “น้องสาวกับพี่ชายที่แสนดี” จึงต้องหลีกเลี่ยงที่จะไม่พบกัน แต่เมื่อพิจารณาจากสถานะของคนที่เป็นนายกฯ หากพบกับ “นช.ทักษิณ” ที่มีโทษคดีอาญาจำคุก 2 ปี จะต้องประสานกับเจ้าหน้าที่เพื่อให้ดำเนินการจับกุมเพื่อนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ดำเนินการ ก็อาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงทำให้หลายคนหมดความสงสัย
แต่สิ่งที่หลายฝ่ายมองตรงกันก็คือ การเดินทางไปเยือนกัมพูชาครั้งนี้ต้องมีวาระ “แอบแฝง” แน่ๆ! เพราะถ้าพิจารณาในแง่ของ “ผลประโยชน์” ที่จะตามมาอย่างมากมายมหาศาลในเรื่องของ “ธุรกิจพลังงาน” ในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทย ซึ่งหากใครได้ติดตามความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” มาตั้งแต่การขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับเทมาเส็กของสิงคโปร์นับแสนล้านบาท เมื่อต้นปี 2549 หรือก่อนหน้านั้นในกรณีการแปรรูป ปตท. หรือแม้กระทั่งกรณีฮุบโรงกลั่นของทีพีไอ รวมไปถึงความพยายามแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็มีคนสงสัยว่า มีเป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือ “เทขายธุรกิจการสื่อสาร” ที่เริ่มมีการแข่งขันสูง มาเป็น “ธุรกิจพลังงาน” ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรได้มากกว่าหรือไม่
มันจึงมีเหตุผลมากมายที่ทำให้เชื่อได้ว่า “วาระแอบแฝง” นี่แหละคือ “เรื่องหลัก” ที่พวกเขาจะหารือกันจนได้ข้อสรุป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ทั้งสองฝ่ายเคยมีการหารือตกลงกันไปแล้วในเบื้องต้น แต่ยังไม่ทันได้ข้อสรุป ฝ่ายหลังก็ถูกรัฐประหารจนตกเก้าอี้นายกฯ ไปเสียก่อนเมื่อปี 2549 ทำให้การสานต่อติดๆ ขัดๆ เรื่อยมา แม้ว่าจะมีรัฐบาล “นอมินี” ต่อเนื่องกันถึงสองรัฐบาล คือ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะถูกประชาชนขับไล่ออกไปเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้จะเว้นวรรคในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยังไม่อาจทำข้อตกลงอะไรได้ แต่ในความสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณ-ฮุนเซน” ถือว่าแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ดังจะเห็นได้จากบทบาทของผู้นำกัมพูชาที่ช่วยกระทุ้ง-ปัดแข้งปัดขาผู้นำไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ ที่โดนดิสเครดิตอยู่เป็นระยะ
ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็น “พรรคเพื่อไทย” ของทักษิณ ไม่บอกก็รู้ว่าทั้งสองฝ่ายจะ “แฮปปี้” แค่ไหน ดังจะเห็นได้จากสารแสดงความยินดีจากผู้นำประเทศกัมพูชา ที่ส่งเข้ามาถึงเป็นประเทศแรกๆ เลยทีเดียว
เมื่อความสัมพันธ์แนบแน่นแบบนี้ จึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าบรรยากาศในการเยือนกัมพูชาครั้งนี้จะชื่นมื่นรื่นเริงกันเพียงใด ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพ และเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รายงานโดยอ้างอิงคำกล่าวของสมเด็จฮุนเซน ระหว่างพิธีมอบปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการจัดการ ตอนหนึ่งว่า...
“พ.ต.ท.ทักษิณ มาตามคำเชิญในการสัมมนาที่เตรียมการโดยราชบัณฑิตยสภากัมพูชาที่มีพรรคประชาธิปไตยนิยมกลางสากลเข้าร่วมด้วย หรือกล่าวคือเขามาเป็นวิทยากรที่กัมพูชา ผมจะเปิดสำนักนายกรัฐมนตรีต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างเป็นทางการ รับในนามมิตรแท้คนหนึ่ง แล้วขออย่ามาสั่งให้ผมจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าพรรคฝ่ายค้านไทย ไม่ว่ารัฐบาลไทย คือไม่ได้เลย เพราะนี่เป็นดินแดนกัมพูชาที่เป็นสิทธิของผม”
คำกล่าวของนายฮุนเซนทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นอกจากความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้ว น่าจะมีแรงจูงใจชนิด “พิเศษ” สุดๆ จึงทำให้ผู้นำกัมพูชาต้อง “เอาอกเอาใจ” อดีตผู้นำไทยหนีคดีถึงเพียงนี้
ทั้งนี้ หากเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของทักษิณ และคนในรัฐบาล รวมทั้งนายฮุนเซน จะพบความสอดคล้องต้องกันในเรื่องของการกล่าวถึง "แหล่งพลังงาน" ในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ที่คาดกันว่าจะเป็น “ขุมทรัพย์พลังงาน” แห่งใหม่ของโลก
เริ่มจาก นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ระบุตั้งแต่วันรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่า นโยบายระยะสั้นที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา บริเวณอ่าวไทย
"ผมให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก และคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นวาระแห่งชาติ" รมว.พลังงาน กล่าว
เช่นเดียวกับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ตอบกระทู้ถามสดของ ส.ว. เรื่องพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 12 กันยายน ตอนหนึ่งว่า
"รัฐบาลชุดนี้จะทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับเอ็มโอยู 2544 นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาข้อดีข้อเสียและขั้นตอนแนวทางการเจรจาเอาไว้แล้ว"
ขณะที่ รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า ทักษิณจะเดินทางถึงกัมพูชาในวันที่ 16 กันยายน โดยมี นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายทักษิณ ร่วมเดินทางไปด้วย โดยรายงานข่าวดังกล่าวระบุว่า ทั้งสองมีกำหนดการพูดให้ข้าราชการกัมพูชาฟังในเรื่องปราสาทพระวิหาร พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และการหารือกันนอกรอบเรื่องการช่วยเหลือ 2 คนไทยที่ถูกจำคุกข้อหาจารกรรมข้อมูลทางทหารด้วย
ทางด้าน เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ อ้างอิงคำกล่าวของนายฮุนเซน ซึ่งให้สัมภาษณ์ที่สนามบินกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ว่า...
"กัมพูชาจะไม่ปล่อยทองคำสีดำไว้ใต้ท้องทะเล มันจะต้องถูกนำมาพัฒนาประเทศ ทั้งไทยและกัมพูชา ต่างก็มีความต้องการน้ำมัน นอกจากนี้ กัมพูชาอยู่ระหว่างการศึกษาและร่างกฎหมายการจัดการปิโตรเลียม แต่ยังไม่มีกำหนดแล้วเสร็จ"
ต่อมา หนังสือพิมพ์กัมพูชาใหม่ รายงานเมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา โดยอ้างอิงคำกล่าวของนายฮุนเซน ที่กล่าวชี้แจงถึงกรณีบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (เอ็มโอยู) ไทย-กัมพูชา ปี 2544 ตอนหนึ่งว่า...
"ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เปิดการเจรจาอย่างเปิดเผย โดยมีคณะกรรมการร่วม 2 คณะ คือ คณะหนึ่งสำหรับกำหนดเขตแดน และอีกคณะเกี่ยวกับพื้นที่พัฒนาร่วม การเจรจาจนมาถึงเวลานี้ ไม่ว่ากับรัฐบาลไหนก็ตาม ยังไม่มีความเห็นชอบอะไรทั้งสิ้น ในนั้นมีการแบ่งสัดส่วนออกเป็น 3 โซน ตรงกลางแบ่ง 50 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ที่อยู่ใกล้ไทยกว่า ตอนแรกแบ่ง 10-90 ต่อมาเอา 20-80 ส่วนพื้นที่ข้างกัมพูชา 80-20 ส่วนกัมพูชาเสนอกลับไปว่าให้แบ่งเป็นบล็อกๆ แล้วจับสลากเลือก"
คำชี้แจงของนายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา สอดคล้องกับข้อมูลของเว็บไซต์หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ที่นำข้อมูลจากเว็บไซต์จอมแฉ "วิกิลีกส์" เปิดเผย "เอกสารลับทางการทูต" ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2550โดยเอกสารลับฉบับดังกล่าวรายงานรายละเอียดการไปเยือนกรุงพนมเปญของสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน และร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงกัมพูชา โดยมีประเด็นสำคัญว่า ผู้แทนบริษัท โคโนโคฟิลิปส์ ยักษ์ใหญ่พลังงานสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชา หาทางคลี่คลายข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย โดยระบุว่า บริษัทรอสัญญาสัมปทานการสำรวจพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว
ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมครั้งนั้น นายเกา คิม ฮอร์น เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ได้แจ้งต่อบริษัทค้าน้ำมันของสหรัฐฯ ว่า รัฐบาลไทยกับกัมพูชาเกือบได้ข้อยุติในเรื่องนี้ไม่นานนักก่อนรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกยึดอำนาจ
นายเการะบุว่า ทั้งสองเห็นพ้องกันในหลักการแบ่งรายได้ ดังนี้ พื้นที่ใกล้ไทยมากที่สุด ไทยได้ 80% กัมพูชา 20% พื้นที่ตรงกลางแบ่ง 50-50 และพื้นที่ใกล้ชายฝั่งกัมพูชา ไทยได้ 20 กัมพูชา 80 ซึ่งเชื่อว่า หากมีการเจรจาเพิ่มเติมอีก 6 เดือนน่าจะตกลงในประเด็นนี้ได้
นอกจากนี้ “วิกิลีกส์” ยังแฉเอกสารลับอีกฉบับ ซึ่งให้รายละเอียดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา กับ นายแกรี ฟลาเฮอร์ตี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ "เชฟรอน" เมื่อปี 2550โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่า เชฟรอนได้ขุดเจาะและสำรวจบ่อน้ำมันส่วนที่เรียกว่า "บล็อก เอ" นอกชายฝั่งกัมพูชา มีความสนใจอย่างมากในการได้รับสิทธิในการสำรวจบ่อน้ำมันใน "พื้นที่ทับซ้อน" ไทย-กัมพูชา ผู้บริหารเชฟรอนย้ำว่า พื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการสำรวจ และอาจเปลี่ยนแปลงกัมพูชาแบบพลิกโฉม
ทั้งนี้ สอดคล้องกับการประเมินโดยธนาคารโลกที่คาดว่า แหล่งพลังงานในกัมพูชาน่าจะมีน้ำมันถึง 2,000 ล้านบาร์เรลและก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต โดยจะสร้างรายได้ให้กัมพูชาไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (เทียบกับราคาน้ำมันดิบบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์สหรัฐ) โดยพื้นที่ที่น่าจะมีก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันมากที่สุด ก็คือ พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย ห่างชายฝั่งกัมพูชา 250 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,551 ตารางกิโลเมตร คาดว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่หลายร้อยล้านบาร์เรล
ดังนั้น นอกจากความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้ว ทำให้เชื่อได้ว่านี่อาจเป็นแรงจูงใจชนิด “พิเศษ” ที่ทำให้ “ฮุนเซน” เอาอกเอาใจ “ทักษิณ” เป็นพิเศษ แม้กระทั่งล่าสุด “จิ้งจอกพนมเปญ” ยังได้แสยะเขี้ยวกัดทึ้งรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างป่าเถื่อนและไร้วัฒนธรรมทางการทูต จนรัฐบาลประชาธิปัตย์แทบไม่เหลือชิ้นดี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาใจเพื่อนรักชั่วนิรันดร์ของเขา โดยกล่าวย้อนความจำไปถึงเมื่อครั้งที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แอบเดินทางไปเจรจาลับเรื่องน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
“ตอนนั้น เราได้ต้อนรับเขาด้วยแกงเลียง... ผมขอแนะนำไปถึงอภิสิทธิ์และสุเทพที่กรุงเทพฯ ว่า ใครคนไหนหอบเอาเอกสารมาที่บ้านผมที่ตาเคมา สุเทพรับรู้เรื่องนี้ ใครคนไหนหอบเอาเอกสารไปที่ตาเคมา ผมไม่รับรู้ด้วย ดังนั้น ขอให้ฝ่ายไทยไปดูไปตรวจสอบให้ถูกต้องถึงมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทย เรื่องที่มาลักลอบเจรจาลับอย่างนั้น”
เชื่อขนมกินได้เลยว่า ถ้าไม่มีผลประโยชน์มหาศาล สุนัขจิ้งจอก “ฮุนเซน” คงไม่จัดหนักให้ “ทักษิณ” เพื่อนรักชั่วนิรันดร์ของเขาถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม นอกจากถูกจับตาเรื่องวาระพิเศษด้านธุรกิจพลังงานแล้ว การเดินทางเยือนเขมรครั้งนี้ ยังมีวาระสำคัญที่จัดวางไว้ล่วงหน้า โดยคาดหมายกันว่าจะมีการเจรจาให้ปล่อยตัวนายวีระและน.ส.ราตรี 2 คนไทยที่ถูกจำคุกอยู่ที่นั่นกลับมา โดยก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า นายวีระและน.ส.ราตรี อาจได้รับการปล่อยตัวให้เดินทางกลับมาพร้อมกับคณะของน.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเยือนกัมพูชา ในวันที่ 15 ก.ย. ตามที่ฮุนเซนได้เล่นเกมถางทางไว้รอท่าล่วงหน้าแล้ว
แต่ปรากฏว่าล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานข่าวกรณีรัฐบาลกัมพูชากำลังหาแนวทางพระราชทานอภัยโทษให้นายวีระและน.ส.ราตรี ว่า ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชายืนยันว่า คดีดังกล่าวจะต้องดำเนินไปภายใต้กฎหมายของกัมพูชา ที่ผู้ต้องหาต้องรับโทษ 2 ใน 3 ก่อนจึงจะมีสิทธิขอรับพระราชทานอภัยโทษ
แต่อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระดับสูงจากรัฐบาลกัมพูชา ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า สาเหตุที่กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ออกแถลงการณ์ว่า ยังไม่มีการขอพระราชทานอภัยโทษแก่ นายวีระและน.ส.ราตรี นั้น เพราะรัฐบาลฮุนเซน ไม่ต้องการให้นานาชาติมองว่า กัมพูชาเลือกปฏิบัติ ระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์กับรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งนี้ ที่ผ่านมากัมพูชาก็ถูกมองว่าไม่เป็นมิตรกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ขณะที่สมเด็จฮุนเซน มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
"เงื่อนไขการปล่อยตัวนั้น ถ้าตามกฎหมายก็ต้องเป็นไปตามที่แถลงการณ์ออกมา คือ ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ก่อน แต่ได้มีการพูดคุยในระดับผู้ใหญ่แล้วว่า จะปล่อยตัวทั้งคู่ออกมาอย่างแน่นอน เพียงแต่หลังเป็นข่าวออกไป ทำให้กัมพูชาถูกจับตามองจากนานาชาติ ดังนั้น เราจึงต้องเลื่อนการปล่อยตัวทั้งคู่ออกไประยะหนึ่ง แต่ยืนยันได้ว่าจะมีการปล่อยตัวเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน หลังจากทั้งคู่ได้รับอภัยโทษแล้ว จะให้พักฟื้นร่างกายในกัมพูชาอีกระยะหนึ่ง เมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีขึ้นแล้ว จึงจะส่งตัวกลับประเทศไทย" แหล่งข่าวระบุ
เช่นเดียวกับ นายยึก บุญชัย รองนายกรัฐมนตรีด้านกิจการชายแดน ที่ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โดยยอมรับว่า โอกาสปล่อยตัวนายวีระและน.ส.ราตรี มีความเป็นไปได้ หากการเดินทางเยือนประเทศกัมพูชาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย มีการร้องขอเข้ามา
ซึ่งก็น่าจะมีความเป็นไปได้อย่างที่นายยึกว่า เพราะทันทีที่ “จิ้งจอกพนมเปญ” เห็นความงามของ “นารีขี่ม้าขาว” อยู่ตรงหน้า เขาอาจอุทานออกมาว่า “อุ๊ย! น่ารักง่าาา” และเมื่อคนสวยเอ่ยปากขออะไรออกมา อาจเป็นไปได้ว่า “จิ้งจอกเฒ่า” คงพร้อมประเคนให้หมดทุกอย่าง ถือเป็นของขวัญให้กับ “คนสวย” ที่เดินทางมาเยือนกัมพูชาในครั้งนี้
แน่นอนว่านี่คือวาระสำหรับการสร้างภาพที่ดูดีมากๆ ให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะ “ทักษิณ” งานนี้เขาได้เป็น “ฮีโร่” ที่สามารถหว่านล้อมให้ปล่อยตัว 2 นักโทษไทยออกมา หลังจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้ให้การช่วยเหลืออย่างจริงจัง เป็นการได้ภาพบวกสองต่อ อย่างแรกเป็นการตบหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ ประการถัดมาเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แนบแน่น จับมือกันสร้างประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่าย สามารถชี้นำให้เห็นว่าตัวเขายังมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองมากมาย ต้องนำศักยภาพมาใช้ให้คุ้มค่า เพิ่มน้ำหนักในเรื่องการ “อภัยโทษ” ขึ้นไปอีก
ดังนั้น การเดินทางเยือนกัมพูชาของทักษิณครั้งนี้ หากพิจารณาจากการเปิดเผยของนายฮุนเซน ก็แน่ชัดแล้วว่า “ทักษิณ” เป็นบุคคลสำคัญ เพราะนอกจากยกย่องให้เป็นแขกเกียรติยศ เข้าหารือกันอย่างใกล้ชิด มีกิจกรรมร่วมกันมากมาย รวมถึงการมอบรางวัลในฐานะผู้มี “คุณูปการ” อันใหญ่หลวงแล้ว จาก "สัญญาณ" ที่ตรงกันของทั้งสองฝ่าย ก็ทำให้ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า หลังการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ของทักษิณ จะนำไปสู่การรื้อฟื้น "เอ็มโอยู 2544" ในรูปแบบใด และจะนำไปสู่การแบ่งสรรผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอย่างไรบ้าง
แต่ถ้าถาม “คนสวย” ยิ่งลักษณ์ คงได้คำตอบประมาณว่า “ขอดูรายละเอียดก่อน... เร็วเกินไปที่จะพูด... ต้องให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจง” ทุกคำถามล้วนสยบได้ด้วยคำตอบเดียว “ยังไม่ทราบค่ะ” !