ศรีสะเกษ -ศาลจังหวัดกันทรลักษ์พิพากษาจำคุก 3 สายลับเขมร-เวียดนาม คนละ 2 ปีเศษ ข้อหาความผิดตามความมั่นคง จารกรรมข้อมูลทางการทหารของไทย และเสพยาเสพติด ขณะที่ทนายความของ 3 จำเลยประกาศจะอุทธรณ์ต่อ เพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่ลูกความทั้ง 2 ชาติอย่างเต็มที่
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (6 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 5 ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ น.ส.สุวนันท์ ไม้จงดี และ นายคำกอง คำพันธ์ องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ตัดสินคดี 3 ผู้ต้องหาคดีจารกรรมข้อมูลที่ตั้งฐานทหารของไทย
ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. เวลา 17.00 น.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นำโดย พ.ต.อ.สมพจน์ ขอมปรางค์ ผกก.สภ.กันทรลักษ์ สนธิกำลังกับ พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ. กันทรลักษ์ นำกำลังทหารสังกัดกองกำลังสุรนารี จับกุมได้
ผู้ต้องหา ประกอบด้วย จำเลยที่ 1 นายสุชาติ มูฮำหมัด อายุ 32 ปี สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย นับถือศาสนาอิสลาม จำเลยที่ 2 นายอึ้ง กิมไทย อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา เชื้อชาติกัมพูชา ศาสนาพุทธ และจำเลยที่ 3 นายเหวียง เติ้งยัง อายุ 37 ปี สัญชาติเวียดนาม เชื้อชาติเวียดนาม ศาสนาพุทธ จำเลยทั้ง 3 คน ถูกกุมได้ที่บริเวณถนนสายกันทรลักษ์-เขาพระวิหาร ต.เมือง อ.กันทรลักษ์ หลังจากที่ทั้ง 3 คน ใช้รถยนต์เป็นพาหนะลักลอบเข้ามาหาพิกัดที่ตั้งของทหารไทย และสำรวจหลุมหลบภัยของชาวบ้าน ที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ พร้อมรถกระบะโตโยต้า สีดำ 4 ประตู ทะเบียน ชว 1901 กรุงเทพมหานคร โดยมี นายสุชาติ จำเลยที่ 1 เป็นคนขับ
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า ในการรับฟังการตัดสินคดีนี้ ได้มี นายพัม มิน ตวน และ นายซาน ดุย คุย เลขานุการเอก สถานอัครราชทูตเวียดนาม ประจำประเทศไทย มาร่วมรับฟังการอ่านคำพิพากษาด้วย ซึ่งหลังจากที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาพร้อมกันแล้ว องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีดังกล่าวนี้ และได้ตัดสินว่า จำเลยทั้ง 3 คน มีความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน
จำเลยที่ 1 นายสุชาติ มูฮำหมัด ถูกตัดสินให้มีความผิดกระทงที่ 1 คือ เสพสารเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า) ขณะขับขี่รถยนต์ เป็นความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติกฎหมายจราจรทางบก และกฎหมายควบคุมสารเสพติดให้โทษ มีความผิดจำคุกไม่เกิน 8 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือต้องโทษจำคุก 4 เดือน ส่วนอีกกระทงหนึ่ง คือ ความผิดตามพระราชบัญญัติความมั่นคง ฐานจารกรรมข้อมูลทางการทหารของไทย ซึ่งความผิดนี้ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี แต่เนื่องจากศาลพิจารณาเห็นว่า จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คน ไม่ใช่ผู้ก่อการหลัก จึงลดโทษให้เหลือจำคุก 2 ปี รวมเป็นจำคุก 2 ปี 4 เดือน และให้พักในอนุญาตขับขี่รถยนต์นาน 6 เดือนด้วย
ส่วนจำเลยที่ 2 นายอึ้ง กิมไทย ศาลพิจารณาความผิดกระทงแรก เสพสารเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า) ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน แต่เนื่องจากผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 เดือน และความผิดตามพระราชบัญญัติด้านความมั่นคง จำคุก 2 ปี
ส่วนจำเลยที่ 3 นายเหวียง เติ้งยัง ผู้ต้องหาชาวเวียดนาม ได้รับโทษกระทงเดียว คือ ความผิดตามพระราชบัญญัติความมั่นคงของประเทศ ได้รับโทษจำคุก 2 ปี
หลังจากที่ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้รับทราบผลการพิจารณาคดีแล้ว ถึงกับเข่าทรุด โดย นายอึ้ง กิมไทย อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา เชื้อชาติกัมพูชา ได้ร้องไห้น้ำตาคลอเบ้า และยกมือปาดน้ำตา ก่อนที่เดินเข้าไปในห้องควบคุมชั่วคราวของศาลจังหวัดกันทรลักษ์
ส่วน นายสุชาติ มูฮำหมัด อายุ 32 ปี สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย นับถือศาสนาอิสลาม ยังคงอยู่ในอาการสงบนิ่ง มีญาติพี่น้อง และภรรยา คอยให้กำลังอยู่ข้างๆ และปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าว รวมทั้งภรรยา และญาติพี่น้องของ นายสุชาติ ก็ไม่ยอมให้ความเห็นใดๆ กับผู้สื่อข่าวเช่นกัน โดยพูดเพียงสั้นๆ ว่า จะรอหารือกันเสียก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ขณะที่ นายเหวียง เติ้งยัง ผู้ต้องหาชาวเวียดนาม ได้ปล่อยโฮร่ำไห้ออกมาเสียงดัง และกอดกับภรรยาที่มานั่งรับฟังผลการพิจารณาคดีด้วย พร้อมกับบอกกับผู้สื่อข่าวว่า โดยมีล่ามแปลให้ฟังสรุปได้ว่า “ผมไม่เกี่ยว ผมไม่รู้เรื่อง ทำไมประเทศไทยทำกับผมอย่างนี้” จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ไปขังที่เรือนจำกันทรลักษ์ต่อไป
นายพัม มิน ตวน เลขานุการเอกอัครราชทูตเวียดนาม ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ตนจะได้นำเรื่องนี้รายงานให้หน่วยเหนือได้รับทราบ และจะได้พิจารณาหาแนวทางให้การช่วยเหลือจำเลยที่เป็นชาวเวียดนามอย่างเต็มที่ต่อไป
ทางด้าน นายวีระวัฒน์ ทองสุทธิ์ ทนายความคนไทยที่รับว่าความให้ผู้ต้องหา 3 ราย กล่าวว่า การรับว่าความในคดีนี้ มีทีมทนายความทั้งสิ้น 3 คน คือ นายประสิทธิศักดิ์ ฝอยทอง น.ส.สุภัทรพร ทองสุทธิ์ และตน ซึ่งในการพิจารณาคดีก็เป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย จะเชื่อหรือไม่ก็เป็นไปตามคำวิเคราะห์ของศาล ส่วนผู้ต้องหาก็จะดำเนินการอุทธรณ์ตามขั้นตอนต่อไป
ส่วนเจ้าหน้าที่กงสุลกัมพูชาและเลขาเอก เอกอัครราชทูตประเทศกัมพูชา ประจำประเทศไทย ก็บอกว่า พอใจในคำพิพากษาระดับหนึ่ง และจะดำเนินการยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ตามกรอบของกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการอ่านคำพิพากษาของ 3 สายลัยเขมร-เวียดนาม ในครั้งนี้ ปรากฏว่า ในวันเดียวกันนี้ นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานยุติธรรม และคณะ ได้มาตรวจเยี่ยมศาลจังหวัดกันทรลักษ์ด้วย ซึ่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกันทรลักษ์ และคณะ ได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานของศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ในทุกด้านที่เกี่ยวข้องให้ทราบ