ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยชาวน้ำปาด ทรงพระราชทานสิ่งไปช่วยเหลือ "สุโขทัย-พิจิตร" อ่วมซ้ำซาก ผงะจระเข้ยาว 3 เมตรโผล่ที่พิจิตร ขณะที่ลุ่มน้ำป่าสักมากกว่า 5 จังหวัดจมบาดาล ทั้ง "สุพรรณ-อ่างทอง-อยุธยา- ลพบุรี-สระบุรี" ลามถึงเมืองท่องเที่ยว "พัทยา-ชลบุรี-จันท์" และภาคใต้ อุตุฯเตือนระวังอีก 11-12 กันยาฯนี้ฝนถล่มหนัก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำสิ่งของพระราชทานให้ความช่วยเหลือราษฎร ที่ประสบอุทกภัยและดินโคลถล่ม ในพื้นที่ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ โดยสิ่งของพระราชทานประกอบไปด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค อาหารสำเร็จรูป เครื่องครัว เครื่องนอน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ในเบื้องต้น
โดยเมื่อเช้าวานนี้ (11 ก.ย.)นายประสงค์ พิทูรกิจจา เลขาธิการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ พร้อมด้วยคณะ ได้ลงพื้นที่นำสิ่งของพระราชทานดังกล่าวไปมอบให้กับราษฎรในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 1,130 ครอบครัว มูลค่าทั้งสิ้นกว่าแปดแสนบาท โดยช่วงเช้าได้เดินทางไปที่โรงเรียนห้วยเดื่อ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ เพื่อมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์พระราชทาน แก่ครอบครัวที่ประสบปัญหาจากอุทกภัย 190 ครัวเรือน จากนั้นคณะ ได้เดินทางไปยังหอประชุม โรงเรียนต้นขนุน ต.น้ำไผ่ อ.น้ำปาด จ.ตรดิตถ์ เพื่อมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ราษฎรอีก 800 ครอบครัว
**มูลนิธิเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)มอบบ้านน็อกดาวน์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงโปรดให้ รศ.ดร.น.พ.พิชิต สุวรรณปกรณ์ รองประธานมูลนิธิเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นผู้แทนพระองค์มอบถุงยังชีพพระราชทาน และเยี่ยมราษฎรที่ประสบอุทกภัย ใน ต.น้ำไผ่ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
ผู้แทนพระองค์ เปิดเผยว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงห่วงใยราษฎรที่ประสบภัย จึงพระราชทานความช่วยเหลือบ้านน็อกดาวน์สำหรับผู้ประสบภัยที่บ้านถูกน้ำป่าพัดพังเสียหายทั้งหลัง ได้อาศัยชั่วคราวอย่างเร่งด่วนไม่เกิน 10 วันหลังจากนี้ จากนั้นจะจัดหาที่พักอาศัยถาวรในจุดที่ปลอดภัยให้กับผู้ประสบภัย รวมถึงการระดมเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้ในการเฝ้าระวังเตือนภัย ซึ่งเรียกว่า อุตรดิตถ์โมเดล
**"ปู"ถกบิ๊กอ๊อด-บิ๊กตู่ลงพื้นที่น้ำปาด
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.30 น.วานนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.วิทวัส รชตะนนทน์ รองปลัดฯกลาโหม,พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และห,พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ.,พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เสธ.ทอ.,พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1,พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 และ พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 เข้าหารือถึงปัญหาน้ำท่วมที่ตึกไทยคู่ฟ้า โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที
จากนั้นเวลา 12.30 น.นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมและดินโคนถล่มที่บ้านห้วยเดื่อ บ้านต้นขนุน บ้านห้วยเนียม ต.น้ำไผ่ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ และรับฟังบรรยายสรุปความเสียหายการให้ความช่วยเหลือ และการกู้ภัยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายโยธิน สมุทรคีรี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นผู้บรรยาย ณ ศูนย์ประสานการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยบ้านห้วยเดื่อ
หลังจากรับฟังการบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทางจังหวัดระดมกำลังค้นหาผู้สูญหาย 3 ราย และขอบคุณทุกหน่วยงานที่ระดมกำลังช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย และช่วยเหลือฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า การคมนาคม ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 3 จะส่งกำลังพล และเครื่องจักรกล เข้ามาช่วย ส่วนเรื่องการชดเชยความเสียหายผู้ประสบภัยขอให้ทางจังหวัดเร่งสำรวจข้อมูลเสนอที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณ ในวันอังคารที่ 13 ก.ย.นี้
**ดินถล่มอุตรดิตถ์บ้านเสียหาย705หลัง
ด้านนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เผยถึงสถานการณ์ล่าสุดจากการลงพื้นที่ตรวจสอบจุดดินโคลนถล่มที่ในหมู่บ้านของ อ.น้ำปาด ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนเสียหายรวม 705 หลังคาเรือน มีประชาชนได้รับผลกระทบ 228 คน พบผู้เสียชีวิตรวม 3 รายเป็นชาย 2 รายและหญิง 1 รายซึ่งศพถูกพัดไปไกลถึง 20 กม.
นอกจากนี้ ยังมีผู้สูญหายอีก 4 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งค้นหาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีประชาชนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากเหตุการณ์ดินถล่ม 1 รายและมีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าได้รับบาดเจ็บถูกไฟดูดอีก 1 รายเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ การช่วยเหลือเบื้องต้นนั้นทางเจ้าหน้าที่ทุกนายจากทหาร ม.พัน 7 เจ้าหน้าที่ ปภ.และหน่วยงานราชการต่างๆ ได้เข้าไปตั้งศูนย์ดูแลเพื่อบัญชาการช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัย โดยขณะนี้การช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับผู้เสียชีวิตจะจ่ายรายละ 25,000 บาท แต่สำหรับหัวหน้าครอบครัวจะจ่ายให้รายละ 50,000 บาท
**บ้านน้ำปาดอยู่บนพื้นที่เสี่ยงภัยสูงสุด
นายสมบูรณ์ โฆษิตานนท์ ผอ.สำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 1 ลำปาง เปิดเผยว่า จากภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างหนักใน อ.น้ำปาด ซึ่งมีทั้งน้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ทางสำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 1 ลำปาง ซึ่งดูแลพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และศึกษาการเกิดภัยดังกล่าวโดยเฉพาะการที่พื้นดิน กลายเป็นดินโคล่น แล้วไหลมากับน้ำป่า
เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่า แผ่นดินบริเวณ อ.น้ำปาด เป็นหินปนทราย เมื่อเกิดฝนตกหนักและแรงอย่างมาก จึงทำให้แผ่นดินที่มีหินและทราย ถูกน้ำป่าซัดลงมาด้วย จากการตรวจสอบ ยังพบกรณีที่สำคัญ คือ แผ่นดินบริเวณ อ.น้ำปาด อยู่ในแนวรอยเลื่อนเก่าแก่ ชื่อ รอยเลื่อนน่าน-อุตรดิตถ์ อายุกว่า 10,000 ปี ซึ่งเป็นรอยเลื่อนขนาดใหญ่ ที่ไม่มีพลังแล้ว โดยเป็นรอยเลื่อนที่พาดผ่านมาจาก จ.น่าน ความยาวกว่า 100 กิโลเมตร จึงทำให้แผ่นดินบริเวณนั้น เกิดมีลักษณะขั้นบันได และร่วนซุย เมื่อน้ำป่าซัดลงมา จึงทำให้ไหลมากับน้ำ ทั้งนี้ นับว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยระดับสูงสุด ที่ต่อไปต้องเฝ้าระวัง
**"มาร์ค"ลงพื้นที่มอบสิ่งของช่วยเหยื่อ
วันเดียวกันเวลา 06.20 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมแกนนำพรรคฯได้ลงพื้นที่ อ.น้ำปาด เช่นกัน โดยนายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า มีผู้บริจาคผ่าน “ศูนย์อาสา...คนไทยช่วยน้ำท่วม พรรคประชาธิปัตย์” จำนวนมากพอที่ช่วยให้พรรคสามารถลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมได้และตนก็จะไปเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ อยากขอบคุณประชาชนที่ได้ช่วยบริจาคเข้ามา โดยศูนย์ดังกล่าวยังเปิดรับอยู่ แม้ว่าทางภาคเหนือจะเริ่มคลี่คลาย แต่หลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคกลางที่น้ำยังคงเพิ่มขึ้น
**263 หมู่บ้านเมืองสุโขทัยจมรอบที่ 8
ด้านสถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.สุโขทัย กลับเข้าสู่วิกฤตอีกครั้งหลังมีฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ ประกอบกับน้ำเหนือไหลบ่าลงมาหนุน ทำให้บ้านเรือนราษฎร 263 หมู่บ้าน 43 ตำบล ในพื้นที่ 4 อำเภอ ถูกน้ำท่วมสูงเป็นระลอกที่ 8 ส่วนถนนสายสุโขทัย-ศรีสำโรง ตรงบริเวณหมู่ 6 (สายหลัง) ต.ปากแคว อ.เมืองสุโขทัย ที่ขาด 3 ช่วงและมีการนำสะพานเหล็กมาวางเชื่อมให้สัญจรได้แล้วนั้นล่าสุดแขวงการทางสุโขทัยต้องเร่งนำไม้ยูคาและกระสอบทรายเข้าไปซ่อมแซมใต้คอสะพาน เนื่องจากถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนได้รับความเสียหายเพิ่ม
ส่วนที่โรงเรียนบ้านปากแคว พระสงฆ์พร้อมด้วยชาวบ้าน รวมเกือบ 100 คน ได้ช่วยกันขนกระสอบทรายทำแนวล้อมตัวอาคารเรียน เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง และให้เด็กนักเรียน สามารถมาเรียนได้ตามปรกติ ในวันจันทร์นี้(12) เพราะที่ผ่านมาโรงเรียนถูกน้ำท่วมจนต้องหยุดยาวมานานเกือบ 1 เดือนแล้ว
สำหรับในพื้นที่ตัวเมืองสุโขทัย ทางเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี ได้ทำการระบายน้ำออกอย่างเร่งด่วน หลังจากมีน้ำยมทะลักผ่านท่อเข้ามาท่วมบ้านเรือน ร้านค้า และถนน ในหลายชุมชมของเขตเทศบาลฯ
**พิจิตรจระเข้ยาวกว่า3เมตรโผล่
ที่ จ.พิจิตร นายประวิง ชาละวัน กำนันตำบลวังจิก อ.โพธิ์ประทับช้าง ได้รับแจ้งจากลูกบ้านว่า พบจระเข้ขนาดลำตัวยาวกว่า 3 เมตรอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 9 หลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านนายประวิง พร้อมกับลูกบ้าน ได้นำอาวุธทั้งปืนลูกซอง ฉมวกขนาดใหญ่ ลงเรือหางยาวออกล่าจระเข้
นายประวิง เปิดเผยว่า การออกไล่ล่าในครั้งนี้เชื่อว่าจะหาตัวจระเข้ได้ยาก เนื่องจากพื้นที่ ต.วังจิก เป็นพื้นที่ซึ่งถูกน้ำท่วม 100% และยังท่วมติดต่อกับพื้นที่ อ.สามง่าม อ.บึงนาราง และ อ.เมืองพิจิตร แต่เพื่อความปลอดภัย จึงรวมตัวกันออกไล่ล่าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้จระเข้ทำอันตรายกับชาวบ้านและสัตว์เลี้ยง
ด้านสถานการณ์น้ำท่วม จ.พิจิตรวานนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำน่านที่ไหลผ่าน อ.ตะพานหิน ซึ่งเชี่ยวกราดและมีปริมาณมากได้กัดเซาะแนวดินริมตลิ่งทำให้กระสอบทรายที่วางเป็นกำแพงสูงกว่า 10 ชั้นนับหมื่นลูกต้องพังทลายลงมา จากนั้นน้ำได้ไหลเข้าท่วมหมู่บ้านหมู่ 1 ต.ไผ่หลวง กัดเซาะดินใต้ฐานพนังกั้นน้ำคอนกรีตจนเป็นโพรงขนาดใหญ่ ทำให้พนังคอนกรีตไม่สามารถต้านกระแสน้ำได้เกิดแตกพังทลายลงเป็นแนวยาวเกือบ 30 เมตร น้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน 3 หมู่บ้านของ ต.ไผ่หลวง อย่างรวดเร็วจนชาวบ้านตั้งตัวไม่ติดและไม่สามารถเก็บข้าวของเคลื่อนย้ายได้
นอกจากนี้น้ำยังได้ไหลมาทางทิศตะวันตกของแม่น้ำน่านไหลข้ามทางหลวงหมายเลข 1118 สายตะพานหิน-บางมูลนาก ระดับน้ำสูงถึง 40-50 ซม.และได้กัดเซาะจนถนนขาด จากนั้นเพียงแค่ 4 ชั่วโมงน้ำก็ได้ไหลเข้าไปท่วมพื้นที่ ต.คลองคูณ ต.ห้วยเกตุ ต.วังหว้าและ อ.ตะพานหิน ทำให้นาข้าวนับหมื่นไร่ต้องจมน้ำ และชาวบ้านต้องเร่งอพยพหนีน้ำกันจ้าละหวั่น
**สุพรรณ-อ่างทองหลายอำเภอจมบาดาล
นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า หลังจากประตูระบายน้ำพลเทพ จ.ชัยนาท ได้ระบายน้ำเพิ่มขึ้นประกอบกับมีฝนตกในพื้นที่อย่างหนักและต่อเนื่องทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำท่าจีนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน และพื้นที่ทางการเกษตร ที่อยู่ 2 ฝั่งแม่น้ำได้รับความเสียหาย ประกอบด้วย อ.เดิมบางนางบวช อ.เมือง อ.บางปลาม้า และ อ.สองพี่น้อง ขณะนี้หน่วยงานเกี่ยวข้องกำลังเร่งหาทางให้ความช่วยเหลือ ทั้งในส่วนของการนจัดหาเครื่องสูบน้ำ ซ่อมแซมคันกั้นน้ำ
ด้านสถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.อ่างทอง ได้ขยายวงกว้างออกไปอีกหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.เมืองอ่างทอง อ.ป่าโมก และ อ.วิเศษไชยชาญ ระดับน้ำท่วมยังสูง ประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
**อยุธยาเปิดประตูระบายน้ำเข้าทุ่งนา
ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มีกลุ่มชาวบ้านจาก 8 หมู่บ้าน ใน ต.บางหัก อ.บางบาล รวมตัวชุมนุมที่ถนนสายบางบาล-ป่าโมก ม.4 ต.บางหัก อ.บางบาล เพื่อเรียกร้องให้ชลประทานทำการเปิดประตูระบายน้ำริมถนนซึ่งอยู่ในฝั่งทุ่งตะวันตก เพื่อจะระบายน้ำเข้าทุ่งนา
ต่อมานายศักดิ์ศิริ อยู่สุข ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาผักไห่ ที่ 2 พระนครศรีอยุธยา พร้อมนายสิทธิศักดิ์ นวมอุ่น กำนันตำบลบางหัก ได้เดินทางมาเจรจากกับชาวบ้านบริเวณประตูระบายน้ำ โดยมีชาวบ้านทั้งสองฝายมาร่วมเจรจาและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 20 นายมารักษาความสงบ ซึ่งการเจรจาเกือบที่จะมีเหตุรุนแรง เนื่องจากผู้ที่อยู่หลังคันกั้นน้ำ ซึ่งมีบ้านเรือนอยู่หลายหลัง ไม่ยอมให้เปิดเพราะเกรงว่าน้ำจะท่วมเข้าที่นาและท่วมบ้านเรือน แต่ในที่สุดก็ตกลงให้เปิดประตูระบายน้ำขึ้นได้ 20 ซม.
นายศิริศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางชลประทานได้ทยอยเปิดประตูระบายน้ำเพื่อให้น้ำเข้าทุ่งนาบ้างแล้ว ตั้งแต่ อ.เสนา และผักไห่ บางบาล แต่ต้องดูความเหมาะสมตามลำดับ โดยเฉพาะต้องไม่กระทบต่อพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งการเปิดประตูระบายน้ำที่ชาวบ้านร้องขอนี้ อาจจะกระทบพื้นที่ 100 กว่าไร่ ในเขต ต.ลำตะเคียน อ.ผักไห่ บางส่วน
**"เมืองพัทยา"กลายเป็น "เมืองบาดาล"
ที่ จ.ชลบุรี หลังจากที่มีพายุฝนตกลงมาอย่างหนักตลอดคืนวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้หลายอำเภอในพื้นที่ จ.ชลบุรี ถูกน้ำท่วมอย่างหนักโดยเฉพาะในเขตเมืองพัทยา ปริมาณน้ำฝนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากได้เกิดการไหล่บ่าอย่างรุนแรงเข้าท่วมพื้นผิวการจราจรและบ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณถนนสุขุมวิท ฝั่งขาเข้าและออก ช่วงบริเวณปากทางพัทยาใต้ เป็นระยะทางยาวกว่า 1 กม.โดยมีน้ำท่วมขังสูงกว่า 1.50 ม.ส่งผลให้การยวดยานที่วิ่งตัดผ่านระหว่างเมืองและประชาชนในพื้นที่มีสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก ในขณะที่รถและยานพาหนะส่วนหนึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากน้ำมีปริมาณสูง
ต่อมานายวิชิต ชาตไพสิฐษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยนายอำเภอบางละมุง นายกเมืองพัทยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่บรรทาสาธารณภัยเมืองพัทยาออกตรวจสอบสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในโซนพื้นที่ถนนสายหลักและเขตชุมชน รวมทั้งหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ เช่น ซอยวัดธรรมสามัคคี ซอยบัวขาว หมู่บ้านแปซิฟิก ถนนสายเพชรตระกูล ซึ่งมีปริมาณน้ำท่วมขังสูงกว่า 1 เมตร ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เหล่านี้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ต้องขนข้าวของหนีน้ำขึ้นไปบนชั้นสองของตัวอาคาร โดยปล่อยรถยนต์และรถจักรยานยนต์จมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานานหลายชั่วโมง
พร้อมกันนี้ยังได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบบริเวณปากคลองพัทยาใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางการระบายน้ำของเมืองพัทยาที่ปล่อยไหลลงสู่ทะเล โดยพบว่าช่วงปลายของสะพานนั้นมีสภาพคับแคบเนื่องจากมีประชาชนบางส่วนทำการปลูกสร้างอาคาร และสถานประกอบการรุกล้ำลำรางสาธารณะ นอกจากนี้ แนวคลองยังพาดผ่านไปยังสถานประกอบการโรงแรมแห่งหนึ่งนั้น ทางโรงแรมได้ทำการติดตั้งแผ่นแสลนเพื่อป้องกันเศษกิ่งไม้ ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้เป็นจุดสะสมของเศษขยะมูลฝอยจนทำให้น้ำเกิดการชะลอตัวและเอ่อล้นย้อนกลับไปที่ท่อระบายจนท่วมขังไปบนถนนและพื้นที่อยู่อาศัยโดยทั่วไป
**5อำเภอจันทบุรีจมน้ำเดือดร้อนหนัก
ส่วนที่ จ.จันทบุรี น้ำท่วมขยายวงกว้างขึ้น เจ้าหน้าที่ ปภ.พร้อมอาสาสมัครสมาคมสว่างกตัญญู ทหารค่ายตากสิน ตชด.ได้เร่งช่วยชาวบ้านขนย้ายสิ่งของ โดยที่ตลาดเจริญสุข เขตเทศบาลเมืองท่าช้าง น้ำท่วมสูงประมาณ 1 เมตร ถนนสายพระยาตรังรถไม่สามารถผ่านได้ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เรือท้องแบนเข้าไปช่วยขนย้ายสิ่งของช่วยพ่อค้าแม่ค้า
ส่วนที่หมู่บ้านชัยยันต์เขตเทศบาล ต.พลับพลานารายณ์ ซึ่งเป็นจุดวิกฤตน้ำจากเทือกเขาสระบาปไหลบ่าเข้าท่วมสูงเกือบ 2 เมตร ทางเทศบาลได้นำรถแบ็กโฮขุดขยายช่องทางน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากหมู่บ้านชัยยันต์ ถนนสายจันทบุรี สระแก้ว บริเวณสี่แยก อ.มะขาม น้ำเชี่ยวมากรถไม่สามารถผ่านได้ เจ้าหน้าที่ให้ใช้เส้นทางสายวังแซ้มแทน
ทั้งนี้ จ.จันทบุรี ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างหนักแล้ว 5 คือ อ.เมือง, อ.ขลุง,อ.มะขาม,อ.ท่าใหม่ และ อ.แก่งหางแมว ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกือบ 5,000 คน ขณะที่ฝนยังคงตกต่อเนื่อง
**"สระบุรีน้ำท่วมหนัก8ร.ร.หยุดเรียน
ที่ อ.วิหารแดง จ.สระบุรี มีน้ำฝนและน้ำป่าจากเทือกเขาใหญ่ จ.นครนายก ไหลบ่าเอ่อล้นคลองวิหารแดงและคลองระพีพัฒน์เข้าท่วมนาข้าวเสียหาย ร่วม 1,000 ไร่ โรงเพาะเห็ดฟาง ของเกษตรกร ชาวอำเภอวิหารแดง ประมาณ 50 หลังเสียหายหมด ใน ต.วิหารแดง ต.คลองเรือ ต.เจริญธรรม ต.บ้านลำ ต.หนองสรวงและ ต.หนองหมู
นอกจากนี้ น้ำยังไหลเข้าท่วม ตลาดวิหารแดง อ.วิหารแดง ด้าน สำนักงานเทศบาลตำบลวิหารแดงและหน่วยบรรเทาสาธารณภัยได้ระดมเจ้าหน้ากู้ภัยร่วมกตัญญู สว่างรัตนตรัยธรรมสถาน สระบุรี ให้ความช่วยเหลือนำกระสอบทรายวางแนวกั้นน้ำป้องกันไหลท่วมเข้าบ้าน ในส่วนของโรงเรียนขณะนี้มีโรงเรียนในเขต อ.วิหารแดง ประกาศหยุดเรียนแล้ว จำนวน 8 โรงเรียน เป็นเวลา 3 วันเนื่องจากน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร
**น้ำอ่างซับเหล็กล้นท่วมทางลพบุรีแล้ว
นายสุริยา แสงตรง หัวหน้าหมวดการทางที่ 1 แขวงการทางที่ 1 จ.ลพบุรี กล่าวว่า ขณะนี้น้ำจากอ่างเก็บน้ำซับเหล็กที่เก็บน้ำจากเทือกเขาในเขต ต.โคกตูม อ.เมืองลพบุรี ล้นจากอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก เนื่องจากฝนตกลงมามาก อ่างเก็บน้ำซับเหล็กไม่สามารถที่จะเก็บน้ำได้หมด น้ำจึงล้นอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก เข้าท่วมทางหลวงสายนิคม-โคกตูม และท่วมถนนพหลโยธิน ตั้งแต่หน้าห้างแมคโคร มาถึงสามแยกนิคม สูงประมาณ 60-70 ซม.
นางถาวร เหลืองทอง นายก อบต.หนองเมือง อ.บ้านหมี่ กล่าวว่า ฝายน้ำล้นที่หน้าหมู่บ้านหนองเมืองพังลง จึงแจ้งไปยังนายไพบูรณ์ ทินมณี ผอ.โครงการชลประทานช่องแค นำคนงานมาช่วยกันปิดกั้นฝายที่แตก และได้ขอกำลังจากทางทหารและ กำลังของชาวบ้าน กว่า 100 คน เข้าไปช่วยกันปิดกั้นฝายเพื่อป้องกันน้ำจากคลองชลประทานไหลบ่าเข้าท่วมหมู่บ้านหนองเมือง
**อพยพชาวกระบี่น้ำป่าทะลักท่วมเมือง
ที่ จ.กระบี่ เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองกระบี่ ได้นำตัวนางละเอียด เพื่อนแพทย์ อายุ 81 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105/1 ต.กระบี่ใหญ่ เขตเทศบาลเมืองกระบี่ ออกมาจากบ้านได้อย่างปลอดภัย หลังต้องติดอยู่ในบ้าน เป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง เนื่องจากน้ำจากคลองกระบี่ใหญ่ไหลเข้าท่วมบ้านและระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน นายกเทศมนตรีเมืองกระบี่ กล่าวว่า หลังจากที่ฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในคลองกระบี่ใหญ่ ต.กระบี่ใหญ่ เขตเทศบาลเมืองกระบี่ ไหลทะลักเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนที่อยู่บริเวณริมสะพานคลองกระบี่ใหญ่ โดยขณะนี้ระดับน้ำสูงประมาณ 1 เมตร เบื้องต้นได้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอพยพออกมาจากบ้านเรือน พร้อมสั่งให้เจ้าหน้าที่ป้องกันบรรเทาสาธารณภัยออกสำรวจบ้านเรือนที่ได้รับความเสีย และช่วยอพยพสิ่งของประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย
**อุตุฯเตือนฝนตกหนักช่วง11-12กย.
ทางด้านกรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนภัยฉบับที่ 11 ลงวันที่ 11 ก.ย.ว่า ในช่วงวันที่ 11-12 ก.ย.54 ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัด ปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณ จ.ตาก กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี กาญจนบุรี ราชบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ระยอง จันทบุรี ตราด ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนพื้นที่ราบลุ่มริมน้ำบริเวณภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกให้เตรียมป้องกันระวังอันตรายจากปริมาณน้ำท่วมที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย
สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะ 1-2 วันนี้.