xs
xsm
sm
md
lg

ดัชนีเชื่อมั่นส.คหัวทิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคส.ค.หัวทิ่มในรอบ 4 เดือน หลังน้ำท่วม เศรษฐกิจโลกผันผวน และคนไม่มั่นใจนโยบายรัฐบาลที่โม้ไว้เยอะแต่ทำไม่ได้ แนะรัฐบาลอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังหลายประเทศเริ่มมีปัญหาวิกฤต อาจฉุดภาคส่งออกและท่องเที่ยวไทย หอการค้าไทยยันเดินหน้าต้านคอร์รัปชั่นต่อไป ล่าสุดมี 30 องค์กรเข้าร่วม

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนส.ค.2554 ว่า ดัชนีปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน นับตั้งแต่เดือน เม.ย.2554 โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 73.8 ลดจากเดือนก.ค.2554 ที่ 74.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 74.4 ลดจาก 742.9
ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 102.1 ลดจาก 102.8 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ที่ 83.4 ลดจากเดือนก.ค.2554 ที่ 84.1 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน 65.0 ลดจาก 65.4 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 89.6 ลดจาก 90.2

ปัจจัยลบที่ทำให้ความเชื่อมั่นในเดือนส.ค.2554 ลดลง อันดับแรกมาจากการเกิดอุทกภัยและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ จนสร้างความเสียหายต่อพื้นที่เพาะปลูกการเกษตร และส่งผลต่อโอกาสการหารายได้ลดลง ปัจจัยรองลงมา มาจากความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาหนี้สาธารณะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป จนกระทบให้ตลาดหุ้นไทยลดลง รวมถึงกระทบต่อการส่งออก
และการท่องเที่ยวไทยในอนาคต ขณะเดียวกันภาคประชาชนเริ่มไม่มั่นใจในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล

ส่วนปัจจัยบวกมาจากนโยบายการลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลิตรละ 7.67-7.92 บาท และน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท ทำให้ประชาชนมีกำลังการใช้จ่ายเพิ่ม อีกทั้งยังมีความหวังจากนโยบายลดค่าครองชีพและเพิ่มรายได้กับประชาชนของรัฐบาล

“การปรับตัวขึ้นของความเชื่อมั่นในช่วงก่อนหน้านี้ มาจากความคาดหวังจากนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของรัฐบาล แต่สาเหตุที่ความเชื่อมั่นเดือนนี้ลดลง ยังไม่มีปัจจัยเด่นชัดนัก ต้องตีความและจับตาดู แต่เชื่อว่าสาเหตุหลักน่าจะมาจากปัญหาน้ำท่วม เนื่องจากพื้นที่ภาคกลาง อีสาน และเหนือ ที่ทำให้ความเชื่อมั่นลดลงมาก ส่วนความเชื่อมั่นในอนาคต ยังไม่ชัดเจนนัก
และจะมีการประเมินอีกครั้งในปลายเดือนนี้”นายธนวรรธน์กล่าว

ทั้งนี้ แม้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจะลดลง แต่ความเชื่อมั่นด้านสังคมเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น การแก้ปัญหายาเสพติด ตลอดความมีเสถียรภาพทางการเมือง ปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับความเหมาะสมเกี่ยวกับการซื้อรถยนต์คันใหม่ ซื้อบ้านหลังใหม่ ท่องเที่ยว และลงทุนทำธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้บริโภคเห็นว่ามีความเหมาะสมลดลง เนื่องจากจะชะลอการตัดสินใจซื้อจนกว่าจะมีความแน่ชัดจากนโยบายของรัฐบาล

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจประเทศจากนี้ไป จะขึ้นอยู่กับแรงขับเคลื่อนของนโยบายรัฐบาลเป็นสำคัญ ซึ่งหากแก้ปัญหาน้ำท่วม และเยียวยาผู้ประสบภัยได้รวดเร็ว รวมถึงมีการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม จะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจต่อการจับจ่ายใช้สอย และทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึง 4-4.5%
แต่ถ้าปัญหาเศรษฐกิจโลกลุกลามรุนแรงอาจทำให้ภาคการส่งออก ท่องเที่ยว และจีดีพีของประเทศได้รับผลกระทบ จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเหลือเพียง 3.5-4%

ทั้งนี้ ทั่วโลกมีการประเมินว่าโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความถดถอยสูงถึง 50% โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ 7 ประเทศ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตในระดับ 0% ซึ่งกระทบต่อการท่องเที่ยว และส่งออก ดังนั้น การขับเคลื่อนจากรัฐบาลจะเป็นส่วนสำคัญในการค้ำยันเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการตั้งงบประมาณขาดดุลปี 2555 เพิ่มจาก 3.5
แสนล้านบาท เป็น 4 แสนล้านบาท จะมีส่วนช่วยให้จีดีพีขยายตัวเพิ่มได้อีก 0.3-0.5%

นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า สำหรับงานในนามของภาคีเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่น หอการค้าไทยยังคงสานงานและเดินหน้าต่อไป แม้นายดุสิต นนทะนาคร ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโครงการนี้จะไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่เชื่อว่างานดังกล่าวจะไม่สะดุดลง เพราะทีมงานเบื้องหลังยังคงอยู่ โดยล่าสุดมีองค์กรที่อยู่ในภาคีเพิ่มขึ้นเป็น 30 องค์กรจากเดิม 24 องค์กร และจะมีการประกาศเจตนารมณ์ของภาคีเครือข่ายว่าจะมีการเดินหน้าในด้านกิจกรรมต่อต้านคอรัปชั่นอย่างไรต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น