xs
xsm
sm
md
lg

โพลนักธุรกิจลุ้นศก.โต5%ยังหวั่นประชานิยมถลุงเงินสร้างหนี้เพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โพลนักธุรกิจชี้รัฐบาลใหม่ หากทำการเมืองนิ่ง ดันจีดีพีปีนี้โต 4-5% เหตุธุรกิจกล้าลงทุน คนกล้าจับจ่ายใช้สอย ต่างชาติเข้า แต่หากตรงกันข้าม เศรษฐกิจทรุดแน่ เผยนักธุรกิจเชื่อนโยบายประชานิยมทำได้แค่ครึ่งเดียว แถมถลุงเงินมาก ทำวินัยการเงินแย่ หนี้สาธารณะพุ่ง จี้แจงรายละเอียดให้คนเข้าใจ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจทัศนะของผู้ประกอบการ 820 ตัวอย่าง ในวันที่ 4-5 ก.ค.2554 ต่อนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และภาวะเศรษฐกิจธุรกิจไทยหลังเลือกตั้งว่า ธุรกิจส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองไทยเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าจีดีพีในครึ่งปีหลังจะเติบโตสูงถึง 5-6%สูงกว่าครึ่งปีแรกที่เติบโต 3.0-3.2% ส่งผลให้จีดีพีตลอดปี 2554 มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.5-4.0% เป็น 4-5%

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังเชื่อว่าการที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งและมีคะแนนเสียงเกินครึ่ง จะช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเมืองเพิ่ม จากก่อนการเลือกตั้งที่ส่วนใหญ่เห็นว่ามีเสถียรภาพน้อย ส่งผลให้ภาคธุรกิจมีแผนขยายธุรกิจเพิ่ม ทั้งการลงทุน ขยายตลาด และขอสินเชื่อเพื่อเพิ่มการลงทุน เพราะขณะนี้พื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง ไม่มีสัญญาณการชะลอตัว

“เอกชนมองว่าการเมืองเป็นปัจจัยลบที่รุนแรงต่อการทำธุรกิจ หากการเมืองขาดเสถียรภาพจะกระทบต่อธุรกิจถึง 65.3% ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้เกิดขึ้น จากนั้นภาคเอกชนจะกล้าเดินหน้าตาม เช่นเดียวกับประชาชนจะกลับมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่ม รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว แต่หากเป็นในทางตรงกันข้าม การเมืองแย่ลง เศรษฐกิจก็อาจทรุดตัวเหลือเติบโตแค่ 2.5-3.5%”นายธนวรรธน์กล่าว

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ผู้ประกอบการ 43.6% เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่สามารถทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ได้ครึ่งหนึ่ง 35% ระบุว่าทำได้มากกว่าครึ่ง และมีเพียง 19.2% ที่เห็นว่าจะทำได้น้อยจนถึงไม่ได้เลย โดยนักธุรกิจกังวลการดำเนินนโยบายประชานิยมของรัฐบาลว่า อาจใช้เงินมากเกินไป ไม่คุ้มค่า และขาดการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศในระยะยาวโดยเฉพาะกังวลนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ที่อาจกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) นโยบายการรับจำนำข้าว ที่จะกระทบต่อระบบการค้าข้าว รวมทั้งการดูแลค่าครองชีพ และดูแลราคาสินค้า ที่อาจทำให้กลไกตลาดบิดเบือน

“ภาพรวมแม้เอกชนมีความเชื่อมั่นต่อนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ แต่ก็เป็นห่วงในการนำไปสู่ภาคปฏิบัติ เพราะหลายๆ นโยบายเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และอาจมีการใช้เงินมากจนไม่คุ้มค่าและกระทบต่อวินัยทางการเงิน ทำให้มีหนี้สาธารณะเกิน 50% ของจีดีพี ดังนั้นภาครัฐจึงจำเป็นต้องเร่งชี้แจงรายละเอียดของโครงการให้ภาคเอกชนรับทราบว่าจะดำเนินการเมื่อไรอย่างไร และนำเม็ดเงินมาผลักดันจากไหน เพื่อให้เกิดความมั่นใจและวางแผนธุรกิจได้”นายธนวรรธน์กล่าว

สำหรับปัญหาที่รัฐบาลควรแก้ไขอันดับแรก คือ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเพื่อให้เกิดความปรองดอง รองลงมาเป็นปัญหาคอร์รัปชั่น ต้นทุนการผลิตสูง ค่าครองชีพสูง การเพิ่มรายได้ประชาชน การศึกษา ปัญหายาเสพติด ชายแดน การเกษตร และการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเอกชน รวมทั้งควรนำเรื่องการเพิ่มรายได้ประชาชนให้เป็นวาระแห่งชาติ
กำลังโหลดความคิดเห็น