ASTVผู้จัดการรายวัน - รมว.คลังสั่งแบงก์ชาติดึงเงินทุนสำรองตั้ง "กองทุนมั่งคั่ง" อ้างที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนได้น้อย แนะให้รื้อกรอบเงินเฟ้อปี 55 ใหม่ พร้อมให้การบ้านหลัก 4 ข้อ โอนตั๋วบีอีให้ ก.ล.ต.เป็นผู้กำกับดูแล ให้ส่งแผนกลับมาภายใน 1 เดือน ด้าน "ประสาร" โต้กรอบเงินเฟ้อเหมาะสมแล้ว
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวภายหลังเรียกนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาหารือเมื่อวานนี้ (31 ส.ค.) ว่า ได้เสนอให้กำหนดกรอบเงินเฟ้อปี 2555 ให้แคบลง เพื่อสร้างความท้าทายการทำงานของ ธปท. พร้อมเสนอให้แยกทุนสำรองระหว่างประเทศบางส่วน มาจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งเพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนได้มากขึ้น โดยมีการร่างกฎหมายมารองรับโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้สั่ง ธปท.ไปหาแนวทางลดภาระหนี้เงินต้นกองทุนฟื้นฟูฯ โยกงานในส่วนกำกับดูแลการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน( บี/อี) ของธนาคารพาณิชย์ ไปให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้ดูแลแทน เพราะปัจจุบัน ก.ล.ต.กำกับดูแลตั๋วบี/อี และตราสารทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนอยู่แล้ว
นายธีระชัยกล่าวอีกว่า ยังได้ตั้งโจทย์ใหญ่ 4 เรื่องเพื่อให้ผู้ว่าการ ธปท.คิดหาคำตอบก่อนเข้ามารายงานให้ทราบภายในเดือนหน้า ประกอบด้วย 1. ปัญหาภาระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีข้อตกลงว่า ธปท.จะชำระเงินต้น และกระทรวงการคลังรับภาระดอกเบี้ย ซึ่งที่ผ่านมาคลังมีการชำระดอกเบี้ยแล้ว 6.7 แสนล้านบาท ด้วยการตั้งงบประมาณชำระดอกเบี้ยปีละ 5-6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ธปท.ลดภาระเงินต้นได้เพียง 1.6 แสนล้านบาท และยังมีภาระหนี้เงินต้นเหลือ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งภาระหนี้ดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายการคลัง จึงขอให้ ธปท.หาแนวทางช่วยแบ่งเบาภาระนี้
2.ปัจจุบันพบว่ามีระบบธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วบี/อี จำนวนมาก มีอัตราการเติบโตสูงและมีจำนวนที่ออกขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงมีความกังวลในแง่การกำกับดูแลที่ต้องมีความมั่นใจว่าไม่เป็นภาระของสถาบันการเงินและเป็นภาระของกระทรวงการคลังเหมือนอดีต จึงได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ธปท. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสมาคมตราสารหนี้ เพื่อวางแนวทางกำกับดูแล ควรจะโอนเรื่องนี้มอบให้ ก.ล.ต.เป็นผู้กำกับดูแล เพราะสถาบันคุ้มครองเงินฝากไม่ได้คิดรายได้ในการออกตั๋วบีอี
3.เงินสำรองระหว่างประเทศที่ผ่านมามีการบริหารที่สร้างผลตอบแทนได้น้อย จึงเห็นว่าควรมีกระบวนการบริหารให้เกิดความเหมาะสม ทั้งในแง่ความปลอดภัย ผลตอบแทน และความถูกต้องทางวิชาการ โดยมีแนวคิดให้นำเงินสำรองฯ บางส่วนแยกเป็นบัญชีย่อยทั้งในข้างทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งจะต้องออกกฎหมายเฉพาะขึ้นมารองรับ อาจตั้งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติให้เป็นบัญชีของภาครัฐแยกออกมาจากบัญชีที่ ธปท.มีอยู่ โดยจะมีการประสานการทำงานระหว่างคลังและ ธปท.มีกระบวนการใช้เงินผ่านการตกลงทางการเมือง มีการบริหารจัดการเพื่อสร้างผลตอบแทน เช่น การนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในอาเซียน+3 อาจเป็นการลงทุนในฐานะผู้ให้กู้ หรือลงทุนโดยตรง
รมว.คลังกล่าวว่า กองทุนที่นำเงินสำรองระหว่างประเทศมาจัดต้งอาจแยกเป็น 2 กองทุน กองหนึ่งให้ ธปท.ใช้ดูแลตลาดเงิน ซึ่งต้องมีสภาพคล่องสูง มีเพียงพอ และมีความปลอดภัยสูง ส่วนอีกกองตั้งเป็นกองทุนความมั่งคั่ง ส่วนจะเป็นเท่าไร ทำได้เร็วแค่ไหน มีองค์ประกอบอย่างไร ลงทุนทรัพย์สินแบบไหน ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะต้อง ต้องมาคุยในรายละเอียด
สุดท้ายข้อ 4.กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปี 55 ซึ่งจะต้องดำเนินการกำหนดร่วมกันให้แล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.54 ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเดิมที่ 0.5-3% มีช่วงห่างเกินไป ไม่ท้าทายการทำงานของ ธปท. ดังนั้น อาจจำเป็นที่ต้องมีการปรับเพิ่มกรอบล่าง และขยับเพิ่มกรอบบน ซึ่งในต่างประเทศอาจกำหนดเป็นตัวเลขตัวเดียว แต่ให้มีบวก/ลบได้ ซึ่งจะทำให้มองภาพรวมได้ชัดเจน โดยที่ธปท.ไม่ต้องกังวลในเรื่องเงินเฟ้อที่ลงต่ำเกินไป
"ได้มอบหมายให้ สศค. สถาบันวิจัยเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) และธปท. พิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจให้ครบถ้วน ทั้งผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและภายใน และนโยบายการคลังในการดำเนินตามนโยบายรัฐบาล และหาข้อแตกต่างในมุมมองของแต่ละฝ่ายเพื่อนำไปสู่การกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกัน"
"ประสาร" ยันกรอบเงินเฟ้อเหมาะสม
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ใช้อยู่ในปัจจุบันถือว่าเป็นช่วงที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะสม เพราะสามารถดูแลอัตราเงินเฟ้อได้ดีตามวัตถุประสงค์ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่แนะนำให้กำหนดเป็นค่ากลางแทน คงยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ระดับเจ้าหน้าที่ต้องไปศึกษาก่อน แต่ก็มีบางประเทศเช่นกันที่กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นค่ากลาง
แนวทางที่จะขยายกรอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อจาก 3% นั้น มองว่าคงไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ แต่อาจจะกลายเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด เพราะเหมือนเป็นการยืนยันคาดการณ์เงินเฟ้อจะสูงขึ้น และจะนำไปสู่การคาดการณ์ว่า ทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการจะขยายกรอบบนขึ้นไป ความหมายเหมือนบอกสาธารณชนให้รู้ว่าจะปล่อยให้เงินเฟ้อสูง ซึ่งดอกเบี้ยก็จะสูงตาม และคนที่จะตัดสินใจซื้อพันธบัตรก็ต้องรอ เพราะดอกเบี้ยจะสูงขึ้น คงไม่ซื้อพันธบัตรที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ
นายประสารกล่าวถึงมาตรการลดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับลดลงว่า มองว่าในระยะสั้นอาจทำให้เงินเฟ้อลดลงได้บ้าง แต่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ามาตรการดังกล่าวจะนำมาใช้นานแค่ไหน และการงดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาวจะมีผลกระทบอย่างไร.
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวภายหลังเรียกนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาหารือเมื่อวานนี้ (31 ส.ค.) ว่า ได้เสนอให้กำหนดกรอบเงินเฟ้อปี 2555 ให้แคบลง เพื่อสร้างความท้าทายการทำงานของ ธปท. พร้อมเสนอให้แยกทุนสำรองระหว่างประเทศบางส่วน มาจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งเพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนได้มากขึ้น โดยมีการร่างกฎหมายมารองรับโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้สั่ง ธปท.ไปหาแนวทางลดภาระหนี้เงินต้นกองทุนฟื้นฟูฯ โยกงานในส่วนกำกับดูแลการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน( บี/อี) ของธนาคารพาณิชย์ ไปให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้ดูแลแทน เพราะปัจจุบัน ก.ล.ต.กำกับดูแลตั๋วบี/อี และตราสารทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนอยู่แล้ว
นายธีระชัยกล่าวอีกว่า ยังได้ตั้งโจทย์ใหญ่ 4 เรื่องเพื่อให้ผู้ว่าการ ธปท.คิดหาคำตอบก่อนเข้ามารายงานให้ทราบภายในเดือนหน้า ประกอบด้วย 1. ปัญหาภาระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีข้อตกลงว่า ธปท.จะชำระเงินต้น และกระทรวงการคลังรับภาระดอกเบี้ย ซึ่งที่ผ่านมาคลังมีการชำระดอกเบี้ยแล้ว 6.7 แสนล้านบาท ด้วยการตั้งงบประมาณชำระดอกเบี้ยปีละ 5-6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ธปท.ลดภาระเงินต้นได้เพียง 1.6 แสนล้านบาท และยังมีภาระหนี้เงินต้นเหลือ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งภาระหนี้ดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายการคลัง จึงขอให้ ธปท.หาแนวทางช่วยแบ่งเบาภาระนี้
2.ปัจจุบันพบว่ามีระบบธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วบี/อี จำนวนมาก มีอัตราการเติบโตสูงและมีจำนวนที่ออกขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงมีความกังวลในแง่การกำกับดูแลที่ต้องมีความมั่นใจว่าไม่เป็นภาระของสถาบันการเงินและเป็นภาระของกระทรวงการคลังเหมือนอดีต จึงได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ธปท. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสมาคมตราสารหนี้ เพื่อวางแนวทางกำกับดูแล ควรจะโอนเรื่องนี้มอบให้ ก.ล.ต.เป็นผู้กำกับดูแล เพราะสถาบันคุ้มครองเงินฝากไม่ได้คิดรายได้ในการออกตั๋วบีอี
3.เงินสำรองระหว่างประเทศที่ผ่านมามีการบริหารที่สร้างผลตอบแทนได้น้อย จึงเห็นว่าควรมีกระบวนการบริหารให้เกิดความเหมาะสม ทั้งในแง่ความปลอดภัย ผลตอบแทน และความถูกต้องทางวิชาการ โดยมีแนวคิดให้นำเงินสำรองฯ บางส่วนแยกเป็นบัญชีย่อยทั้งในข้างทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งจะต้องออกกฎหมายเฉพาะขึ้นมารองรับ อาจตั้งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติให้เป็นบัญชีของภาครัฐแยกออกมาจากบัญชีที่ ธปท.มีอยู่ โดยจะมีการประสานการทำงานระหว่างคลังและ ธปท.มีกระบวนการใช้เงินผ่านการตกลงทางการเมือง มีการบริหารจัดการเพื่อสร้างผลตอบแทน เช่น การนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในอาเซียน+3 อาจเป็นการลงทุนในฐานะผู้ให้กู้ หรือลงทุนโดยตรง
รมว.คลังกล่าวว่า กองทุนที่นำเงินสำรองระหว่างประเทศมาจัดต้งอาจแยกเป็น 2 กองทุน กองหนึ่งให้ ธปท.ใช้ดูแลตลาดเงิน ซึ่งต้องมีสภาพคล่องสูง มีเพียงพอ และมีความปลอดภัยสูง ส่วนอีกกองตั้งเป็นกองทุนความมั่งคั่ง ส่วนจะเป็นเท่าไร ทำได้เร็วแค่ไหน มีองค์ประกอบอย่างไร ลงทุนทรัพย์สินแบบไหน ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะต้อง ต้องมาคุยในรายละเอียด
สุดท้ายข้อ 4.กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปี 55 ซึ่งจะต้องดำเนินการกำหนดร่วมกันให้แล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.54 ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเดิมที่ 0.5-3% มีช่วงห่างเกินไป ไม่ท้าทายการทำงานของ ธปท. ดังนั้น อาจจำเป็นที่ต้องมีการปรับเพิ่มกรอบล่าง และขยับเพิ่มกรอบบน ซึ่งในต่างประเทศอาจกำหนดเป็นตัวเลขตัวเดียว แต่ให้มีบวก/ลบได้ ซึ่งจะทำให้มองภาพรวมได้ชัดเจน โดยที่ธปท.ไม่ต้องกังวลในเรื่องเงินเฟ้อที่ลงต่ำเกินไป
"ได้มอบหมายให้ สศค. สถาบันวิจัยเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) และธปท. พิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจให้ครบถ้วน ทั้งผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและภายใน และนโยบายการคลังในการดำเนินตามนโยบายรัฐบาล และหาข้อแตกต่างในมุมมองของแต่ละฝ่ายเพื่อนำไปสู่การกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกัน"
"ประสาร" ยันกรอบเงินเฟ้อเหมาะสม
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ใช้อยู่ในปัจจุบันถือว่าเป็นช่วงที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะสม เพราะสามารถดูแลอัตราเงินเฟ้อได้ดีตามวัตถุประสงค์ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่แนะนำให้กำหนดเป็นค่ากลางแทน คงยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ระดับเจ้าหน้าที่ต้องไปศึกษาก่อน แต่ก็มีบางประเทศเช่นกันที่กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นค่ากลาง
แนวทางที่จะขยายกรอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อจาก 3% นั้น มองว่าคงไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ แต่อาจจะกลายเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด เพราะเหมือนเป็นการยืนยันคาดการณ์เงินเฟ้อจะสูงขึ้น และจะนำไปสู่การคาดการณ์ว่า ทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการจะขยายกรอบบนขึ้นไป ความหมายเหมือนบอกสาธารณชนให้รู้ว่าจะปล่อยให้เงินเฟ้อสูง ซึ่งดอกเบี้ยก็จะสูงตาม และคนที่จะตัดสินใจซื้อพันธบัตรก็ต้องรอ เพราะดอกเบี้ยจะสูงขึ้น คงไม่ซื้อพันธบัตรที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ
นายประสารกล่าวถึงมาตรการลดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับลดลงว่า มองว่าในระยะสั้นอาจทำให้เงินเฟ้อลดลงได้บ้าง แต่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ามาตรการดังกล่าวจะนำมาใช้นานแค่ไหน และการงดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาวจะมีผลกระทบอย่างไร.