“คำนูณ” เป็นห่วงกองทุนมั่งคั่งนำเงินสำรองฯ ไปลงทุนทำเสี่ยงเจ๊งสูง ซ้ำผิดวัตถุประสงค์หลวงตามหาบัว ส่วนการนำพลังงานในอ่าวไทยขึ้นมา ต้องพิจารณาให้ดีหากไร้หลักประกันว่าคนไทยทุกคนได้ประโยชน์เก็บไว้อย่างเดิม ดีกว่า ชี้ทั้ง 2 นโยบายหากสำเร็จจะสร้างเงินมหาศาล สนองประชานิยมได้สบาย เชื่อรัฐบาลหวังใช้เป็นเครื่องมือให้อยู่ได้ยาว ด้าน “เทพมนตรี” มองว่าประชาชนไม่มีทางเอา ปตท.คืนได้ ฉะนั้นขุดเจาะน้ำมันก็จะยิ่งเพิ่มความมั่งคั่งให้นักการเมือง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนเคาะข่าว”
เมื่อเวลา 20.30 น.ของวันที่ 22 ส.ค. นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา และนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชากรอิสระด้านประวัติศาสตร์ ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ถึงประเด็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
นายคำนูณกล่าวว่า ตนห่วงนโยบายชุดนี้ 3 จุด คือ 1.นโยบายกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ โดยนำเงินทุนสำรองเงินตราไปใช้ อันนี้ประเด็นใหญ่สุด 2.การเร่งแสวงหาผลประโยชน์จากแหล่งพลังงานในอ่าวไทยร่วมกับกัมพูชา 2 เรื่องนี้อาจมีความเกี่ยวโยงกัน สังเกตคนที่ออกมาพูดเรื่องนี้มากสุด คือ รมว.พลังงาน 3.เรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีนโยบายปฏิรูปประเทศ หรือปฏิรูปการเมือง มีแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ ตนไม่ติดใจอะไร แต่คิดว่านี่ไม่ใช่แนวความคิดใหม่ ไม่คิดว่าการทำรัฐธรรมนูญใหม่จะทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่มันต้องทำด้วยการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เท่านั้น
นายเทพมนตรีกล่าวว่า เรื่องกองทุนมั่งคั่ง ถ้าจำประวัติศาสตร์ได้ พ.ต.ท.ทักษิณไปทำเอ็มโอยู 44 หลังจากนั้นก็มีการแปรรูป ปตท. จนกระทั่งมาถึงสมัยนายสมัคร และนายสมชาย ก็ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ ที่น่าสนใจคือ นายอภิสิทธิ์ ได้โต้ตอบกัมพูชาด้วยการให้แขวนเอ็มโอยู 44 แต่ว่าเอ็มโอยู 44 นี่จะทำได้ก็ต่อเมื่อจัดการเขตแดนทางบกให้เสร็จ นโยบายพลังงานตอนนี้อาจจะยังทำไม่ได้ทันที ต้องทำตามเสต็ป ซึ่งอันนี้น่ากลัว คือต้องไปจัดการเรื่องปราสาทพระวิหารก่อน ซึ่งถ้ารวบรัดตัดตอนไปเจรจาเรื่องผลประโยชน์ในอ่าวไทยเลยถือว่าผิดหลักเอ็ม โอยู และไม่เป็นธรรมาภิบาล
เหมือนว่ารัฐบาลไทยจะร่วมมือกับกัมพูชาได้เต็มที่ ซึ่งต้องกลับไปมองในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พูดถึงพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นของคนไทย แม้ในรัฐบาลนอมินี พ.ต.ท.ทักษิณเองยังพูดแบบนี้ ก็อยากฝากบอก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยว่าต้องยืนยันเหมือนเดิม
นายคำนูณกล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลถ้าทำได้ตลอดรอดฝั่งโดยการเงินไม่ติดขัดมันก็ดี 1-2 ปีแรกอาจไปได้ แต่ต่อไปจะเอาเงินมาจากไหน เราจะเห็นว่ารัฐบาลกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ 2 เรื่อง คือ 1.การตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ 2.การขุดเจาะน้ำมัน ที่จะเอาเป็นวาระแห่งชาติ สองเรื่องนี้คือวิธีหาสตางค์ให้ประเทศอย่างมหาศาล ต้องเข้าใจว่านวัตกรรมของโลกยุคใหม่แค่มีข่าวว่าทำสำเร็จ ก็หาเงินได้อย่างมหาศาลแล้ว จนสามารถทำให้นโยบายประชานิยมจิ๊บจ๊อยไปเลย ซึ่งเราก็ควรยินดี ถ้าเป็นไปบนหลักความซื่อตรง โปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่มันยากตรงนี้
ที่เป็นห่วงมาก คือ “กองทุนมั่งคั่ง” ไม่ใช่แค่รัฐบาล แต่นักลงทุนสมัยใหม่ก็เห็นด้วย มีความคิดที่จะเอาเงินทุนสำรองเงินตรา ส่วนที่มากเกินความจำเป็นออกมาตั้งกองทุน เพื่อลงทุนในด้านอื่น อาจจะขุดเจาะพลังงาน ซื้อตราสารเงินตราใหม่ๆ ต้องเข้าใจทุนสำรองเงินตราในความหมายคืออยู่ในความดูแลของฝ่ายออกบัตรธนาคาร แห่งประเทศไทย หรือหลวงตาบัวเรียกว่าคลังหลวง แบ่งเป็น 3 บัญชี 1.บัญชีทุนสำรองเงินตรา 2.บัญชีผลประโยชน์ประจำปี 3.บัญชีสำรองพิเศษ หลวงตาเทศน์หลายครั้งว่าหมายถึงทั้ง 3 บัญชี สินทรัพย์ตรงนี้มีไว้เพื่อหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตร แต่จริงๆแล้วทองคำของหลวงตามหาบัวจะอยู่ในบัญชีสำรองพิเศษ ซึ่งเวลาคนภาครัฐออกมาจะบอกว่าแตะต้องไม่ได้ แต่ส่วนอีก 2 บัญชีจะอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ลูกศิษย์หลวงตาบัว ประชาชน ต้องติดตามให้ดี พูดง่ายๆ สินทรัพย์ที่อยู่ในทุนสำรองเงินตรา มันเป็นเรื่องที่บรรพบุรุษ และบูรพกษัตริย์ พระราชทานเพื่อไว้เป็นทุนสำรองสำหรับการรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินตราสยามกับเงินตราต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่ปี 2452 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานเงินจากท้องพระคลังจำนวน 12 ล้านบาท ตั้งเป็นกองทุนนี้ มีวัตถุประสงค์ไม่ให้ปะปนกับเงินในท้องพระคลัง เนื่องจากให้เป็นหลักประกันในการหนุนค่าเงินบาท และค้ำประกันชาติไทย จึงไม่เคยมีการเอาออกมาทำธุรกรรมอื่นใดทั้งสิ้น สินทรัพย์ในคลังหลวงจึงเพิ่มพูนขึ้นมาจนปัจจุบัน ซึ่งก็หาประโยชน์ได้ แต่ตามกฎหมายพรบ.เงินตรา 2501 กำหนดไว้ว่า จะนำไปหาประโยชน์ก็แต่ในทางที่มั่นคงจริงๆ เท่านั้น เสี่ยงน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นหลักคิดที่จะนำไปลงทุนในทางที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่านี้มันก็เสี่ยง มากขึ้นด้วย
นายคำนูณกล่าวอีกว่า เคยมีความพยายามเอาเงินสำรองเงินตรานี้ออกมา 3 ครั้ง ครั้งแรกในสมัยประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2541 ครั้งที่สองในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนปี 2545 และสุดท้ายในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งก็ไม่สำเร็จ
ทุกครั้งที่ผ่านมาในอดีต มันยังเป็นเพียงการแก้ไขเพื่อโอนย้ายเงินจากฝ่ายออกบัตรมารวมกับฝ่ายการ ธนาคาร สารพัดรูปแบบเพียงเพื่อมาล้างการขาดทุนจากการปฏิบัติงานของแบงก์ชาติ แต่ครั้งนี้เป็นวัตถุประสงค์ใหม่ คือเอามาตั้งเป็นกองทุน
เรื่องนี้รัฐบาลต้องชี้แจงให้ชัดเจน ฝากบอกรัฐบาลถ้าจะมีการแก้กฎหมายซึ่งต้องแก้ พ.ร.บ.เงินตรา 2501 ท่านต้องออกเป็น พ.ร.บ. ต้องผ่านสภา 3 วาระ ต้องรับฟังประชาชนด้วย อย่ารวบรัดตราเป็นพระราชกำหนดเด็ดขาด อยากให้ประชาชนโดยเฉพาะลูกศิษย์หลวงตามหาบัวต้องติดตามเรื่องนี้
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ไม่ได้ค้านแบบไม่มีเหตุผล แต่วิธีคิดของพ่อค้าก้าวหน้า แต่มันก็เสี่ยง และการที่แบงก์ชาติออกมาค้านอันนี้สนุก จะว่าไปในอดีต แบงก์ชาตินี่เป็นตัวหลักเลยในการแก้ไขพรบ.เงินตรา แต่ตอนนั้นแบงก์ชาติเห็นว่าการลงทุนแบบเก่ามันอนุรักษนิยมเกินไป ควรหาประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ได้มากกว่านี้ แต่แบงก์ชาติก็คิดแค่ว่าจะล้างบัญชีของตัวเองในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ไปไกลถึงขั้นเอาออกมาเลยและตั้งเป็นกองทุน
ตนเชื่อว่าสมรภูมิการต่อสู้ของยุคใหม่เป็นการต่อสู้ระหว่างฝั่งรัฐบาลกับฝั่งแบงก์ชาติ เพราะเหมือนกับว่าทั้ง 2 ฝ่ายเป็นตัวแทนกลุ่มความคิดที่ไม่เหมือนกัน โดยรัฐบาลเป็นตัวแทนกลุ่มทุนใหม่ ส่วนแบงก์ชาติ ตอนนี้จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนเก่า เรื่องนี้จะเป็นสมรภูมิการต่อสู้ระหว่างทุนเก่า และทุนใหม่ ถึงบอกว่าถ้าติดตามอย่างเท่าทันจะสนุก แต่ทั้ง 2 ฝั่งอยากแตะคลังหลวงทั้งคู่ แต่วัตถุประสงค์ต่างกันเท่านั้น เชื่อว่านโยบายตัวนี้เป็นเคล็ดลับสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะหาเงินมาบริหารนโยบายประชานิยม อาจสำเร็จหรือไม่ก็ได้ อันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่ง ประชาชนต้องติดตามและต้องให้รัฐบาลพูดให้ชัดเจน
นายเทพมนตรีกล่าวว่า กลัวว่านักการเมือง หรือนักธุรกิจของเราไปลงทุนในกัมพูชา มีรากฐานอยู่แล้ว มีบริษัทใหญ่ยักษ์จากประเทศไทยไปลงทุนเยอะ ดังนั้นแค่เปลี่ยนนโยบายบริษัทเป็นร่วมทุน หรือลงทุนด้านพลังงาน เขากินกับฝั่งฮุนเซนดีกว่ามาสัมปทานกับไทย 1.สัมปทานกับไทยต้องรู้ด้วยว่าใครทำน้ำมัน เกิดบริษัทหนึ่งเคยค้าไก่พอมาสัมปทานในเมืองไทยก็รู้แล้วว่าไม่ได้เชี่ยวชาญ เรื่องน้ำมัน ฉะนั้นต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังถึงมาลงทุน และเมืองไทยการตรวจสอบเยอะ แต่กัมพูชาถ้าฮุนเซนเห็นด้วย ก็ไม่มีทางตรวจสอบได้
แต่อยากบอกว่าน้ำมันในทะเลเรายังไม่น่าเอาออกมาใช้ได้ ถ้าเราเดินตามเอ็มโอยู และต้องย้อนถามกลับ นายอภิสิทธิ์ด้วย ว่าวันที่นายอภิสิทธิ์ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44 ทำไมไม่ดันเข้าสภาแล้วเลิก ทีนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องมาออกมติครม.เพื่อล้มมติ ครม.ของนายอภิสิทธิ์ เมื่อล้มออกมาเปลือยๆ ก็จะมี เอ็มโอยู 43 เอ็มโอยู 44 และจอยส์คอมมูนิเก้
ฉะนั้นถ้าเดินตามแผนยังไม่สามารถเอาน้ำมันออกมาใช้ในเร็ววันนี้ ยกเว้นจะรวบรัดตัดตอนไปทำเอ็มโอยูใหม่ ไม่ต้องไปผ่านว่าต้องจัดการเขตแดนทางบกซะก่อน การที่เขมรต้องการจัดการเขตแดนทางบกเพราะเขาต้องการยืนยันเส้นในทะเลเดิม เพราะเขาประกาศแบบสุ่มสี่สุ่มห้าออกมา พอมาเข้าทีเอ็มโอยู 43 ก็เลยใช้ช่องนี้เดินหลักเขตแดนใหม่ เพื่อย้ายหลักเขตที่ 73 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เขาต้องการ
ตอนนั้นรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณประกาศการแบ่งแปลงในทะเลแบบพิสดารมาก คือแบ่งแปลงใหญ่ๆ ให้เป็นแปลงย่อยๆ ฉะนั้นบริษัทเล็กๆ ก็มาสัมปทานได้ ทุกอย่างทำรอไว้หมดแล้ว แต่ถูกปฏิวัติเสียก่อน ตอนนี้ก็คงมาทำต่อ
นายคำนูณกล่าวว่า เรื่องน้ำมันในอ่าวไทย ตนขอเสนอรัฐบาลว่าเปิดประชุมร่วม 2 สภา อภิปราย 2 วันก็ได้ เถียงกันให้จบ อีกทางหนึ่งถ้าจะดีที่สุดควรตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อดูแลปัญหาไทยกัมพูชา แต่ถ้าจะหักดิบไม่ฟังใครมันก็มีอัตราเสี่ยง อะไรที่ได้เร็วได้มาก ก็ตามมาด้วยความเสี่ยงมาก แม้มีเสียงในสภามากแต่ก็อย่าประมาท ถ้าไม่มีหลักประกันว่าเอาน้ำมันขึ้นมาแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งชาติ อย่าเอาขึ้นมา เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ดีกว่า
ตนคิดว่ารัฐบาลทำเรื่องนี้เพื่อให้ได้อยู่นาน คนไทยอย่าประมาท ต้องหูตาสว่าง ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ค้านอย่างไร้เหตุผล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเงินคลังหลวง มันไม่ธรรมดาที่พระแก่ๆ ปี 2540 ออกมารับบริจาคทองจากประชาชน ตอนนั้นนักเศรษฐศาสตร์ระดับด็อกเตอร์ ยังมีการพูดลับหลังว่าหลวงตาไม่รู้เรื่องจะเอาแต่ทองคำ มาถึงวันนี้มันเหมือนว่าท่านมีฌานหยั่งรู้ ว่าทองคำจะแพงขึ้นกี่เท่า
นายเทพมนตรีกล่าวเสริมว่า อันนี้มันเป็นเงินบุญ คนที่จะใช้ควรเป็นคนดี คนที่เคยโกงกินไม่ควรเอาเงินบุญนี้ไปใช้ คิดดูคนที่ไม่มีเงินทองมากแต่ยอมถอดสร้อย ถอดแหวน ให้หลวงตา เพราะเขาต้องการเอามาเป็นทุนสำรอง รวมกับเงินพระคลังของในหลวงรัชกาลที่ 5
ความจริงประเทศไทยเป็นประเทศที่มั่งคั่งมีทรัพยากรพร้อมทุกอย่าง ถ้ารัฐบาลมีฝีมือจริง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินนั้นมาใช้
นายเทมนตรีกล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่าไม่มีทางเอาปตท.คืนได้ ฉะนั้นก็ยังจะเป็นเครื่องมือทำมาหากินให้นักการเมืองต่อไป การเอาน้ำมันออกมารับรอง ปตท.จะหรูหรามากขึ้นไปอีก