หลายวันก่อน ได้เห็นและได้ยินได้ฟังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มเปิดฉากทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ด้วยการกรีดรัฐบาลปูนึ่ง กรณีรัฐบาลทำหนังสือขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกวีซ่าให้ทักษิณเข้าประเทศญี่ปุ่น ว่า “ขณะนี้ประชาชนไทย ยังไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากรัฐบาลชุดใหม่เลย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับได้รับประโยชน์แล้ว” ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ฟังดูคมคายดีนะครับ แต่เป็นตอนนี้คนไทยหลายคนได้ฟังแล้วก็เกิดอาการคันคะเยอ และอยากบอกนายอภิสิทธิ์กลับไปว่า
ตลอดเวลาสองปีกว่าที่ประชาชนคนไทยมอบอำนาจอธิปไตยให้ท่านถือครองอำนาจรัฐ เพื่อจัดการสะสางสิ่งเลวร้ายที่ระบอบทักษิณทำไว้กับบ้านเมืองนี้ แต่ท่านและรัฐบาลก็กลับสนุกกับการเล่นการเมืองแบบหน้าไหว้หลังหลอก ซึ่งทำให้ทักษิณได้รับคุณูปการมากมายจากรัฐบาลที่ดีแต่พูดตลอดมา จนสามารถกรุยทางกลับมายึดอำนาจรัฐคืนได้อย่างง่ายดาย
หลายคนเคยหงุดหงิดกับการเตะถ่วงโยกโย้ผิดปกติในกรณีการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่แล้วหลายคนก็ต้องตกตะลึง หัวร่อไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก เมื่อความจริงเพิ่งมาเปิดเผยหลังจากทักษิณกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ว่า สองปีกว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยังไม่ได้ส่งเรื่องให้ตำรวจสากลเพื่อออกหมายจับ น.ช.ทักษิณ ที่หลบหนีอยู่ในต่างแดนแต่อย่างใดเลย โดยนายอภิสิทธิ์ตอบคำถามนี้อย่างเรียบง่ายว่า เข้าใจว่าคงจะติดขัดเรื่องการแปลเอกสาร ทางตำรวจและอัยการจึงยังไม่ได้ดำเนินการส่งเรื่องให้ตำรวจสากล
ตอนนี้คนไทยทุกคนก็คงจะถึงบางอ้อแล้ว ที่เคยสงสัยว่า ทำไมนักโทษหนีคดีอย่างทักษิณ จึงสามารถบินไปประเทศโน้นประเทศนี้ ออกข่าวการลงทุนทำธุรกิจ การซื้อทีมฟุตบอล ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศต่างๆ ตลอดจนสามารถต่อสายมาโฟนอินโฟนลิงก์กับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างโจ๋งครึ่มสะดวกสบาย ตามสถานการณ์ที่อยากจะแสดง แถมมีการถ่ายทอดสด หรือถ่ายทอดเทปทุกช่องทีวี
นักการเมืองไทยบินไปพบทักษิณกันขวักไขว่ เป็นภาพและข่าวเปิดเผยตลอดเวลา วันดีคืนดี ฟรีทีวีหลายช่องของประเทศไทย ก็ยกกองไปสัมภาษณ์นักโทษหนีคดีถ่ายทอดสดเผยแพร่กันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ขณะที่ประดาผู้มีหน้าที่รับผิดชอบติดตามตัวทักษิณมารับโทษตามคำพิพากษา กลับบอกอย่างหน้าตาเฉยว่า ผู้ต้องหามีถิ่นที่อยู่ไม่แน่นอน ไม่สามารถติดตามตัวได้ ตลกร้ายดีไหมเล่าพี่น้องชาวไทยเอ๋ย
ตอนนี้นักโทษหนีคดี ก็กลับกลายมาเป็นผู้แอบสั่งตั้งรัฐมนตรีแบบเลือกคนรับใช้ใกล้ชิด และเริ่มงานใช้เป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่างไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม และไม่เกรงกลัวต่อการผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ขอให้จับตามองตำแหน่งการวางตัวรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจ ที่ล้วนเป็นคนเข้านอกออกในบ้านจันทร์ส่องหล้า และจับตามองคนอย่างนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่จะมาสานต่องานจากนายนพดล ปัทมะ รวมทั้งกระทรวงพลังงาน และกระทรวงกลาโหมที่จะเป็นการโยงใยแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชาในอ่าวไทย
ว่ากันว่า หลังจากประสบความสำเร็จจากธุรกิจการสื่อสาร ซึ่งต่อมาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากสัมปทานผูกขาดเป็นการเปิดกว้างให้มีการแข่งขันเสรีขึ้น ทักษิณจึงเริ่มวางมือโดยเห็นได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปนับแสนล้าน เพื่อเบนเป้าหมายไปยังธุรกิจพลังงาน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นธุรกิจทำกำไรมหาศาลและยั่งยืนยิ่งกว่าธุรกิจการสื่อสาร
ดังจะเห็นได้ว่า มีความพยายามที่จะร่วมมือกับผู้นำกัมพูชา โดยการร่วมลงทุนสำรวจแหล่งพลังงานที่คาดกันว่ามีจำนวนมหาศาลในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทย ในขณะที่ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เกิดการชงักงันกลางคันเมื่อถูกรัฐประหารหลุดจากอำนาจรัฐไป ต่อมาแม้จะสามารถตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ การสานต่อด้านธุรกิจพลังงานก็ไม่ราบรื่นสมดังใจ เพราะรัฐบาลหุ่นเชิด ถูกขบวนการภาคประชาชนต่อต้านอย่างหนักหน่วง จนหมดสภาพไปในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ
มาบัดนี้ นับเป็นโอกาสที่เอื้ออำนวยฟื้นคืนอำนาจรัฐมาได้อีกครั้งหนึ่ง จึงเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
ที่เร่งรัดให้กระทรวงการต่างประเทศคืนพาสปอร์ตทางการทูต (พาสปอร์ตแดง) การทำหนังสือถึงรัฐบาลญี่ปุ่นให้ออกวีซ่าให้ทักษิณเข้าประเทศญี่ปุ่น และการที่ทักษิณนำนักธุรกิจต่างชาติเข้าพบฮุนเซน เพื่อเจรจาการดำเนินการด้านธุรกิจพลังงาน ในเขตพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาในอ่าวไทย
และคาดกันว่า ทักษิณ ชินวัตร จะถือโอกาสฉีกหน้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยการขอให้ฮุนเซนปล่อยตัว วีระ สมความคิด และราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ซึ่งถูกจับไปดำเนินคดีและตัดสินลงโทษในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ไม่มีน้ำยาจะปกป้องช่วยเหลือคนไทย แถมยังซ้ำเติมเข้าข้างกัมพูชาโดยยืนยันว่าคนไทยรุกล้ำดินแดนเขมรอย่างสวนทางกับข้อเท็จจริง
เมื่อน้ำลดตอจะผุด ตามคำพังเพยโบราณจริงๆ เพราะยังคงมีอีกหลายเรื่อง ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เล่นการเมืองแบบเกื้อหนุนเข้าทางระบอบทักษิณ จะค่อยๆ ทยอยออกมาประจานรัฐบาลที่ดีแต่พูด ซึ่งจะทำให้การทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เข้มขลังอีกต่อไป เพราะเมื่อผู้นำฝ่ายค้านลุกขึ้นมาอภิปรายตำหนิติติงรัฐบาล ไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด ก็อาจจะเหมือนการเงยหน้าถ่มน้ำลายแล้วตกลงมาเลอะหน้าตนเอง
โดยเฉพาะเรื่องการคอร์รัปชัน เราจะหวังให้คนที่เคยเป็นรัฐบาลแล้วปล่อยให้มีการคอร์รัปชันอย่างมากมาย ไปเที่ยวชี้หน้าท้วงติงการคอร์รัปชันของรัฐบาลนี้ได้เต็มปากเต็มคำได้อย่างไร? หรือหากมีการล้างบางในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงต่างๆ อย่างไม่เป็นธรรม ผู้นำฝ่ายค้านอย่างนายอภิสิทธิ์ จะกล้าลุกขึ้นตีฝีปากเรียกร้องความเป็นธรรมได้หรือ? ในเมื่อยุคที่เป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ในฐานะประธาน กพร.ปล่อยปละให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอย่างขัดต่อหลักคุณธรรมยิ่งกว่ายุคใดๆ
รวมทั้งอีกหลายต่อหลายเรื่อง ที่ฝ่ายค้านอาจจะถูกสวนกลับว่า ตอนเป็นรัฐบาลที่ผ่านมาฝ่ายค้านก็ทำไว้ไม่ถูกไม่ต้อง ไม่ชอบมาพากลเหมือนๆ กัน ทำไมรัฐบาลนี้จะทำบ้างไม่ได้
หลายคนคงอยากรู้นักว่า ลึกๆ ในใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรู้สึกสำนึกผิดและเสียดายโอกาสที่สามารถจะสร้างความถูกต้องดีงามต่อบ้านเมืองได้ แต่กลับปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปบ้างหรือไม่? และจะสำนึกเสียใจบ้างไหม? ที่เล่นการเมืองแบบไม่ซื่อตรงต่อบ้านเมือง มีอำนาจรัฐในมือแล้วไม่ชำระสะสางสิ่งเลวร้าย ความไม่ถูกต้องชอบธรรม แต่กลับปล่อยปละละเลยให้ความชั่วร้ายลอยนวล และขยายเชื้อแพร่พันธุ์เป็นอันตรายต่อสังคมโดยส่วนรวมอย่างที่เป็นอยู่
น่าหดหู่วังเวงนะครับ หรือว่า รัฐสภาไทยต่อจากนี้ไป คนไทยจะหวังอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทั้งจาก ส.ส.ฟากฝั่งรัฐบาล และฟากฝั่งฝ่ายค้านที่ต่างก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อนมีแผลเป็นด่างพร้อยเต็มตัวพอๆ กัน