ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ใช้สถานะความเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอำนวยความสะดวกให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นเป็นผลสำเร็จนั้น ได้นำมาซึ่งความกระจ่างแจ้ง และสะท้อนให้เห็นถึงการทำหน้าที่และความลวงโลกขององคาพยพต่างๆ ทางกฎหมายของรัฐบาลไทยว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ให้สมกับภาษีที่ประชาชนจ่ายให้เลยแม้แต่น้อย
ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ทำท่าประหนึ่งว่า ปฏิบัติการไล่ล่านักโทษชายหนีคดีอย่างเอาจริงเอาจริง แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีหมายจับ นช.ทักษิณส่งไปตำรวจสากลให้ดำเนินการในเรื่องนี้แต่ประการใด
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่ากองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยร้องขอไปยังอินเตอร์โปล ที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อให้พิจารณาขึ้นหมายแดง พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อสองปีก่อน แต่ทางอินเตอร์โปลไม่ได้ขึ้นหมายแดงให้ และมีหนังสือตอบกลับมาว่า กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าเงื่อนไข การประกาศหมายแดงของทางอินเตอร์โปล หลังจากนั้น กองการต่างประเทศก็ไม่ได้ร้องขอไปอีก จึงยืนยันได้ว่า ไม่มีการร้องถอนหมายแดงแต่อย่างใด เพราะอินเตอร์โปลไม่เคยขึ้นหมายแดง พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน
เรียกว่าถึงบางอ้อในฉับพลันทันทีเลยทีเดียวว่า ที่ผ่านมาหมายจับทักษิณของตำรวจสากลที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ นำโดยนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ลงมาถึงนายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คอยประโคมข่าวหนาหูไม่เป็นความจริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อความแตก นายอภิสิทธิ์ก็ออกมาอธิบายหรืออาจจะใช้คำว่าแก้ตัวถึงปมปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างน้ำขุ่นๆ ว่า “มีข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง 2 ส่วนคือ คดีที่ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับที่ดินรัชดา มีการขอไปแต่ทางต่างประเทศเห็นว่าความผิดทางกฎหมายของเราไม่สามารถเทียบเคียงต่างประเทศได้ เพราะเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่ขัดกันทางตำรวจสากล จึงไม่ออกหมายจับ ส่วนกรณีคดีการก่อการร้าย ทางดีเอสไอได้ส่งเรื่องให้ตำรวจและอัยการ ซึ่งปรากฏว่าจนถึงวันนี้ ทางตำรวจอัยการยังดำเนินการไม่เสร็จ”
จากนั้นเมื่อถามจี้ว่า ถือเป็นความสะเพร่าของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์หรือไม่ ที่ไม่ติดตามเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ต้องยอบรับว่าเราไม่ได้ทราบชัดเจนว่าขั้นตอนดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อดีเอสไอ ส่งไปเข้าใจว่า ตำรวจและอัยการ ก็ว่าไปตามกระบวนการ”
คำถามก็คือ ทำไมเพิ่งมาบอกประชาชนเอาป่านนี้ เวลาผ่านมาตั้งนมนานก็ไม่เลือกที่จะพูดความจริงให้ประชาชนได้รับรู้
ขณะเดียวกัน นอกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว หน่วยงานที่จะต้องตำหนิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงเป็นเหล่าข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ดีเอสไอ หรืออัยการคดีต่างประเทศ ที่มีการดำเนินการกันอย่างหน้าดำหน้าแดงบนความโกหกหลอกลวงประชาชน
ยิ่งเมื่อนายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ ออกมาเปิดเผยว่าการติดตามผู้ร้ายข้ามแดนของอัยการ ต้องรอให้กระทรวงต่างประเทศแจ้งที่อยู่ที่ชัดเจนของ พ.ต.ท.ทักษิณในญี่ปุ่นมาให้อัยการก่อน หากไม่ทราบที่อยู่ที่ชัดเจน อัยการก็ไม่สามารถระบุรายละเอียดเพื่อทำหนังสือขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ อัยการไม่สามารถใช้ข้อมูลที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆได้ ก็ยิ่งเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
คำถามที่เกิดขึ้นคือ ที่ผ่านมาอัยการเคยตั้งหน้าตั้งตาเดินเรื่องอย่างถึงที่สุดหรือไม่ หรือจะต้องรอให้กระทรวงต่างประเทศชี้ที่อยู่ให้ไปตามตามจับอย่างเดียวกระนั้นหรือ
เพราะความจริงแล้ว ที่อยู่ของ นช.ทักษิณไม่ได้เป็นความลับ และใครๆ ก็สามารถเดินทางไปพบได้ นายบรรหาร ศิลปอาชาก็เคยเดินทางไปพบเพื่อต่อรองเก้าอี้ บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็ยกโขยงกันไปหาแทบหัวบันไดไม่แห้ง
มาถึงตรงนี้ก็ต้องบอกแบบเศร้าใจว่าข่าวโคมลอยลวงโลกครั้งนี้ ได้สะท้อนการทำงานของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ตำรวจ อัยการ และ ดีเอสไอ ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ ได้เป็นอย่างดีว่ามีพฤติกรรมและสำนึกในหน้าที่ของตัวเองเพียงใด
ดังนั้นแล้ว อย่าได้แปลกใจเลยว่าประชาชนทั่วไปจะหมดศรัทธาและตามมาด้วยคำตำหนิติเตียนองค์กรเหล่านั้น