ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุดทุกคนก็รู้เช่นเห็นชาติกันแล้วว่า ทำไม “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้บารมีตัวจริงแห่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงตัดสินใจเลือก “ดร.ปึ้ง-นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยที่ไม่ได้สนใจเสียงยี้ที่ดังกระหึ่มทั้งบ้านทั้งเมือง จนติดอันดับ 1 รัฐมนตรีในครม.ปูจ๋า 1 ที่คนยี้ที่สุดในประเทศ
ไม่ใช่ ไม่มีใครยอมรับนั่งเก้าอี้เสนาบดีกระทรวงบัวแก้ว จึงตัดสินใจเลือกใช้บริการ ดร.ปึ้ง
หากแต่เป็นความจงใจและตั้งใจที่จะกาหัว “ม้าใช้” ผู้มีความจงรักภักดีสูงสุดและเป็นทั้งเครือญาติอย่าง ดร.ปึ้งเจาะจงมาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ
ไม่ใช่หน้าที่เพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน หากแต่มีหน้าที่เพื่อ นช.ทักษิณเป็นการเฉพาะ ซึ่งการที่ประเทศญี่ปุ่นออก “วีซ่า” ให้กับนายใหญ่คนเสื้อแดงคือประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นผลงานของม้าใช้ผู้จงรักภักดีต่อนายอย่าง “นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล”
และแน่นอนว่า นี่เป็นแค่เป้าหมายแรก เพราะเป้าหมายต่อไปของม้าใช้อย่างนายสุรพงษ์ถูกวางเอาไว้อย่างเป็นลำดับและเป็นขั้นตอนคือ คืนพาสปอร์ตแดงให้กับนายเหนือหัวและตามมาด้วยการนำ นช.ทักษิณเหยียบราชอาณาจักรไทยให้จงได้
เช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ที่กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรตัดสินใจคืนเงินภาษีที่อายัดไว้จำนวน 12,000 ล้านบาทให้กับนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร โดยที่ไม่อุทธรณ์ รวมถึงผลประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลในอ่าวไทยที่อีกหนึ่งม้าใช้ตระกูลชินชื่อ “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกำลังเร่งปฏิบัติการงานเต็มขีดความสามารถเพื่อเจรจาผลประโยชน์กับสมเด็จฮุนเซ็นแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน “นช.ทักษิณ” เร่งปิดเกม “ผีกระหัง” รีบฮุบน้ำมันอ่าวไทย ยึดขุมทรัพย์ 5 ล้านล้านบาท .....หน้า 8)
และที่เด็ดที่สุดก็คือ การที่คณะรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งขณะนี้พิสูจน์แล้วว่า ทำงานเพื่อประชาชนชาวไทยจริง แต่เป็นประชาชนชาวไทยเพียงคนเดียวที่ชื่อทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น เพราะยังไม่ทันที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและลงมือทำงานให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ปฏิบัติการทำงานรับใช้ นช.ทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบรรจุเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีเป้าหมายที่จะลบล้างความผิดในทุกกรณีให้กับพี่ชายของตนเอง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน “แก้รัฐธรรมนูญล้างผิดแม้ว เพื่อไทย ทำจริง ทำได้ทันที”...หน้า 7)
**ปึ้งจัดเต็มล็อบบี้ญี่ปุ่นให้วีซ่า
หลังได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพียงแค่ไม่กี่วัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชื่อนายสุรพงษ์ก็เริ่มประเดิมผลงานชิ้นเอกเพื่อรับใช้นายอย่างทันท่วงทีโดยที่ไม่ต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ชนิดเรียกได้ว่า เป็นภารกิจหลักของการเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศเลยทีเดียว นั่นคือการล็อบบี้เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเพื่อออกวีซ่าให้กับ นช.ทักษิณในการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นในช่วงระหว่างวันที่ 22-28 สิงหาคมนี้
สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า นายสุรพงษ์ได้ร้องขอระหว่างการหารือเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมากับนายเซอิจิ โคจิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น “ในช่องทางพิเศษ” ช่วงระหว่างวันที่ 22-28 สิงหาคมนี้ แม้ นช.ทักษิณจะมีคดีอาญาติดตัวและเป็นผู้ร้ายหนีคดีอาญาที่ตัดสินโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ก็ตาม
จากนั้นเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม สำนักข่าวเอเอฟพีได้รายงานยืนยันชัดเจนว่า ญี่ปุ่นได้ออกวีซ่าให้กับนช.ทักษิณไปเรียบร้อยแล้ว โดยนายยูกิโอะ เอดาโนะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้แถลงว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันดำเนินนโยบายไม่ห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศต่างๆ และร้องขอญี่ปุ่นออกวีซ่าให้เนื่องด้วยการขอร้องจากรัฐบาลไทยและการพิจารณาในหลายๆ ด้านที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงตัดสินใจออกวีซ่าให้อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย
นี่เป็นประจักษ์พยานถึงฝีมือการทำงานของม้าใช้ที่ชื่อนายสุรพงษ์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นตระหนักและรับรู้อยู่แล้วว่า คนที่นายสุรพงษ์ล็อบบี้นั้นมีความผิดในคดีอาญาของประเทศไทย และโดยปกติรัฐบาลญี่ปุ่นจะไม่อนุญาตให้ผู้ถูกตัดสินผิดคดีอาญาและรับโทษจำคุกเกินกว่า 1 ปีเข้าประเทศ ดังนั้น ก่อนที่รัฐบาลญี่ปุ่น ก่อนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นอนุญาตให้เข้าประเทศ จึงจำเป็นที่จำต้องปรึกษากับรัฐบาลไทยอย่างหนักแน่น รวมทั้งหาหรืออย่างจริงจังกับรัฐบาลไทย ซึ่งนั่นก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะในเมื่อมีม้าใช้อย่างนายสุรพงษ์เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย และมีโคลนนิ่งผู้น้องคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นถึงนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรไทย
ถ้าไม่มีคำรับรองจากกระทรวงการต่างประเทศไทย และรัฐบาลไทย รัฐบาลญี่ปุ่นย่อมไม่อนุญาตให้ นช.ทักษิณเข้าประเทศเช่นนี้
คำถามแรกที่เกิดขึ้นก็คือ นักโทษชายหนีคดีชื่อทักษิณมีคุณงามความดีและทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอะไรบ้าง จึงทำให้รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้คำรับรองและร้องขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกวีซ่าเป็นกรณีพิเศษชนิดที่ไม่สนใจวาทกรรม 2 มาตรฐานที่ตัวเองเคยใช้ในการปลุกม็อบคนเสื้อแดงมาแล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงแรกหลังจากถูกโจมตีอย่างหนัก นายสุรพงษ์ก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆและไม่ยอมขยายความชัดเจนในประเด็นดังกล่าวเช่นกัน กระทั่งจนมุมด้วยหลักฐานจึงยอมรับว่า ได้มีการพบกับนายเซอิจิ โคจิมา เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยจริงในวันที่ 11 สิงหาคม ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย โดยผ่านการประสานงานจาก “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ผู้เป็นน้องเขยของ นช.ทักษิณ
พร้อมตบท้ายด้วยประโยคเด็ดว่า “ถือว่าเป็นการทำประโยชน์ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง จึงขอขอบคุณทางการญี่ปุ่นที่ออกวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ”
ขณะที่การออกพาสปอร์ตแดง ดร.ปึ้งก็ออกตัวและแผ้วถางทางให้กับนายใหญ่เอาไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกันว่า....
“อยากปล่อยให้เป็นเรื่องข้าราชการประจำเป็นผู้ดำเนินการหากในอนาคตหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาหรือกระทรวงให้ดำเนินการ ขอเรียนต่อสังคมว่า ไม่ต้องเป็นห่วง จะทำตามขั้นตอนที่ถูกและขั้นตอนตามกฎหมาย ยึดหลักจารีตประเพณีที่ดีของกระทรวง”
เฉกเช่นเดียวกับ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่คงไม่ต้องโกหกและบิดเบือนข้อเท็จจริงอีกต่อไปว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศชัดเจนแล้วว่า ได้รับการร้องขอจากรัฐบาลไทย ซึ่งคำว่ารัฐบาลไทยก็ย่อมหมายถึงทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์และนายสุรพงษ์อยู่แล้ว
**เดินแผนโลกล้อมประเทศ นำทักษิณเหยียบแผ่นดินไทย
จริงๆ แล้วในช่วงที่นช.ทักษิณหนีอาญาแผ่นดินออกไปต่างประเทศ มีหลายประเทศที่อนุญาตให้เขาเหยียบแผ่นดิน เช่น นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่เปิดให้ นช.ทักษิณใช้แผ่นดินของตัวเองเป็นที่พำนักพักอาศัยและบัญชาการทวงแผ่นดินคืน …ราชอาณาจักรกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซนที่ถึงขนาดแต่งตั้ง นช.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา...มอนเตรเนโกรที่เห็นแก่เศษเงินลงทุนก้อนมหาศาลของมหาเศรษฐีด้วยการให้สัญชาติแก่ นช.ทักษิณ รวมทั้งอีกหลายประเทศในคาบสมุทรแปซิฟิกและทวีปแอฟริกา
ยิ่งในช่วงที่อำนาจของประเทศไทยใกล้หวนกลับคืนไปตกอยู่ในมือของตระกูลชินวัตร นช.ทักษิณก็ยิ่งเดินทางไปไหนมาไหนให้สะดวกขึ้น เริ่มจากประเทศบรูไนที่บรรดาสาวกและลิ่วล้อเดินทางไปต่อรองขอเก้าอี้กันจ้าละหวั่น ตามต่อด้วยประเทศเยอรมนีที่อนุญาตให้ นช.ทักษิณเข้าประเทศ โดยไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เหตุผลที่รัฐบาลดอยซ์ตัดสินใจให้วีซ่า นช.ทักษิณนั้น อยู่ที่ตรงไหน
กระทั่งรัฐบาลของโคลนนิงผู้น้อง-ยิ่งลักษณ์ผ่านกระบวนการเถลิงอำนาจก้าวขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยอย่างสมบูรณ์แบบ ญี่ปุ่นคือประเทศแรกที่ยินยอมออกวีซ่าให้ นช.ทักษิณเข้าประเทศ ซึ่งการที่รัฐบาลญี่ปุ่นยอมให้ นช.ทักษิณเข้าประเทศก็ต้องถือว่าไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะต้องไม่ลืมว่า เพลานี้น้องสาวของ นช.ทักษิณคือนายกรัฐมนตรีของไทย และแท้ที่จริงแล้ว นช.ทักษิณก็คือผู้มีบารมีสูงสุด คือผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุดซึ่งสามารถบัญชาการให้คณะรัฐมนตรีซ้ายหันหรือขวาหันไปทางไหนก็ได้ ที่สำคัญคือเมื่อการขอทำโดยรัฐบาลไทย รัฐบาลญี่ปุ่นก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้
แน่นอน การเดินทางไปญี่ปุ่นของ นช.ทักษิณในครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา หากแต่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่เชื่อมโยงถึงสถานภาพของเขาในเวทีโลกหลังประสบความสำเร็จในการเดินทางเข้าออกประเทศต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเชื่อมโยงถึงแผนการเดินทางกลับประเทศไทย
ด้วยเหตุดังกล่าว การเดินทางไปที่จังหวัดมิยางิที่อยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นในฐานะที่เป็นผู้บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิในญี่ปุ่นและถูกเชิญให้ไปบรรยายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทยกับญี่ปุ่น ย่อมไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของ นช.ทักษิณหากแต่น่าจะเป็นแผนการแรกในการกลับประเทศไทยของ นช.ทักษิณด้วยการใช้ “ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ”
บีบคั้น กดดันและสร้างสถานการณ์เพื่อความชอบธรรมในการเดินทางกลับคืนสู่ราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ เนื่องเพราะการที่ญี่ปุ่นออกวีซ่าให้เข้าประเทศได้ย่อมส่งผลถึงสถานภาพของเขาโดยตรงในสายตาชาวโลก เพราะญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่ห้ามเขาเข้าประเทศ และถ้าสามารถฝ่าด่านทะลวงไปได้ ย่อมทำให้สถานภาพของเขาถูกยกระดับขึ้นในอีกขั้นหนึ่ง จากนั้นก็ขยับไปที่สหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักรอันเป็นสถานที่ตั้งคฤหาสน์หรูหราของเขา ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายต่อไปหลังจากนี้
กล่าวคือ นช.ทักษิณต้องการแสดงให้เห็นว่า เขาไม่ใช่บุคคลต้องห้าม ยิ่งถ้าสังเกตหนึ่งในเหตุผลของการเยือนญี่ปุ่นของ นช.ทักษิณจะเห็นชัดเจนว่า เขาต้องเดินทางไปบรรยายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง นช.ทักษิณไม่ได้มีศักดิ์และมีฐานะอะไรถึงมีสิทธิที่จะบรรยายในหัวข้อนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะเป็นนักโทษหนีคดีอาญาตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทว่า นช.ทักษิณกลับทำตัวเสมือนหนึ่งเป็นทูตพิเศษของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ในการเดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในครั้งนี้ ดังนั้น ทำให้สามารถเชื่อมโยงได้ว่า เป็นหนึ่งในแผนการที่จะใช้ญี่ปุ่นสร้างการยอมรับในเวทีโลกก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการที่จะรุกคืบเหยียบราชอาณาจักรไทยอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของเขา
**ปชป.จวก “ปึ้ง” ทำผิด ขัดรธน.ม. 176 อาญา ม.189-192
และเวลานี้ กรรมกำลังไล่ล่านายสุรพงษ์อย่างหนัก เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่รอช้าที่จะกระโดดงับความผิดพลาดอันใหญ่หลวงนี้ทันที เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้สั่งการให้นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง รวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับอดีตปชป.อย่าง ดร.ปึ้ง
ทั้งนี้ นายนิพิฎฐ์สรุปประเด็นความผิดของนายสุรพงษ์เอาไว้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีสถานะเป็นนักโทษที่หลบหนีคดีที่ศาลมีคำพิพากษาสั่งจำคุกแล้ว 2 ปี ซึ่งตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นกำหนดชัดเจนว่า ผู้ที่ต้องโทษ เกิน 1 ปี จะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ เว้นเสียแต่เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจากหลักฐานทั้งหมดที่ทีมกฎหมายได้ติดตามมาแสดงให้เห็นว่า นายสุรพงษ์ ได้กระทำการช่วยเหลือโดยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อในลักษณะที่ว่า ได้พบกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นไม่ว่าจะไปพบเอง หรือเชิญมาพบก็ตาม จากการให้สัมภาษณ์อีกหลายครั้งว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยโดยรวม และหลักฐานสำคัญอีกชิ้นคือ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่นเองก็ได้แถลงยืนยันว่า รัฐบาลไทยเป็นผู้ร้องขอให้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นอนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศ โดยใช้คำว่า “รัฐบาลไทยเป็นผู้ร้องขอ”
ด้วยเหตุดังกล่าว นายสุรพงษ์จึงกระทำความผิดต่อรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 2 ลักษณะ คือ 1.การที่นายสุรพงษ์ไปพูดในลักษณะที่เป็นนโยบายว่า รัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ไม่มีนโยบายเหมือนรัฐบาลชุดที่แล้วถือว่า เป็นการพูดเรื่องนโยบายก่อนที่จะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ และการที่นายสุรพงษ์ ไปดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ก่อนที่จะมีการแถลงนโยบาย ต่อสภา ก็เป็นการทำผิดขั้นตอนรัฐธรรมนูญ ซึ่งขอย้ำว่า ถึงแม้รัฐบาลจะแถลงนโยบายแล้วก็ตาม นายสุรพงษ์ ไม่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษที่หลบหนีคดีอาญา ดังนั้นจึงถือว่านายสุรพงษ์ ได้ดำเนินการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 176 วรรค2
2.จากหลักฐานชี้ให้เห็นว่านายสุรพงษ์ น่าจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 และ มาตรา 192 ที่กฎหมายใช้คำว่า ผู้ใด เมื่อกฎหมายใช้คำว่า “ผู้ใด”ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็น รมต.หรือบุคคลก็ตามล้วนมีความผิดทางกฎหมายทั้งสิ้น โดยในมาตรา 192 ที่ระบุว่า”ผู้ใดช่วยด้วยประการใดๆ ให้ผู้ที่หลบหนีการคุ้มตัวตามอำนาจศาล เพื่อไม่ให้บุคคลนั้นถูกจับ ต้องระวางโทษไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งในกรณีนี้รมว.ต่างประเทศ ที่รู้อยู่แล้วว่าพ.ต.ท.ทักษิณ กำลังเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นหน้าที่ของรมว.ต่างประเทศคือ ต้องประสานไปทางอัยการ เพื่อขอให้ตำรวจหรือทางการญี่ปุ่นดำเนินการจับกุมพ.ต.ท.ทักษิณ แต่รมว.ต่างประเทศกลับไม่ได้ดำเนินการเลย ในทางกลับกัน กลับช่วยเหลือให้พ.ต.ท.ทักษิณไม่ถูกจับกุมและประสานให้เข้าประเทศญี่ปุ่นแทน
....ถึงตรงนี้ เวลา คำพูดและการกระทำได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ มิได้เป็นรัฐบาลที่เข้ามาทำเพื่อประชาชน ดังเช่นที่นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวภายหลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีว่า... “สุดท้ายนี้ดิฉันขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ที่ให้โอกาสดิฉัน ซึ่งถือว่าเป็นพันธะสัญญาทางใจ ให้ตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ด้วยความภาคภูมิใจ ดิฉันจะมุ่งมั่น สร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน"
เนื่องเพราะคณะรัฐบาลชุดนี้เข้ามาเพื่อปกป้องและทวงคืนผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตร รวมทั้งเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ต้องสูญเสียไปหลังจากพ้นวงโคจรแห่งอำนาจ
คืนภาษีให้หลานโอ๊ค-เอม….
เตรียมคืนพาสปอร์ตแดงให้พี่แม้ว....
ล็อบบี้ขอวีซ่าเข้าญี่ปุ่นให้พี่แม้ว….
แก้รธน.เร่งด่วนเพื่อฟอกความผิดและนำพี่แม้วกลับบ้าน...
และเตรียมเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยร่วมกับกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ของพี่แม้ว
เหล่านี้คือนโยบายที่พรรคเพื่อไทยและนางสาวยิ่งลักษณ์ทำจริงและทำได้ทันที โดยเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า เป็นรัฐบาลที่มุ่งมั่น สร้างสุข สลายทุกข์ให้กับ นช.ทักษิณเพียงคนเดียวเท่านั้น