คอลัมน์ : บู๊ลิ้ม
โดย : พชร สมุทวณิช
ผมชวนคุยเรื่อง “ดาบมังกรหยก” นิยายจีนกำลังภายในของท่านปรมาจารย์ “กิมย้ง” มาแล้วหลายตอน ถึงตอนนี้ ขอปิดท้ายด้วยเรื่องราวของ “ความรัก” ของตัวละครในเรื่อง “ดาบมังกรหยก” ที่มีพระเอกชื่อ “เตียบ้อกี๋” กันบ้าง
อีกจุดเด่นของฝีไม้ลายมือของ “กิมย้ง” ในความเห็นของผมก็คือ การสร้างตัวละครที่มีบุคลิกเฉพาะตัวน่าสนใจ หลายเรื่องของปรมาจารย์ผู้นี้ นอกจากจะสร้าง “พระเอก” ที่โดดเด่นแล้ว ยังสร้างตัวละครอื่นๆ ให้มีเอกลักษณ์ไม่แพ้พระเอกของเรื่อง โดยเฉพาะ “นางเอก” ของ “กิมย้ง” นั้น ในหลายต่อหลายนิยายจีนกำลังภายในของท่านปรมาจารย์ผู้นี้ ก็ถือได้ว่ามีความโดดเด่นไม่แพ้ “พระเอก” เลยทีเดียว ไม่ต้องไปพูดถึงอื่นไกล อย่างกรณีมหากาพย์ “มังกรหยก” ชุดนี้ ในภาคแรกนั้น “อึ้งย้ง” ก็ไม่แพ้ “ก๊วยเจ๋ง” และในภาคต่อมานั้น “เซียวเหล่งนึ่ง” ก็มีบทบาทไม่เป็นรอง “เอี้ยก้วย” แต่อย่างใด
สำหรับ “ดาบมังกรหยก” เรื่องนี้ “กิมย้ง” ได้สร้าง “เตียบ้อกี๋” ขึ้นมา และขณะเดียวกันก็ได้สรรค์สร้าง “นางเอก” ขึ้นมาถึง 4 นาง อันได้แก่ “เตียเมี่ยง-ฮึงลี้-เสี่ยวเจียว-จิวจี้เยียก” แต่ละคนต่างมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว และมีทัศนคติตลอดจนรูปแบบการดำเนินตนเป็นของตนเอง มีนิสัยใจคอที่ต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดต่างมีใจรักมั่นในตัวของ “เตียบ้อกี๋” และน่าที่สนใจมากกว่านั้นก็คือ “ความรัก” ของทั้ง 4 นางที่มีต่อ “เตียบ้อกี๋” ก็แตกต่างรูปแบบกันออกไปตามสไตล์ของใครของมัน
ส่วนตัว “กิมย้ง” เอง ได้เคยเขียนถึง “ความรัก” ของ “เตียบ้อกี๋” กับ “นางเอกสาวสี่นาง” ไว้ โดยระบุว่า แม้ “เตียบ้อกี๋” จะมีการระบุในตอนท้ายเหมือนจะเฉลยให้คนอ่านฟังว่า “รักใครมากที่สุด” แต่ “กิมย้ง” เองก็บอกว่า แท้จริงแล้ว “เตียบ้อกี๋” นั้นก็อาจจะไม่รู้หรอกว่าตนเองนั้นรักใครกันแน่ ผมจะเขียนถึงเรื่องราวของสาวสี่นางจากความรู้สึกส่วนตัวในฐานะคนอ่าน และผมก็เชื่อว่านักอ่านที่ได้สัมผัส “ดาบมังกรหยก” ต่างก็สวมวิญญาณ “เตียบ้อกี๋” ในการคิดคำนึงในแต่ละห้วงทำนองในการเสพย์นิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้อยู่เหมือนกันว่า ความรู้สึกของตนเองต่อสาวทั้งสี่ต่างกันอย่างไร และชอบคนใดเป็นพิเศษ
ผมขอเริ่มจาก “ฮึงลี้” หรือ “ตู้ยี้” ก่อน หญิงสาวนางนี้เป็นลูกสาวของจอมยุทธฝ่ายมารสังกัดนิกาย “เม้งก่า” ที่มีนามว่า “ฮึงเอี้ยอ้วง” ผู้มีฐานะอันดับสองใน “นิกายเหยี่ยวฟ้า” ทั้งยังเป็นบุตรชายของประมุขพรรค และมีศักดิ์เป็นพี่ชายของมารดาของ “เตียบ้อกี๋” อีกต่างหาก “ฮึงลี้” ผู้นี้มีชีวิตวัยเด็กที่อาภัพอัปภาคย์ เนื่องจากบิดาของเธอมีภรรยาหลายนาง โดยที่มารดาของนางเคยเป็นยอดฝีมือแห่งยอดวิชา “หัตถ์พันแมงมุมหมื่นพิษ” ที่ผู้ใดฝึกวิชานี้จะมีหน้าตาอัปลักษณ์เพื่อต้องฝึกด้วยการใช้พิษหล่อเลี้ยงพิษ ดังนั้นจึงมีผลกระทบทำให้หน้าตาเปลี่ยนแปลงจากโฉมงามกลายเป็นนางอสูรที่น่าเกลียด มารดาของเธอหลงรัก “ฮึงเอี้ยอ้วง” จึงสะบั้นยอดวิชาเพื่อให้หน้าตากลับมาสวยงาม หากแต่จะไม่มีฝีมือเหลืออยู่ กลายเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้กับใครๆ เมื่อสมรสสมรักกับ “ฮึงเอี้ยอ้วง” แต่ไม่สามารถมีลูกได้ สามีจึงตบแต่งภรรยาใหม่เพื่อหวังมีสายโลหิตสืบตระกูล “ฮึงลี้” ถือกำเนิดในภายหลังที่ภรรยารองของ “ฮึงเอี้ยอ้วง” มีลูกออกมาแล้ว ในวัยเด็กของเธอนั้น มารดาของเธอต้องทนทรมานเป็นหญิงอ่อนแอท่ามกลางการชิงดีชิงเด่นกับเหล่าภรรยารองของ “ฮึงเอี้ยอ้วง”
“ฮึงลี้” เติบโตในวัยเด็กภายใต้สภาพแวดล้อมที่มารดาโดนข่มเหง ในที่สุดจึงสังหารภรรยาคนรองของบิดา และหนีออกจากบ้าน มารดาของเธอฆ่าตัวตายระหว่างการช่วยเหลือเธอ ในวัยเด็กเธอจึงหนีไปอยู่กับ “นางเฒ่าดอกไม้ทอง” ที่เกาะงูศักดิ์สิทธิ์ ในวัยเด็กชีวิตเธอมีอันใดบังเอิญมาพบพาน “เตียบ้อกี๋” โดย “นางเฒ่าดอกไม้ทอง” จะจับตัว “เตียบ้อกี๋” ไปด้วย เด็กน้อย “อาลี้” จึงบังเอิญโดน “เตียบ้อกี้” กัดมือระหว่างต่อสู้ เกิดเป็นความประทับใจรักแบบเด็กๆ และติดตราตรึงใจเป็น “ผูกพันรักแรก” ของหญิงสาวนางนี้
เธอมาพบเจอ “เตียบ้อกี๋” อีกครั้งเมื่อวัยหนุ่มในฐานะปลอมแปลงตัว ไม่รู้ว่าหนุ่มผู้นี้คือ “เตียบ้อกี๋” ของเธอ กลายเป็นรักซับซ้อนอีกรูปแบบหนึ่ง และ “ฮึงลี้” เองก็ถูก “จิวจี้เยียก” ลอบสังหารโดยป้ายความผิดไปให้ “เตียเมี่ยง” โดย “เตียบ้อกี๋” ก็เข้าใจว่าเธอเสียชีวิตไป แต่ต่อมาภายหลังจึงพบว่าจริงๆ แล้ว “ฮึงลี้” ยังไม่ตาย
ถ้าจะถามผมว่า “เตียบ้อกี๋” นั้นรัก “ฮึงลี้” หรือไม่ ส่วนตัวผมแล้วผมคิดว่าความรู้สึกที่ “เตียบ้อกี๋” มีต่อหญิงสาวผู้นี้นั้น น่าจะเป็นความรู้สึกผูกพันในความคล้ายคลึงบางประการกับมารดาของเขามากกว่า “ฮึงลี้” นั้นมีความเกี่ยวข้องกับเขาในฐานะลูกพี่ลูกน้อง มีบุคลิกบางอย่างคล้ายมารดาของเขา นอกจากนั้น “เตียบ้อกี๋” จะมีความสงสารหญิงสาวผู้นี้เนื่องจากเธอมีรูปโฉมอันอัปลักษณ์ ทำให้รูปแบบของความรู้สึกของ “เตียบ้อกี๋” จะหนักไปทางส่วนของความสงสารมากกว่าความรัก
ในช่วงวัยหนุ่มสาวที่ “ฮึงลี้” มาพบ “เตียบ้อกี๋” อีกครั้งนั้น ในฉากนั้นของ “ดาบมังกรหยก” ก็จะมีนางเอกอีกหนึ่งคนโผล่มาอีกพร้อมๆ กัน นั่นก็คือ “จิวจี้เยียก” ที่กลายเป็นศิษย์เอกของสำนัก “ง้อไบ๊”
หากจะพูดว่า “ฮึงลี้” นั้นเป็นหญิงอาภัพที่มีวัยเยาว์ที่น่าสงสาร และโชคชะตาได้ดลบันดาลให้มาเจอ “เตียบ้อกี๋” สมัยครั้งยังเด็ก ในส่วนของ “จิวจี้เยียก” นั้นก็มีความคล้ายคลึงดังที่ว่าเช่นเดียวกัน เธอเองก็พบเจอ “เตียบ้อกี๋” ครั้งในวัยเด็กและผูกพันความรู้สึกทางใจแบบเด็กๆ และจินตนาการสร้างสรรค์จนเป็นความรู้สึก “รัก” ในวัยสาว
สำหรับความอาภัพของชีวิต “จิวจี้เยียก” นั้นจะเรียกว่ามีชาตะน่าสงสารแบบไม่ทันตั้งตัวก็ว่าได้ ครั้งยังเป็นเด็ก บิดาเธอที่เป็นคนแจวเรือบังเอิญตกอยู่ในวังวนการตามล่าล้างของสำนักมาร และบิดาเธอถูกลูกหลงจากการต่อสู้เสียชีวิต บังเอิญ “เตียซำฮง” พา “เตียบ้อกี๋” ผ่านมาพอดีหลังจากโดนสำนักเสี่ยวลิ้มยี่ปฏิเสธการช่วยเหลือรักษาบาดเจ็บให้ “เตียบ้อกี๋” เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวต่อหน้าต่อตา “เตียซำฮง” จึงช่วยเหลือเด็กสาว “จิวจี้เยียก” และพากลับไปบู๊ตึ้งด้วย และในที่สุด “จิวจี้เยียก” ก็ได้รับการฝากฝังอยู่กับสำนักง้อไบ๊
“จิวจี้เยียก” กลายเป็นศิษย์ที่แม่ชี “มิกเจาะ” แห่งสำนัก “ง้อไบ๊” สืบทอดตำแหน่งให้แบกรักภาระฟื้นฟูสำนักที่ในครั้งนั้นแม้ถือสุดยอดศัตรา “กระบี่อิงฟ้า” แต่ด้านขุมกำลังถือเป็นรองสำนักอื่นๆ และโดดเด่นไม่เท่า “จิวจี้เยียก” นั้นได้รับแรงกดดันจากอาจารย์ผู้มีพระคุณให้แบกรักภาระยิ่งใหญ่ทั้งๆ ที่ตนเองก็ยังอ่อนต่อโลก แถมยังอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งรักต้องห้ามกับ “เตียบ้อกี๋” ที่อยู่คนละฝ่ายอีกต่างหาก
“จิวจี้เยียก” ได้รับการถ่ายทอดความลับของ “กระบี่อิงฟ้า” และ “ดาบฆ่ามังกร” พร้อมทั้งได้รับการสั่งเสียจากอาจารย์ผู้มีพระคุณล้นฟ้าที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก ให้ล่อลวง “เตียบ้อกี๋” ที่ตนหลงรัก เพื่อหาทางนำเอา “กระบี่อิงฟ้า” และ “ดาบฆ่ามังกร” มาเจอกัน และไขความลับสุดยอดวิทยายุทธเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของสำนัก “ง้อไบ๊” ให้กลับมายิ่งใหญ่ หลังจากที่ “แม่ชีมิกเจาะ” เคยผิดหวังจากศิษย์รุ่นก่อน “กี้เฮียวพู้” ที่หลงรัก “เอี้ยเซียว” และมั่นในรักไม่ยอมทรยศต่อเขา
หญิงสาวผู้นี้จึงต้องกล้ำกลืน “ทรยศต่อใจตัวเอง” เพื่อจุดมุ่งหมายตอบแทนผู้มีพระคุณ กระทำการชั่วร้ายต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่เบื้องลึกของจิตใจมิใช่ชั่วร้ายเลวทราม เรียกได้ว่าสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมบีบบังคับให้ “จิวจี้เยียก” จำเป็นต้องประพฤติผิดทำนองคลองธรรมและทรยศต่อความรักที่ “เตียบ้อกี๋” มีให้เธอ นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า จากทั้งหมด “สี่นางเอก” นั้น “จิวจี้เยียก” เป็นคนเดียวที่ไม่มีพื้นฐานเรื่อง “ชาติตระกูล”
พูดง่ายๆ คือ “จิวจี้เยียก” ไม่มีพื้นเพที่เกี่ยวข้องกับวังวนยุทธจักรเหมือนคนอื่นๆ เธอเป็นเพียง “ลูกคนแจวเรือธรรมดา” ที่ประสบโชคร้ายพ่อถูกฆ่าตายระหว่างการฆ่าล้างแค้นของชาวยุทธ เธอได้รับการช่วยเหลือและมาฝังตัวอยู่กับค่ายสำนักยุทธจนกลายเป็นบุญคุณที่ต้องแบกรับและกดทับจนเธออยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในขณะที่นางเอกอีก4คนนั้น มีพื้นฐานของการดำรงอยู่ก็ด้วยปูมหลังของครอบครัวของแต่ละคนเอง
ความรู้สึกของ “เตียบ้อกี๋” ที่มีให้ “จิวจี้เยียก” นั้น น่าจะมีพื้นฐานมาจากความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันในวัยเด็ก ที่ “จิวจี้เยียก” เคยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ “เตียบ้อกี๋” และได้ใช้ชีวิตร่วมกันสั้นๆ ในช่วงวัยเด็กที่เขาโดนทำร้ายบาดเจ็บหนักอยู่ในสภาพที่มีชีวิตไม่ยืนยาว ในช่วงนั้น “เตียบ้อกี๋” ถือว่าอยู่ในภาวะที่หดหู่ เด็กน้อยที่ป่วยหนักและหนทางรักษาก็เลือนราง พบเจอกับเด็กหญิงวัยเดียวกันที่ชีวิตอาภัพเหมือนกันที่บิดาของเธอก็เพิ่งถูกฆ่าตาย แต่กลับมาเอาใจใส่ดูแล จึงทำให้เป็นความประทับใจของเด็กชายที่มีต่อเด็กหญิงตัวน้อย ต่อมาเมื่อ “เตียบ้อกี๋” ฝึกวิชาคัมภีร์นวภพสำเร็จและออกมาเจอโลกภายนอก โชคชาตะก็ดลบันดาลให้พบกับ “จิวจี้เยียก” อีกครั้งในวัยสาวแรกรุ่นหน้าตางดงาม
ความรู้สึกดีๆ ของ “เตียบ้อกี๋” ที่มีต่อ “จิวจี้เยียก” จึงเป็นไปในรูปแบบต่อเนื่องจากความผูกพันวัยเด็ก เป็นน้ำใจฝังลึก และมาตอกย้ำด้วยความประทับใจต่อรูปโฉมสวยงามยามแรกเจอเมื่อตอนเธอสะพรั่งสาว ด้วยเหตุนี้ “จิวจี้เยียก” จึงได้รับการ “ให้อภัย” จาก “เตียบ้อกี๋” แม้ว่าเธอจะทำสิ่งชั่วร้ายต่อเขานานาประการก็ตาม
นอกจาก “ฮึงลี้” กับ “จิวจี้เยียก” ที่เป็นหญิงสาวที่ผูกพันกับ “เตียบ้อกี๋” ในวัยเด็กแล้ว จริงๆ ยังมีเด็กหญิงอีกหนึ่งคนที่แอบหลงรัก “เตียบ้อกี๋” เพราะความผูกพันในเชิงความประทับใจของรักวัยเด็กเช่นกัน นั่นก็คือ “เอี้ยปุกฮ่วย” ที่เป็นลูกสาวของ “กี้เฮียวพู้” กับ “เอี้ยเซียว” ที่ยืนอยู่กับคนละฝั่ง “กี้เฮียวพู้” ศิษย์ง้อไบ๊ ถือเป็นฝ่ายธรรมมะ และยังเป็นคู่หมายของจอมยุทธที่หกแห่งบู๊ตึ้ง “ฮึงลี้เต้ง” แต่ “เอี้ยเซียว” อยู่สายมารที่จับตัว “กี้เฮียวพู้” ไป แต่ภายหลังผูกสัมพันธ์รักใคร่จนกลายเป็นรักต้องห้ามที่มีพยานรักออกมาเป็น “เอี้ยปุกฮ่วย”
ในความเห็นของผมนั้น หากมองว่า “ฮึงลี้” กับ “จิวจี้เยียก” เป็นหญิงผู้อาภัพแล้ว ส่วนตัวผมเห็นว่า ชีวิตของ “เอี้ยปุกฮ่วย” ผู้นี้ยิ่งน่าสงสารเทียบเท่ากัน เนื่องจาก “เอี้ยปุกฮ่วย” นั้นในวัยเด็กอยู่ในสถานการณ์ที่มารดาต้องหลบๆ ซ่อนๆ และสุดท้ายก็เสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเด็ก “เอี้ยปุกฮ่วย” ในตอนเป็นเด็กหญิงต้องตกระกำลำบากร่วมกับ “เตียบ้อกี๋” เป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ถือเป็นช่วงชีวิตที่ยากลำบากสาหัสและเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดหลายต่อหลายหน
“เตียบ้อกี๋” เองก็รัก “เอี้ยปุกฮ่วย” เนื่องจากร่วมทุกข์ร่วมสุขในวัยเด็กมาพักใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นระยะเวลานานกว่า “ฮึงลี้” กับ “จิวจี้เยียก” ซึ่งเจอกันระยะสั้นๆ ที่อาจจะเรียกได้ว่าเพียงแว่บเดียวเสียด้วยซ้ำ หากแต่ “เตียบ้อกี๋” นั้นรัก “เอี้ยปุกฮ่วย” ในสถานะ “น้องสาว” และเป็นความ “สงสารเวทนา” มากกว่า “ความรัก” สุดท้ายแล้ว “เอี้ยปุกฮ่วย” ก็ตัดใจที่จะหันไปเริ่มสร้างรักชายหนุ่มอายุคราวพ่อ ซึ่งก็คือ “ฮึงลี้เต้ง” ที่เคยพลาดรักกับมารดาเธอนั่นเอง และนั่นก็เกิดจากความสงสารที่เธอมีต่อ “ฮึงลี้เต้ง” ที่มีชีวิตอาภัพเหมือนเธอ พลาดรักจาก “กี้เฮียวพู้” ทั้งยังมาทราบทีหลังว่า “กี้เฮียวพู้” นั้นไม่ได้กระทำผิดพลาดเพราะโดนขืนใจแต่เธอหลงรัก “เอี้ยเซียว” โดยชื่อลูกสาว “ปุกฮ่วย” แปลว่า “ไม่สำนึกเสียใจ” พอได้ทราบความจริง “ฮึงลี้เต้ง” จึงเตลิดเปิดเปิงสติแตก และโดนทำร้ายจนพิการในที่สุด
อย่างไรก็ดี “เอี้ยปุกฮ่วย” นั้นไม่ได้ถูกจัดอันดับเป็น “4นางเอก” ใน “ดาบมังกรหยก” อีกสองคนที่เหลือคือ “เสี่ยวเจียว” กับ “เตียเมี่ยง” นั้น ผมจะพูดถึงในตอนหน้า และจะเขียนถึงว่าผมนั้นชอบใครมากที่สุดในสี่คนนี้ โดยที่มีแถมท้ายด้วยการขอความเห็นเช่นเดียวกับกับท่านอาจารย์ “น.นพรัตน์” ผู้แปล
“น.นพรัตน์” จะชอบใครมากที่สุดใน “สี่นางเอก” ของ “ดาบมังกรหยก” โปรดติดตามต่อไปในตอนหน้านะครับ