ขบวนการที่น่ากลัวว่าจะเป็นชนวนสงครามกลางเมืองนั้น คงไม่เกินแนวคิดแดงล้มเจ้า เพราะยิ่งศึกษาก็พบว่ากระแสการบิดเบือนความจริง สร้างเรื่องเท็จและโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มอนาธิปไตยแดงล้มเจ้า สร้างโมเมนตัมได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยกลไกทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีแนวรุกทางมวลชนด้วยยุทธศาสตร์การยกเลิกกฎหมายอาญาฉบับหนึ่ง ที่เรียกว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีกำเนิดมาตั้งแต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงให้มีการจัดการกฎหมายไทยเป็นแบบตะวันตกและเป็นไปตามพระราโชบายในสมเด็จพระราชบิดาที่ทรงยกเลิกวิธีการพิจารณาพิพากษาตามนครบาล
โดยใน ร.ศ. 118 ทรงให้มีพระราชกำหนดหมิ่นประมาทด้วยการพูดหรือเขียนถ้อยคำออกเป็นโฆษณาการ มาตรา 4 ระบุโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับ 1,500 บาท ต่อมามีการจัดทำประมวลกฎหมายอาญาขึ้นใหม่ชื่อ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 98 โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี จนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475
ใน พ.ศ. 2500 หลังการปฏิวัติรัฐประหารโค่นอำนาจ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการจัดทำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขึ้นใหม่ เรียกว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีการกำหนดโทษใหม่ตามความผิด จำคุกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 15 ปี เพราะเกินกว่านี้ถือว่าเป็นการผิดหลักประชาธิปไตยที่ว่าด้วยหลักการพื้นฐานความพอสมควรแก่เหตุ และประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะฟ้องร้องพสกนิกรของพระองค์ได้ในคดีใดก็ตาม
ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต ซึ่งมีความชำนาญและรอบรู้กฎหมายมหาชน ได้เขียนบทความที่ต้องอ่าน และวิเคราะห์เรื่องวัฒนธรรมไทยกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก ซึ่งได้เปรียบเทียบระบบพระมหากษัตริย์ของโลกไว้ 3 กลุ่ม โดยอ้างถึงประวัติระบบกษัตริย์ อำนาจลักษณะต่าง และปัจจุบันอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งแต่ละชาติที่มีพระมหากษัตริย์ในระบบประชาธิปไตย ก็มีความแตกต่างกันในความนับถือ ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณี
พลังเคลื่อนไหวของแดงล้มเจ้าอาจจะดูว่ามีฐานเสียงน้อยเมื่อเทียบกับประชากรของประเทศในปัจจุบัน แต่หากกระแสนี้ดำรงความบิดเบือนและสร้างข้อมูลผิดๆ ให้กับผู้ด้อยปัญญาและไร้เดียงสาแล้ว ก็จะเหมือนลูกบอลหิมะกลิ้งลงจากเขา มันก็จะจับเกล็ดหิมะตามเส้นทางที่มันกลิ้งลงด้วย ปริมาณ ปริมาตร และความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณตามหลักความโน้มถ่วงโลก และเมื่อนั้นก็จะเกิดวิกฤตเนื้อแท้ความเป็นไทยแตกสลาย เป็นสงครามกลางเมืองแน่นอน เมื่อกลุ่มแดงล้มเจ้ามีน้ำหนักมากขึ้นกว่าปัจจุบัน และสามารถกล่าววิจารณ์ในเรื่องเท็จต่างๆ ที่ให้ร้ายสถาบันจนกลายเป็นสามัญวิพากษ์ กฎหมายทำอะไรไม่ได้ ประเทศไทยก็จะเกิดมิคสัญญีวิบัติ
ประกอบกับพื้นฐานความคิดเป็นมโนคิดของคนไทยในยุคนี้ ที่ยอมรับว่าถ้าคนเก่งบริหารประเทศ แต่โกงบ้างก็ยอมรับได้ ที่กล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่า บทบรรณาธิการหนังสือภาษาอังกฤษ The Nation ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม เขียนถึงเรื่องนี้ และสำแดงการยอมรับของสังคมคนไทยรุ่นใหม่ในบทความว่าเรื่องทุจริตคอร์รัปชันนั้นเป็นปรากฏการณ์ของผู้บริหารซึ่งหากว่ามีความสามารถในการบริหารให้ประเทศเกิดความสมบูรณ์พูนสุขและร่ำรวยกันทั่วหน้าแล้ว ก็ไม่เห็นจะเป็นไร
มโนคตินี้จึงนับว่าเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง หากไม่มีอะไรมาหยุดหรือเปลี่ยนมโนคตินี้แล้ว ประเทศไทยก็จะเกิดบุคคลเหล่านี้ เช่น ทักษิณ, นายวัฒนา อัศวเหม และนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะมากขึ้นเป็นทวีคูณ
กรณีทักษิณใช้อำนาจฝ่ายบริหารสูงสุดทุจริตโกงซื้อที่ดิน และมีเรื่องราวมากมายในคดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษก รวมทั้งการยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท กรณีนายวัฒนา อัศวเหม ขณะดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551 ว่ามีความผิดฐานใช้อำนาจหน้าที่บังคับให้ข้าราชการออกโฉนดเถื่อนทับที่ดินสาธารณะ เพื่อสร้างบ่อกำจัดน้ำเสียที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และคดีนี้ทักษิณใช้อำนาจบังคับให้ข้าราชการทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรมที่ดิน และอื่นๆ ชะลอการสอบสวนและไม่ให้ความร่วมมือ เพื่อช่วยนายวัฒนาอันเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองของทักษิณโดยตรง
ส่วนเรื่องของ นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ ผู้โด่งดังเป็น God Father ฝั่งตะวันออกของไทย และเป็นพ่อของนายสนธยา คุณปลื้ม ส.ส.พรรคพลังชล ที่เข้าไปสยบ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว กำนันเป๊าะมีโทษทางอาญา 2 คดี คือ โกง และฆ่า
โดยในคดีโกงทุจริตซื้อที่ดินสร้างบ่อกำจัดขยะ กำนันเป๊าะต้องติดคุก 5 ปี และคดีใช้จ้างวานฆ่ากำนันประยูร สิทธิโชติ โดยศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ให้จำคุก 25 ปี และโทษ 2 คดีรวมกันกำนันเป๊าะต้องติดคุก 30 ปี
แต่บุคคลทั้ง 3 หนีโทษไปอยู่ต่างประเทศได้อย่างสะดวก มิได้มีการป้องกันอย่างเข้มแข็งรัดกุม เพราะทั้ง 3 คน เป็นนักการเมืองที่ทรงอิทธิพลทั้งอำนาจ เงินตรา และมวลชนเถื่อนๆ อยู่มาก
สมมติว่ามโนคติ “เก่งแต่โกงยอมรับได้” เกิดขึ้นจริงสมบูรณ์แบบ ประเทศไทยจะมีนักการเมืองที่จ้องจะโกงแผ่นดิน และจ้างวานคนฆ่าศัตรูที่ขัดผลประโยชน์อยู่เต็มประเทศหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์ และวิญญูชนต้องเตรียมตัวสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง หรือวางตัวสงบนิ่งเฉยเพื่อความอยู่รอด หรือจะต่อสู้ขบวน “การเก่งแต่โกงได้” อย่างสุขุมและมั่นคงด้วยปัญญา และมโนคติน่าจะเป็นกุญแจสู่ความสงบและสันติสุข
กระแสการใช้เงินที่โกงมาสร้างลัทธิประชานิยม เป็นผลพวงของ “เก่งแต่โกง” ทำให้โมเมนตัมนี้มีความเร็วและรุนแรง จนเห็นได้จากมีกลุ่มวิปริตเสื้อแดงจัดงานวันเกิดให้ทักษิณ และเรียกชื่องานทำนองว่างานทักษิณมหาราษฎร์
ภาษาไทยนับว่าเป็นภาษาที่วิเศษอยู่พอสมควร เพราะคำสมาสของคำว่า มหา บวกกับราษฎร์ มีความหมายขึ้นมาทันที แต่สอดคล้องกับคำสมาสที่ว่า มหาราช ซึ่งหมายถึงกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
ดังนั้น คำว่ามหาราษฎร์ เป็นคำสมาส มหาคือยิ่งใหญ่ กับราษฎร์ซึ่งหมายถึงพลเมืองของประเทศ ทั้งวลีจึงหมายถึงพลเมืองผู้ยิ่งใหญ่
ทักษิณเป็นพลเมืองผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร เมื่อถูกประจานความเลวร้ายทางการเมืองถึง 3 คดี เช่น คดีซุกหุ้น คดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษก และคดียึดทรัพย์ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท เข้าเป็นของรัฐ อ่านรายละเอียดได้ในหนังสือเรื่องยึดทรัพย์ทักษิณ 46,673 ล้านบาท โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
มีพระรูปหนึ่ง คือ พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม หรืออดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความผิดคดีประพฤติมิชอบทุจริตต่อหน้าที่ต้องโทษจำคุก 5 ปีก่อนจนได้รับพระราชทานอภัยโทษ ออกจากคุกมาพึ่งพระพุทธศาสนาให้สัมภาษณ์นิตยสาร VOTE ฉบับปักษ์แรกกรกฎาคมสรุปว่า กรรมมีจริง ผิดต้องได้รับโทษ ธรรมะช่วยมนุษย์ได้จริงและพระบารมีคุณและพระเมตตาคุณของในหลวงมีจริง
โดยใน ร.ศ. 118 ทรงให้มีพระราชกำหนดหมิ่นประมาทด้วยการพูดหรือเขียนถ้อยคำออกเป็นโฆษณาการ มาตรา 4 ระบุโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับ 1,500 บาท ต่อมามีการจัดทำประมวลกฎหมายอาญาขึ้นใหม่ชื่อ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 98 โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี จนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475
ใน พ.ศ. 2500 หลังการปฏิวัติรัฐประหารโค่นอำนาจ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการจัดทำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขึ้นใหม่ เรียกว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีการกำหนดโทษใหม่ตามความผิด จำคุกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 15 ปี เพราะเกินกว่านี้ถือว่าเป็นการผิดหลักประชาธิปไตยที่ว่าด้วยหลักการพื้นฐานความพอสมควรแก่เหตุ และประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะฟ้องร้องพสกนิกรของพระองค์ได้ในคดีใดก็ตาม
ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต ซึ่งมีความชำนาญและรอบรู้กฎหมายมหาชน ได้เขียนบทความที่ต้องอ่าน และวิเคราะห์เรื่องวัฒนธรรมไทยกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก ซึ่งได้เปรียบเทียบระบบพระมหากษัตริย์ของโลกไว้ 3 กลุ่ม โดยอ้างถึงประวัติระบบกษัตริย์ อำนาจลักษณะต่าง และปัจจุบันอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งแต่ละชาติที่มีพระมหากษัตริย์ในระบบประชาธิปไตย ก็มีความแตกต่างกันในความนับถือ ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณี
พลังเคลื่อนไหวของแดงล้มเจ้าอาจจะดูว่ามีฐานเสียงน้อยเมื่อเทียบกับประชากรของประเทศในปัจจุบัน แต่หากกระแสนี้ดำรงความบิดเบือนและสร้างข้อมูลผิดๆ ให้กับผู้ด้อยปัญญาและไร้เดียงสาแล้ว ก็จะเหมือนลูกบอลหิมะกลิ้งลงจากเขา มันก็จะจับเกล็ดหิมะตามเส้นทางที่มันกลิ้งลงด้วย ปริมาณ ปริมาตร และความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณตามหลักความโน้มถ่วงโลก และเมื่อนั้นก็จะเกิดวิกฤตเนื้อแท้ความเป็นไทยแตกสลาย เป็นสงครามกลางเมืองแน่นอน เมื่อกลุ่มแดงล้มเจ้ามีน้ำหนักมากขึ้นกว่าปัจจุบัน และสามารถกล่าววิจารณ์ในเรื่องเท็จต่างๆ ที่ให้ร้ายสถาบันจนกลายเป็นสามัญวิพากษ์ กฎหมายทำอะไรไม่ได้ ประเทศไทยก็จะเกิดมิคสัญญีวิบัติ
ประกอบกับพื้นฐานความคิดเป็นมโนคิดของคนไทยในยุคนี้ ที่ยอมรับว่าถ้าคนเก่งบริหารประเทศ แต่โกงบ้างก็ยอมรับได้ ที่กล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่า บทบรรณาธิการหนังสือภาษาอังกฤษ The Nation ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม เขียนถึงเรื่องนี้ และสำแดงการยอมรับของสังคมคนไทยรุ่นใหม่ในบทความว่าเรื่องทุจริตคอร์รัปชันนั้นเป็นปรากฏการณ์ของผู้บริหารซึ่งหากว่ามีความสามารถในการบริหารให้ประเทศเกิดความสมบูรณ์พูนสุขและร่ำรวยกันทั่วหน้าแล้ว ก็ไม่เห็นจะเป็นไร
มโนคตินี้จึงนับว่าเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง หากไม่มีอะไรมาหยุดหรือเปลี่ยนมโนคตินี้แล้ว ประเทศไทยก็จะเกิดบุคคลเหล่านี้ เช่น ทักษิณ, นายวัฒนา อัศวเหม และนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะมากขึ้นเป็นทวีคูณ
กรณีทักษิณใช้อำนาจฝ่ายบริหารสูงสุดทุจริตโกงซื้อที่ดิน และมีเรื่องราวมากมายในคดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษก รวมทั้งการยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท กรณีนายวัฒนา อัศวเหม ขณะดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551 ว่ามีความผิดฐานใช้อำนาจหน้าที่บังคับให้ข้าราชการออกโฉนดเถื่อนทับที่ดินสาธารณะ เพื่อสร้างบ่อกำจัดน้ำเสียที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และคดีนี้ทักษิณใช้อำนาจบังคับให้ข้าราชการทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรมที่ดิน และอื่นๆ ชะลอการสอบสวนและไม่ให้ความร่วมมือ เพื่อช่วยนายวัฒนาอันเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองของทักษิณโดยตรง
ส่วนเรื่องของ นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ ผู้โด่งดังเป็น God Father ฝั่งตะวันออกของไทย และเป็นพ่อของนายสนธยา คุณปลื้ม ส.ส.พรรคพลังชล ที่เข้าไปสยบ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว กำนันเป๊าะมีโทษทางอาญา 2 คดี คือ โกง และฆ่า
โดยในคดีโกงทุจริตซื้อที่ดินสร้างบ่อกำจัดขยะ กำนันเป๊าะต้องติดคุก 5 ปี และคดีใช้จ้างวานฆ่ากำนันประยูร สิทธิโชติ โดยศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ให้จำคุก 25 ปี และโทษ 2 คดีรวมกันกำนันเป๊าะต้องติดคุก 30 ปี
แต่บุคคลทั้ง 3 หนีโทษไปอยู่ต่างประเทศได้อย่างสะดวก มิได้มีการป้องกันอย่างเข้มแข็งรัดกุม เพราะทั้ง 3 คน เป็นนักการเมืองที่ทรงอิทธิพลทั้งอำนาจ เงินตรา และมวลชนเถื่อนๆ อยู่มาก
สมมติว่ามโนคติ “เก่งแต่โกงยอมรับได้” เกิดขึ้นจริงสมบูรณ์แบบ ประเทศไทยจะมีนักการเมืองที่จ้องจะโกงแผ่นดิน และจ้างวานคนฆ่าศัตรูที่ขัดผลประโยชน์อยู่เต็มประเทศหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์ และวิญญูชนต้องเตรียมตัวสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง หรือวางตัวสงบนิ่งเฉยเพื่อความอยู่รอด หรือจะต่อสู้ขบวน “การเก่งแต่โกงได้” อย่างสุขุมและมั่นคงด้วยปัญญา และมโนคติน่าจะเป็นกุญแจสู่ความสงบและสันติสุข
กระแสการใช้เงินที่โกงมาสร้างลัทธิประชานิยม เป็นผลพวงของ “เก่งแต่โกง” ทำให้โมเมนตัมนี้มีความเร็วและรุนแรง จนเห็นได้จากมีกลุ่มวิปริตเสื้อแดงจัดงานวันเกิดให้ทักษิณ และเรียกชื่องานทำนองว่างานทักษิณมหาราษฎร์
ภาษาไทยนับว่าเป็นภาษาที่วิเศษอยู่พอสมควร เพราะคำสมาสของคำว่า มหา บวกกับราษฎร์ มีความหมายขึ้นมาทันที แต่สอดคล้องกับคำสมาสที่ว่า มหาราช ซึ่งหมายถึงกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
ดังนั้น คำว่ามหาราษฎร์ เป็นคำสมาส มหาคือยิ่งใหญ่ กับราษฎร์ซึ่งหมายถึงพลเมืองของประเทศ ทั้งวลีจึงหมายถึงพลเมืองผู้ยิ่งใหญ่
ทักษิณเป็นพลเมืองผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร เมื่อถูกประจานความเลวร้ายทางการเมืองถึง 3 คดี เช่น คดีซุกหุ้น คดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษก และคดียึดทรัพย์ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท เข้าเป็นของรัฐ อ่านรายละเอียดได้ในหนังสือเรื่องยึดทรัพย์ทักษิณ 46,673 ล้านบาท โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
มีพระรูปหนึ่ง คือ พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม หรืออดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความผิดคดีประพฤติมิชอบทุจริตต่อหน้าที่ต้องโทษจำคุก 5 ปีก่อนจนได้รับพระราชทานอภัยโทษ ออกจากคุกมาพึ่งพระพุทธศาสนาให้สัมภาษณ์นิตยสาร VOTE ฉบับปักษ์แรกกรกฎาคมสรุปว่า กรรมมีจริง ผิดต้องได้รับโทษ ธรรมะช่วยมนุษย์ได้จริงและพระบารมีคุณและพระเมตตาคุณของในหลวงมีจริง