นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPC เปิดเผยว่ายอดขายของบริษัทปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าที่ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้กำไรปีนี้น่าจะดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ภายใต้ข้อแม้อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐ ไม่แข็งค่าเกินกว่าปัจจุบันี่อยู่ในระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกัน การเติบโตของรายได้ในครึ่งปีหลัง ประเมินว่าจะมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาพีวีซี ที่ปรับตัวตามต้นทุนวัตถุดิบสำคัญอย่างน้ำมันดิบ ที่ราคาจะปรับขึ้นจากช่วงฤดูหนาว และการเพิ่มแวลูสินค้าจากเม็ดพลาสติกเป็นพลาสติกสำเร็จรูปของบริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม (สระบุรี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่มีการลงทุนด้านดาวน์สตรีมตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและจะสามารถเริ่มผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ออกมาจำหน่ายได้ในช่วงปลายปีนี้ ล่าสุดได้มีการเซ็นสัญญาการท่อพีวีซีที่พม่าแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้มีการดำเนินธุรกิจทั้งในกัมพูชา ลาว เวียดนาม ซึ่งในอนาคตภายใน 3-4 ปี จากนี้จะสร้างรายได้ได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท
" ภาพรวมปีนี้เราตั้งเป้าเติบโต10% จากปีก่อน ส่วนปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในยุโรป เราเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมากนัก แต่ยังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เป้าของเราคือการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนอนเรซิ่นหรือที่นอกเหนือจากรายได้ของเม็ดพลาสติกเป็น 40%ของรายได้ทั้งหมด จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 30% ของรายได้ทั้งหมดเพราะมองว่าจะลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ผ่านการขายเม็ดพลาสติกให้แก่บริษัทย่อย และตลาดเม็ดพลาสติกเองก็มีการเติบโตของดีมานต์ไม่มากนัก โดยคาดว่าความต้องการสินค้าของบริษัทในไตรมาส 3 น่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา "
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัท มีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 70 สต.ต่อหุ้น ในวันที่ 24 ส.ค. นี้ รวมเป็นเงินกว่า 600 ล้านบาท ส่วนโครงการที่มาบตาพุต อยู่ระหว่างจัดทำแผนรายงานใหม่ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าจะสามารถผ่านการยอมรับได้ในช่วงตุลาคม
สำหรับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา TPC มีรายได้จากการขาย 7.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 2 ปี 53 และมีกำไรสุทธิ 766 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139% ผลจากราคาขายที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และมีรายได้รวมจากการขายครึ่งปีแรกกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตพีวีซี 886,000 ตัน แบ่งเป็นในประเทศ 566,000ตัน เวียดนาม 200,000 ตัน และอินโดนีเซีย 120,000 ตัน
สำหรับ นโยบายของรัฐบาลใหม่กรณีนโยบายบ้านหลังแรกนั้น มองว่าจะเป็นผลดีต่อสินค้าของบริษัทประเภทท่อพีวีซี ในด้านยอดขายที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทนั้นมองว่า น่าจะปรับขึ้นไปตามแต่ละอุตสาหกรรม มากกว่าการปรับขึ้นทั้งหมด เพราะในธุรกิจที่ต้นทุนค่าแรงสูงอย่างธุรกิจท่องเที่ยว และเอสเอ็มอี น่าจะได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวมาก
ขณะเดียวกัน การเติบโตของรายได้ในครึ่งปีหลัง ประเมินว่าจะมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาพีวีซี ที่ปรับตัวตามต้นทุนวัตถุดิบสำคัญอย่างน้ำมันดิบ ที่ราคาจะปรับขึ้นจากช่วงฤดูหนาว และการเพิ่มแวลูสินค้าจากเม็ดพลาสติกเป็นพลาสติกสำเร็จรูปของบริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม (สระบุรี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่มีการลงทุนด้านดาวน์สตรีมตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและจะสามารถเริ่มผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ออกมาจำหน่ายได้ในช่วงปลายปีนี้ ล่าสุดได้มีการเซ็นสัญญาการท่อพีวีซีที่พม่าแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้มีการดำเนินธุรกิจทั้งในกัมพูชา ลาว เวียดนาม ซึ่งในอนาคตภายใน 3-4 ปี จากนี้จะสร้างรายได้ได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท
" ภาพรวมปีนี้เราตั้งเป้าเติบโต10% จากปีก่อน ส่วนปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในยุโรป เราเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมากนัก แต่ยังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เป้าของเราคือการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนอนเรซิ่นหรือที่นอกเหนือจากรายได้ของเม็ดพลาสติกเป็น 40%ของรายได้ทั้งหมด จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 30% ของรายได้ทั้งหมดเพราะมองว่าจะลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ผ่านการขายเม็ดพลาสติกให้แก่บริษัทย่อย และตลาดเม็ดพลาสติกเองก็มีการเติบโตของดีมานต์ไม่มากนัก โดยคาดว่าความต้องการสินค้าของบริษัทในไตรมาส 3 น่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา "
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัท มีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 70 สต.ต่อหุ้น ในวันที่ 24 ส.ค. นี้ รวมเป็นเงินกว่า 600 ล้านบาท ส่วนโครงการที่มาบตาพุต อยู่ระหว่างจัดทำแผนรายงานใหม่ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าจะสามารถผ่านการยอมรับได้ในช่วงตุลาคม
สำหรับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา TPC มีรายได้จากการขาย 7.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 2 ปี 53 และมีกำไรสุทธิ 766 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139% ผลจากราคาขายที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และมีรายได้รวมจากการขายครึ่งปีแรกกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตพีวีซี 886,000 ตัน แบ่งเป็นในประเทศ 566,000ตัน เวียดนาม 200,000 ตัน และอินโดนีเซีย 120,000 ตัน
สำหรับ นโยบายของรัฐบาลใหม่กรณีนโยบายบ้านหลังแรกนั้น มองว่าจะเป็นผลดีต่อสินค้าของบริษัทประเภทท่อพีวีซี ในด้านยอดขายที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทนั้นมองว่า น่าจะปรับขึ้นไปตามแต่ละอุตสาหกรรม มากกว่าการปรับขึ้นทั้งหมด เพราะในธุรกิจที่ต้นทุนค่าแรงสูงอย่างธุรกิจท่องเที่ยว และเอสเอ็มอี น่าจะได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวมาก