ASTVผู้จัดการรายวัน–ทีพีซีเตรียมลงทุน 400-500 ล้านผลิตไม้สังเคราะห์ พร้อมดูลู่ทางทำท่อพีวีซีที่พม่า และมองการลงทุนเพิ่มที่เวียดนาม เล็งขยายกำลังการผลิตพีวีซีเพิ่มเติมในอีก 3-5ปีข้างหน้า
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) (TPC) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนลงทุนทำท่อพีวีซีเพิ่มเติม รวมทั้งจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ไม้สังเคราะห์ (Wood Plastic Composite) ที่ใช้พีวีซีผสมกับขี้เลี่อยไม้แล้วนำมาขึ้นรูปออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ ซึ่งมีคุณสมบัติดีกว่าไม้ธรรมชาติ ทนแดดและทนฝน ใช้ทำฝ้าและไม้ระแนง คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 400-500 ล้านบาท
ทั้งนี้ การขยายการลงทุนผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวข้างต้น จะเป็นการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจTPC โดยต้นปีหน้า คาดว่าโครงการขยายกำลังการผลิตไวนิลคอลไรด์โมโนเมอร์ของโรงงานที่ 1 และโรงงานที่ จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ หลังจากโครงการดังกล่าวล่าช้ากว่ากำหนด เนื่องจากติด1 ในโครงการที่ต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบด้านสุขภาพตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2
นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนโครงการผลิตท่อพลาสติกพีวีซีที่พม่า ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการคาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 10-50 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ หลังจากได้มีการลงทุนโรงงานทำท่อพีวีซีที่ลาวและกัมพูชาไปก่อนหน้านี้แล้ว
นายคเณศกล่าวว่า กำลังมองลู่ทางการลงทุนที่เวียดนามเพิ่มเติมในอนาคต เนื่องจากเวียดนามเป็นฐานการผลิตพีวีซีขนาดใหญ่ของบริษัท โดยมีส่วนแบ่งการตลาดแซงหน้าคู่แข่ง ดังนั้น หากความต้องการใช้พีวีซีที่เวียดนามโตระดับ 7-8% ต่อเนื่อง เชื่อว่าภายใน3-5 ปีข้างหน้า จะมีการขยายกำลังการผลิตพีวีซีเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 1.9 แสนตัน/ปี
ส่วนความคืบหน้าโครงการลงทุนผลิตวีซีเอ็ม ซึ่งเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานผลิตพีวีซีที่เวียดนามนั้น เนื่องเป็นหนึ่งในโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามของเครือซิเมนต์ไทย คงต้องรอให้มีการเจรจาเงินกู้ให้แล้วเสร็จก่อน เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนสูงถึง 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้สถาบันการเงินต้องพิจารณารอบคอบในการปล่อยสินเชื่อโครงการดังกล่าว อีกทั้งเศรษฐกิจที่เวียดนามในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาค่าเงินด่องอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ตาม โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามมีความสำคัญ เนื่องจากการลงทุนโครงการปิโตรเคมีขนาดใหญ่ที่มาบตาพุด จังหวัดระยองทำได้ลำบากขึ้น ทำให้เครือซิเมนต์ไทยต้องหันไปลงทุนในต่างประเทศแทน
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) (TPC) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนลงทุนทำท่อพีวีซีเพิ่มเติม รวมทั้งจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ไม้สังเคราะห์ (Wood Plastic Composite) ที่ใช้พีวีซีผสมกับขี้เลี่อยไม้แล้วนำมาขึ้นรูปออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ ซึ่งมีคุณสมบัติดีกว่าไม้ธรรมชาติ ทนแดดและทนฝน ใช้ทำฝ้าและไม้ระแนง คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 400-500 ล้านบาท
ทั้งนี้ การขยายการลงทุนผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวข้างต้น จะเป็นการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจTPC โดยต้นปีหน้า คาดว่าโครงการขยายกำลังการผลิตไวนิลคอลไรด์โมโนเมอร์ของโรงงานที่ 1 และโรงงานที่ จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ หลังจากโครงการดังกล่าวล่าช้ากว่ากำหนด เนื่องจากติด1 ในโครงการที่ต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบด้านสุขภาพตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2
นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนโครงการผลิตท่อพลาสติกพีวีซีที่พม่า ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการคาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 10-50 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ หลังจากได้มีการลงทุนโรงงานทำท่อพีวีซีที่ลาวและกัมพูชาไปก่อนหน้านี้แล้ว
นายคเณศกล่าวว่า กำลังมองลู่ทางการลงทุนที่เวียดนามเพิ่มเติมในอนาคต เนื่องจากเวียดนามเป็นฐานการผลิตพีวีซีขนาดใหญ่ของบริษัท โดยมีส่วนแบ่งการตลาดแซงหน้าคู่แข่ง ดังนั้น หากความต้องการใช้พีวีซีที่เวียดนามโตระดับ 7-8% ต่อเนื่อง เชื่อว่าภายใน3-5 ปีข้างหน้า จะมีการขยายกำลังการผลิตพีวีซีเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 1.9 แสนตัน/ปี
ส่วนความคืบหน้าโครงการลงทุนผลิตวีซีเอ็ม ซึ่งเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานผลิตพีวีซีที่เวียดนามนั้น เนื่องเป็นหนึ่งในโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามของเครือซิเมนต์ไทย คงต้องรอให้มีการเจรจาเงินกู้ให้แล้วเสร็จก่อน เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนสูงถึง 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้สถาบันการเงินต้องพิจารณารอบคอบในการปล่อยสินเชื่อโครงการดังกล่าว อีกทั้งเศรษฐกิจที่เวียดนามในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาค่าเงินด่องอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ตาม โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามมีความสำคัญ เนื่องจากการลงทุนโครงการปิโตรเคมีขนาดใหญ่ที่มาบตาพุด จังหวัดระยองทำได้ลำบากขึ้น ทำให้เครือซิเมนต์ไทยต้องหันไปลงทุนในต่างประเทศแทน