วันนี้ (ก.ค. ๒๕๕๔) ผมค้นหากระเบื้องแตกทางเศรษฐศาสตร์ที่กระจายอยู่หลายแห่ง แล้วเอามาต่อกันเป็นภาพรวมที่ดูแล้วน่าตื่นเต้นพอควร
เศษกระเบื้องหนึ่งระบุว่ารายได้ประชาชาติ (GDP) ของ USA จัดสัดส่วนได้ดังนี้: เกษตร 1.2% อุตสาหกรรม 22.2% บริการ 76.7% ส่วนของไทยเรา 10.4-45.6-44 ตามลำดับ คำว่า “เกษตร” นั้น เขาหมายรวมถึงการประมง ปศุสัตว์ และการป่าไม้ด้วย
อีกสามชิ้นส่วนข้อมูลจาก รัฐเวอร์จิเนีย แคลิฟอร์เนีย และเซาท์ดาโคตา บอกว่า สองรัฐแรก (รัฐ “พัฒนาแล้ว”) มีแรงงานภาคการเกษตรโดยตรง (direct) เพียงประมาณ 1.5% แต่เมื่อนับแรงงานโดยอ้อม (indirect) และโดยโอบ (induced) ในภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรด้วยแล้ว จะได้แรงงานมากถึง 12.5% ส่วนที่เซาท์ดาโคตา (รัฐด้อยพัฒนา ทำเกษตรเป็นใหญ่ไม่มีการท่องเที่ยวเหมือนสองรัฐก่อน) ตัวเลขนี้พุ่งไปถึง 50% จึงน่าคะเนได้ว่าตัวเลขเฉลี่ยทั้งประเทศน่าจะประมาณ 16% เพราะมีรัฐทางตอนกลางและทางตอนใต้จำนวนมากที่ทำเกษตรเป็นหลัก
แรงงานโดยโอบอ้อมพวกนี้ก็เช่น อุตสาหกรรมอาหาร โรงงานผลิตรถไถ ปุ๋ย สารเคมี โรงงานเบียร์ โรงงานกระดาษ บริษัทขายส่ง ร้านขายอาหารสด ร้านอาหาร แต่ยังไม่รวมการขนส่ง ธนาคาร ประกันภัย เพราะพวกนี้ถือเป็นภาคบริการ
ลองกลับไปดูตัวเลขของ USA ใหม่ ภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรมรวมกัน) ได้ 23.4% ในจำนวนนี้มีต้นตอมาจากการเกษตรเสีย 16% ซึ่งจัดเป็นสัดส่วนถึง 68.4% ที่เหลือ 31.6% ก็เป็นพวก “อุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเกษตร” เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องบิน
ส่วนภาคบริการที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นก็ไม่ได้บริการใครนอกจากบริการซึ่งกันและกัน และบริการภาคการผลิตนั่นเอง และภาคบริการจะมีอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภาคการผลิตเป็นฐานให้
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ภาคเกษตรสร้างรายได้ดิบเพียง 1.2% เท่านั้น แต่เป็นต้นตอให้เกิดการสร้างรายได้ถึง 68.4% ให้กับประเทศ นับเป็นตัวคูณเพิ่มทางเศรษฐกิจ (economic multiplier) ถึง 57 เท่า
ดังนั้นถ้าคิดกันตื้นๆ ว่า ให้เลิกทำเกษตรเสียเพราะรายได้แสนน้อย เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะล้มทันที เพราะอุตสาหกรรมโอบอ้อมและภาคบริการอีก 68.4% ก็จะหายไปด้วย ถ้าคนพวกนี้ไม่มีงานทำแล้วจะเอาอะไรกิน ก็ต้องเอาสวัสดิการสังคมจากพวก 31.6% ที่เหลือ ก็กอดคอกันล้มตายทั้งประเทศแน่นอน
หันมามองตัวไทยเราเองบ้าง ตั้งแต่วางแผนพัฒนาประเทศไทยกันมานาน 50 ปีเราคิดกันแต่จะพัฒนาอุตสาหกรรมล้ำสมัยตามก้นฝรั่ง เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ตามคำชี้นำของพวกนักวิชาการ นักวางแผน และคณะที่ปรึกษานักการเมืองที่จบนอกทั้งหลาย ทั้งที่บ้านเราทำเลดีกว่าสหรัฐอเมริกามากหลาย ถ้าทำให้ดี มีแผนอุตสาหกรรมรองรับ กระจายให้เต็มประเทศ ทุกตำบล แล้วผลิตสินค้าเพิ่มมูลค่าให้ดี เราจะกลายเป็นประเทศที่รวยที่สุดในโลกได้โดยง่าย อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องเป็นลูกหาบแบกเสลี่ยงพาฝรั่งและญี่ปุ่นชมวิวโล“ภา”ภิวัตน์อยู่เหมือนเช่นทุกวันนี้
ตัวเลข 10.4-45.6-44 ของเรานั้นต้องไม่ลืมด้วยว่าอุตสาหกรรม 45.6% นั้นส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุนต่างชาติ บริการ 44% นั้นส่วนใหญ่น่ามาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการพักโรงแรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ จนต่างชาติรับส่วนแบ่ง GDP ของเราไปประมาณ 70% ของทั้งหมด (ผมน่าจะเป็นคนแรกที่ค้นพบตัวเลข 70% ตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ ในขณะที่รัฐบาลไทยและนักวางแผนเศรษฐกิจชาติยังไม่มีใครรู้เลย ซึ่งบัดนี้ตัวเลขดังกล่าวอาจสูงกว่า 70 แล้ว ก็ยังไม่เห็นมีใครตกใจ)
ตอนนี้บริษัทธุรกิจและอุตสาหกรรมการเกษตรต่างชาติ เริ่มบุกตลาดเมืองไทยกันแล้ว เช่น Cargill, National starch, Purac แถมองค์กร BOI (บ๋อย) ยังไปค้อมหัวรับใช้อำนวยความสะดวกให้พวกนี้มันมาหากินบนหลังเกษตรกรไทยประหลกๆ มันควรเริ่มวิตกและหาทางออกกฎหมายคุ้มครองป้องกันได้แล้ว พร้อมกันนั้นก็ต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรไทยให้ดี ไม่ใช่ส่งมันเส้น ยางพารา และอื่นๆ ออกขายดิบๆ อย่างเช่นทุกวันนี้
กล่าวฝ่าย USA มีรายได้การส่งออกประมาณ 10% ของ GDP ดังนั้นรายได้ 23.4% ของ GDP ที่มาจากอุตสาหกรรมและเกษตรนั้นแสดงว่า 10% มาจากการส่งออก อีก 13.4% เป็นรายได้จากการบริโภคในประเทศ
ส่วนสินค้าเกษตร (ที่มีส่วนแบ่ง GDP เพียง 1.2% นั้น) มีมูลค่าส่งออกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ดังนั้นจึงคิดเป็น 1% ของ GDP ที่เหลือ 0.2% เป็นมูลค่าขายภายในประเทศ
คราวนี้ก็ยุ่งสิครับ เพราะตอนแรกที่คำนวณว่ามันมีผลคูณทางเศรษฐกิจ 57 เท่านั้น เพราะหารด้วย 1.2 แต่ถ้าจะให้แม่นมากขึ้นต้องหารด้วย 0.2 นะ ก็จะได้ 342 เท่า!! (เข้าใกล้ 555 เข้าไปทุกทีแล้ว)
รัฐบาลไทยมีปัญญาคิดเรื่องการเกษตรได้เพียงแค่ประกันราคาพืชผลเท่านั้นเอง (โดยเฉพาะยามหาเสียงเลือกตั้ง) ส่วนแผนระยะยาวเชิงยุทธศาสตร์ไม่เคยคิดกันออกเลยสักที (ยกเว้นแผนให้เลิกทำเกษตร)
เศษกระเบื้องหนึ่งระบุว่ารายได้ประชาชาติ (GDP) ของ USA จัดสัดส่วนได้ดังนี้: เกษตร 1.2% อุตสาหกรรม 22.2% บริการ 76.7% ส่วนของไทยเรา 10.4-45.6-44 ตามลำดับ คำว่า “เกษตร” นั้น เขาหมายรวมถึงการประมง ปศุสัตว์ และการป่าไม้ด้วย
อีกสามชิ้นส่วนข้อมูลจาก รัฐเวอร์จิเนีย แคลิฟอร์เนีย และเซาท์ดาโคตา บอกว่า สองรัฐแรก (รัฐ “พัฒนาแล้ว”) มีแรงงานภาคการเกษตรโดยตรง (direct) เพียงประมาณ 1.5% แต่เมื่อนับแรงงานโดยอ้อม (indirect) และโดยโอบ (induced) ในภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรด้วยแล้ว จะได้แรงงานมากถึง 12.5% ส่วนที่เซาท์ดาโคตา (รัฐด้อยพัฒนา ทำเกษตรเป็นใหญ่ไม่มีการท่องเที่ยวเหมือนสองรัฐก่อน) ตัวเลขนี้พุ่งไปถึง 50% จึงน่าคะเนได้ว่าตัวเลขเฉลี่ยทั้งประเทศน่าจะประมาณ 16% เพราะมีรัฐทางตอนกลางและทางตอนใต้จำนวนมากที่ทำเกษตรเป็นหลัก
แรงงานโดยโอบอ้อมพวกนี้ก็เช่น อุตสาหกรรมอาหาร โรงงานผลิตรถไถ ปุ๋ย สารเคมี โรงงานเบียร์ โรงงานกระดาษ บริษัทขายส่ง ร้านขายอาหารสด ร้านอาหาร แต่ยังไม่รวมการขนส่ง ธนาคาร ประกันภัย เพราะพวกนี้ถือเป็นภาคบริการ
ลองกลับไปดูตัวเลขของ USA ใหม่ ภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรมรวมกัน) ได้ 23.4% ในจำนวนนี้มีต้นตอมาจากการเกษตรเสีย 16% ซึ่งจัดเป็นสัดส่วนถึง 68.4% ที่เหลือ 31.6% ก็เป็นพวก “อุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเกษตร” เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องบิน
ส่วนภาคบริการที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นก็ไม่ได้บริการใครนอกจากบริการซึ่งกันและกัน และบริการภาคการผลิตนั่นเอง และภาคบริการจะมีอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภาคการผลิตเป็นฐานให้
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ภาคเกษตรสร้างรายได้ดิบเพียง 1.2% เท่านั้น แต่เป็นต้นตอให้เกิดการสร้างรายได้ถึง 68.4% ให้กับประเทศ นับเป็นตัวคูณเพิ่มทางเศรษฐกิจ (economic multiplier) ถึง 57 เท่า
ดังนั้นถ้าคิดกันตื้นๆ ว่า ให้เลิกทำเกษตรเสียเพราะรายได้แสนน้อย เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะล้มทันที เพราะอุตสาหกรรมโอบอ้อมและภาคบริการอีก 68.4% ก็จะหายไปด้วย ถ้าคนพวกนี้ไม่มีงานทำแล้วจะเอาอะไรกิน ก็ต้องเอาสวัสดิการสังคมจากพวก 31.6% ที่เหลือ ก็กอดคอกันล้มตายทั้งประเทศแน่นอน
หันมามองตัวไทยเราเองบ้าง ตั้งแต่วางแผนพัฒนาประเทศไทยกันมานาน 50 ปีเราคิดกันแต่จะพัฒนาอุตสาหกรรมล้ำสมัยตามก้นฝรั่ง เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ตามคำชี้นำของพวกนักวิชาการ นักวางแผน และคณะที่ปรึกษานักการเมืองที่จบนอกทั้งหลาย ทั้งที่บ้านเราทำเลดีกว่าสหรัฐอเมริกามากหลาย ถ้าทำให้ดี มีแผนอุตสาหกรรมรองรับ กระจายให้เต็มประเทศ ทุกตำบล แล้วผลิตสินค้าเพิ่มมูลค่าให้ดี เราจะกลายเป็นประเทศที่รวยที่สุดในโลกได้โดยง่าย อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องเป็นลูกหาบแบกเสลี่ยงพาฝรั่งและญี่ปุ่นชมวิวโล“ภา”ภิวัตน์อยู่เหมือนเช่นทุกวันนี้
ตัวเลข 10.4-45.6-44 ของเรานั้นต้องไม่ลืมด้วยว่าอุตสาหกรรม 45.6% นั้นส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุนต่างชาติ บริการ 44% นั้นส่วนใหญ่น่ามาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการพักโรงแรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ จนต่างชาติรับส่วนแบ่ง GDP ของเราไปประมาณ 70% ของทั้งหมด (ผมน่าจะเป็นคนแรกที่ค้นพบตัวเลข 70% ตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ ในขณะที่รัฐบาลไทยและนักวางแผนเศรษฐกิจชาติยังไม่มีใครรู้เลย ซึ่งบัดนี้ตัวเลขดังกล่าวอาจสูงกว่า 70 แล้ว ก็ยังไม่เห็นมีใครตกใจ)
ตอนนี้บริษัทธุรกิจและอุตสาหกรรมการเกษตรต่างชาติ เริ่มบุกตลาดเมืองไทยกันแล้ว เช่น Cargill, National starch, Purac แถมองค์กร BOI (บ๋อย) ยังไปค้อมหัวรับใช้อำนวยความสะดวกให้พวกนี้มันมาหากินบนหลังเกษตรกรไทยประหลกๆ มันควรเริ่มวิตกและหาทางออกกฎหมายคุ้มครองป้องกันได้แล้ว พร้อมกันนั้นก็ต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรไทยให้ดี ไม่ใช่ส่งมันเส้น ยางพารา และอื่นๆ ออกขายดิบๆ อย่างเช่นทุกวันนี้
กล่าวฝ่าย USA มีรายได้การส่งออกประมาณ 10% ของ GDP ดังนั้นรายได้ 23.4% ของ GDP ที่มาจากอุตสาหกรรมและเกษตรนั้นแสดงว่า 10% มาจากการส่งออก อีก 13.4% เป็นรายได้จากการบริโภคในประเทศ
ส่วนสินค้าเกษตร (ที่มีส่วนแบ่ง GDP เพียง 1.2% นั้น) มีมูลค่าส่งออกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ดังนั้นจึงคิดเป็น 1% ของ GDP ที่เหลือ 0.2% เป็นมูลค่าขายภายในประเทศ
คราวนี้ก็ยุ่งสิครับ เพราะตอนแรกที่คำนวณว่ามันมีผลคูณทางเศรษฐกิจ 57 เท่านั้น เพราะหารด้วย 1.2 แต่ถ้าจะให้แม่นมากขึ้นต้องหารด้วย 0.2 นะ ก็จะได้ 342 เท่า!! (เข้าใกล้ 555 เข้าไปทุกทีแล้ว)
รัฐบาลไทยมีปัญญาคิดเรื่องการเกษตรได้เพียงแค่ประกันราคาพืชผลเท่านั้นเอง (โดยเฉพาะยามหาเสียงเลือกตั้ง) ส่วนแผนระยะยาวเชิงยุทธศาสตร์ไม่เคยคิดกันออกเลยสักที (ยกเว้นแผนให้เลิกทำเกษตร)