ผมมีความเห็นมาแต่ต้นแล้วว่าการตั้ง กกต.นั้นเป็นการแส่หาเรื่องและสู่รู้ของนักกฎหมายและนักการเมืองที่เป็นทาสลัทธิเอาอย่าง ที่ชอบจับแพะชนแกะหรือหัวมงกุฎท้ายมังกรลอกแบบมาจากองค์กรต่างประเทศที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง เสร็จแล้วก็ขี้ก้อนใหญ่กว่าช้างด้วยการสร้างงบประมาณและกำลังคนให้มโหฬารเพื่อสอดรับกับฐานันดร
นักกฎหมายที่สู่รู้นั้นไม่ว่าจะมาจากกระทรวงมหาดไทย ในสภาหรือจากพรรคการเมือง ล้วนแต่มีมาตรฐานความรู้ต่ำทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเรื่องพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และประชาธิปไตยตามที่ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ประเมินไว้ทุกประการ
ผมเองพูดและเขียนไว้หลายครั้ง ว่าน่ากลัว กกต.ทั้งในฐานะองค์กร และตัวบุคคลที่เป็นกกต.จะเป็นผู้ถ่วงความก้าวหน้าของประชาธิปไตยหรือแม้กระทั่งทำลายมิให้ประชาธิปไตยได้ผุดได้เกิดเสียเอง เพราะท่านเหล่านี้ขาดความรู้และประสบการณ์ด้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง ต่างก็มีมานะและอุปาทานที่จะใช้งบประมาณให้เต็มที่
กฎหมายและระเบียบของ กกต.เป็นตัวอย่างของความไร้เหตุผล เช่น ความเป็นอิสระต่อกันและไร้เอกภาพของ กกต.ทั้ง 5 ซึ่งถ้ามีหนึ่งหรือสองคนฝักใฝ่กลุ่มการเมืองหรือไร้สมาธิขาดสมรรถภาพ กกต.ก็จะเป็นง่อย นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ของ กกต.ซึ่งแต่งตั้งมาต่างยุคต่างอำนาจก็จ้องจะฟาดฟันขัดขวางกันเอง กกต.ท้องถิ่นก็ไม่มีทางเลือกจากผู้ที่มีความสามารถและเป็นกลาง จึงต้องจำยอมให้คนของพรรคการเมืองทั้งสิ้น
ในกรณีที่มีการร้องเรียนหากการสืบสวนสอบสวนจากจังหวัดสำนวนอ่อนและหละหลวม กกต.กลางก็เหมือนกับเสียกะบาล ร้อยทั้งร้อยก็ต้องปล่อย ก่อนจะปล่อยก็ต้องยอมให้เงื่อนไขกับเงื่อนเวลาอำนวยความสะดวกให้เกิดการวิ่งเต้นหากินและรีดไถ นอกจากนั้นอนุกรรมการคณะต่างๆ ก็มีบุคคลไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้พิพากษาระดับสูงหรือนายตำรวจใหญ่ ซึ่งเคยเป็นหรือยังเป็นทาสของนักการเมืองเกือบทั้งนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งจะไม่มีทางสุจริตเที่ยงธรรมเพราะมีการซื้อกันเป็นหมื่นๆ ล้าน (สู้ปฏิวัติเสียก็ยังจะดีกว่า) จากการให้สัมภาษณ์ของกกต.หนึ่งในห้า แต่กกต.จะทำอย่างไรได้นอกจากทำงานต่อไปเหมือนเด็กอมมือ
การทำงานเหมือนเด็กอมมือหรือนักเรียนหนีเที่ยวของ กกต.เห็นได้ชัด เมื่อ กกต.ทั้ง 5 ละทิ้งหน้าที่ไปต่างประเทศในสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าจะไปดูความเรียบร้อยของการลงคะแนนในต่างประเทศ ในขณะที่ปรากฏภายหลังว่าภายในประเทศ กกต.ปล่อยให้ผู้ที่เคยลงคะแนนล่วงหน้าในการเลือกตั้งครั้งก่อน เสียสิทธิไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้ได้กว่า 2 ล้านคน ดังปรากฏในสำนวนที่ร้องเรียน กกต.และฟ้องร้องกันอยู่อย่างคึกโครม
สิ่งที่แสดงความอ่อนด้อยและไร้วุฒิภาวะสุดๆ ของ กกต.ก็คือการเร่งรีบรับรองรายชื่อ ส.ส.โดยอ้างว่าจะต้องให้ทันตามเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ไยดีที่จะชี้แจงหรือพิจารณาคำร้องเรียนต่างๆ ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สุจริตเที่ยงธรรมด้วยการกระทำและงดเว้นกระทำต่างๆของ กกต.เอง ของพรรคการเมืองและของผู้สมัครที่มีกองเท่าภูเขาเลากา
ยิ่งการที่พูดว่ารับให้ครบเสียก่อนแล้วจึงสอยทีหลัง อย่าว่าแต่พูดเลย แม้แต่คิดก็ผิดเสียแล้ว นี่เป็นทัศนะของทารกมิใช่อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งจะต้องคำนึงถึงหลักการบริหารจัดการที่ดีไปพร้อมๆ กับความสอดคล้องของกฎหมาย น่าเศร้าจริง
ผมอยากจะย้ำว่า กกต.มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม นั่นเป็นหน้าที่หลักของ กกต.เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งจะไม่สุจริตเที่ยงธรรม ไม่ใช่หน้าที่ของ กกต.ว่าจะเปิดสภาได้หรือไม่ จะมีรัฐบาลปกครองประเทศเมื่อไร
ผมบอกแล้วว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งเราเป็นรัฐธรรมนูญและกฎหมายอีเดียด บังคับให้ผู้มีอำนาจหน้าที่และประชาชนคนไทยยอมรับการโกหกคดโกงและบิดเบือนกฎหมายกันทั่วหน้า และยอมศิโรราบให้กับความจำเป็นของการเมืองเน่าๆ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและดีงามของสักคน ดีแต่จะขอไปทีเลยตามเลยเคยตัวไปเรื่อยๆ
ในประเทศที่เขาเป็นประชาธิปไตยไม่ว่าอังกฤษ อิตาลี หรือฝรั่งเศส เป็นต้น มีอยู่บ่อยๆ ที่เกิด hung parliament หรือจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เพราะที่นั่งของพรรคไม่ลงตัว เขาก็ใช้เวลาเป็นเดือนๆ หรือค่อนปีและอาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่เห็นจะหนักหัว กกต.ตรงไหน ไม่เชื่อขอให้นักวิชาการ กกต.ไปเปิดหนังสือดู
ถ้าประเทศของเราต้องการจะเป็นนิติรัฐจริงๆ ผมเห็นว่าเราจะต้องถือกฎหมายเป็นใหญ่และการเมืองเป็นรอง หากถือตามกฎหมายแล้วผมเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะอย่างแน่นอน
ผมเชื่อว่าข้อคิดเห็นของยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ซึ่งมีอภิชาต สุขัคคานนท์อยู่ในคณะเดียวกัน มีหลักฐานการปฏิบัติและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.อันเกิดความเสียหายต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งและประเทศชาติ และทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งก็สอดคล้องกับความเห็นของทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ และคณาจารย์กฎหมายนำด้วยอาจารย์คมสัน โพธิ์คง และดร.บรรเจิด สิงคะเนติ และผู้ที่ร้องเรียนร้องทุกข์และฟ้องร้องอีกนับไม่ถ้วน
ทั้งหมดนี้ไม่มีทางที่การเลือกตั้งจะไม่เป็นโมฆะ ยกเว้นสังคมไทยและ กกต.จะหักดิบกฎหมาย โดยเอาความสะดวกทางการเมืองของตนเอง และผู้ร้ายชิงอำนาจทางการเมืองเป็นตัวตั้ง
แต่ปัญหาคือความเชื่องช้าอืดอาดของ กกต.และกระบวนการยุติธรรม ที่กว่าถั่วจะสุก-งาก็ไหม้เสียก่อน ดังนั้นจึงต้องใช้กุศโลบายทางการเมืองเข้าช่วย เพื่อป้องกันความล่าช้าของความยุติธรรม (ซึ่งก็เท่ากับความอยุติธรรมนั่นเอง) เร่งให้ กกต.และศาลรีบปฏิบัติการโดยพลันตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และป้องกันความเข้าใจผิดของประชาชนโดยเฉพาะรากหญ้าให้เกิดความเข้าใจอันถูกต้องโดยได้รับข้อมูลข่าวสารและการวิเคราะห์จากบุคคลที่ตนไว้วางใจ
เมื่อเทียบการปฏิบัติของ กกต.ชุดนี้กับ กกต.ชุดสามหนาห้าห่วง ผมเห็นว่า กกต.ชุดนี้แย่กว่ามาก ยกเว้นอยู่เรื่องเดียวคือการเข้ากับนักการเมืองผู้ครองอำนาจจนออกนอกหน้า
ผมจึงเตือนหลายครั้งว่าขอให้ระวัง และทำงานตามหลักกฎหมายโดยเคร่งครัดและฉับไว หาไม่แล้วยังไม่ครบเทอมจะพากันติดคุกหัวโตเหมือนชุดสามหนาห้าห่วงแน่ๆ และหนักยิ่งกว่าเสียด้วย ถ้าจะรอดก็อาจจะคนเดียวที่ไม่ใช่นักกฎหมาย ได้แก่นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เดียวกับผม เพราะนายวิสุทธิ์เห็นว่ามีการร้องเรียนและฟ้องร้องกันถึงปานนี้ จึงไม่เห็นด้วยกับการรับรองกันเป็นเข่งๆ ดังที่ปรากฏในหัวค่ำของคืนวันที่ 12 กรกฎาคม
เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน หากสัปดาห์นี้ กกต.ยังไม่กลับตัวกลับใจ หวังซุกอยู่ในรายละเอียดของข้อบังคับซึ่งคณะผู้ทำงานและอนุกรรมการชงไว้ กกต.จะอ้างได้หรือว่าต้องรับรองจตุพรซึ่งผิดมาตั้งแต่ตอนตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว เพราะคณะอนุกรรมการชงไว้อย่างไร กกต.ก็เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ถึงเวลา กกต.ต่างหากจะต้องติดคุกหาใช่ปลาซิวปลาสร้อยเหมือนคดธรรมดาไม่
โอมเพี้ยง ขอให้ กกต.อย่ากอดคอกันไปตาย หากอยากรอดคุกต้องลุกมาบังคับใช้กฎหมายโดยไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจาก กกต.จะรอดคุกแล้ว ประเทศชาติอาจจะรอดอันตรายหายนะไปด้วย
นักกฎหมายที่สู่รู้นั้นไม่ว่าจะมาจากกระทรวงมหาดไทย ในสภาหรือจากพรรคการเมือง ล้วนแต่มีมาตรฐานความรู้ต่ำทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเรื่องพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และประชาธิปไตยตามที่ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ประเมินไว้ทุกประการ
ผมเองพูดและเขียนไว้หลายครั้ง ว่าน่ากลัว กกต.ทั้งในฐานะองค์กร และตัวบุคคลที่เป็นกกต.จะเป็นผู้ถ่วงความก้าวหน้าของประชาธิปไตยหรือแม้กระทั่งทำลายมิให้ประชาธิปไตยได้ผุดได้เกิดเสียเอง เพราะท่านเหล่านี้ขาดความรู้และประสบการณ์ด้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง ต่างก็มีมานะและอุปาทานที่จะใช้งบประมาณให้เต็มที่
กฎหมายและระเบียบของ กกต.เป็นตัวอย่างของความไร้เหตุผล เช่น ความเป็นอิสระต่อกันและไร้เอกภาพของ กกต.ทั้ง 5 ซึ่งถ้ามีหนึ่งหรือสองคนฝักใฝ่กลุ่มการเมืองหรือไร้สมาธิขาดสมรรถภาพ กกต.ก็จะเป็นง่อย นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ของ กกต.ซึ่งแต่งตั้งมาต่างยุคต่างอำนาจก็จ้องจะฟาดฟันขัดขวางกันเอง กกต.ท้องถิ่นก็ไม่มีทางเลือกจากผู้ที่มีความสามารถและเป็นกลาง จึงต้องจำยอมให้คนของพรรคการเมืองทั้งสิ้น
ในกรณีที่มีการร้องเรียนหากการสืบสวนสอบสวนจากจังหวัดสำนวนอ่อนและหละหลวม กกต.กลางก็เหมือนกับเสียกะบาล ร้อยทั้งร้อยก็ต้องปล่อย ก่อนจะปล่อยก็ต้องยอมให้เงื่อนไขกับเงื่อนเวลาอำนวยความสะดวกให้เกิดการวิ่งเต้นหากินและรีดไถ นอกจากนั้นอนุกรรมการคณะต่างๆ ก็มีบุคคลไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้พิพากษาระดับสูงหรือนายตำรวจใหญ่ ซึ่งเคยเป็นหรือยังเป็นทาสของนักการเมืองเกือบทั้งนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งจะไม่มีทางสุจริตเที่ยงธรรมเพราะมีการซื้อกันเป็นหมื่นๆ ล้าน (สู้ปฏิวัติเสียก็ยังจะดีกว่า) จากการให้สัมภาษณ์ของกกต.หนึ่งในห้า แต่กกต.จะทำอย่างไรได้นอกจากทำงานต่อไปเหมือนเด็กอมมือ
การทำงานเหมือนเด็กอมมือหรือนักเรียนหนีเที่ยวของ กกต.เห็นได้ชัด เมื่อ กกต.ทั้ง 5 ละทิ้งหน้าที่ไปต่างประเทศในสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าจะไปดูความเรียบร้อยของการลงคะแนนในต่างประเทศ ในขณะที่ปรากฏภายหลังว่าภายในประเทศ กกต.ปล่อยให้ผู้ที่เคยลงคะแนนล่วงหน้าในการเลือกตั้งครั้งก่อน เสียสิทธิไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้ได้กว่า 2 ล้านคน ดังปรากฏในสำนวนที่ร้องเรียน กกต.และฟ้องร้องกันอยู่อย่างคึกโครม
สิ่งที่แสดงความอ่อนด้อยและไร้วุฒิภาวะสุดๆ ของ กกต.ก็คือการเร่งรีบรับรองรายชื่อ ส.ส.โดยอ้างว่าจะต้องให้ทันตามเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ไยดีที่จะชี้แจงหรือพิจารณาคำร้องเรียนต่างๆ ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สุจริตเที่ยงธรรมด้วยการกระทำและงดเว้นกระทำต่างๆของ กกต.เอง ของพรรคการเมืองและของผู้สมัครที่มีกองเท่าภูเขาเลากา
ยิ่งการที่พูดว่ารับให้ครบเสียก่อนแล้วจึงสอยทีหลัง อย่าว่าแต่พูดเลย แม้แต่คิดก็ผิดเสียแล้ว นี่เป็นทัศนะของทารกมิใช่อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งจะต้องคำนึงถึงหลักการบริหารจัดการที่ดีไปพร้อมๆ กับความสอดคล้องของกฎหมาย น่าเศร้าจริง
ผมอยากจะย้ำว่า กกต.มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม นั่นเป็นหน้าที่หลักของ กกต.เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งจะไม่สุจริตเที่ยงธรรม ไม่ใช่หน้าที่ของ กกต.ว่าจะเปิดสภาได้หรือไม่ จะมีรัฐบาลปกครองประเทศเมื่อไร
ผมบอกแล้วว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งเราเป็นรัฐธรรมนูญและกฎหมายอีเดียด บังคับให้ผู้มีอำนาจหน้าที่และประชาชนคนไทยยอมรับการโกหกคดโกงและบิดเบือนกฎหมายกันทั่วหน้า และยอมศิโรราบให้กับความจำเป็นของการเมืองเน่าๆ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและดีงามของสักคน ดีแต่จะขอไปทีเลยตามเลยเคยตัวไปเรื่อยๆ
ในประเทศที่เขาเป็นประชาธิปไตยไม่ว่าอังกฤษ อิตาลี หรือฝรั่งเศส เป็นต้น มีอยู่บ่อยๆ ที่เกิด hung parliament หรือจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เพราะที่นั่งของพรรคไม่ลงตัว เขาก็ใช้เวลาเป็นเดือนๆ หรือค่อนปีและอาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่เห็นจะหนักหัว กกต.ตรงไหน ไม่เชื่อขอให้นักวิชาการ กกต.ไปเปิดหนังสือดู
ถ้าประเทศของเราต้องการจะเป็นนิติรัฐจริงๆ ผมเห็นว่าเราจะต้องถือกฎหมายเป็นใหญ่และการเมืองเป็นรอง หากถือตามกฎหมายแล้วผมเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะอย่างแน่นอน
ผมเชื่อว่าข้อคิดเห็นของยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ซึ่งมีอภิชาต สุขัคคานนท์อยู่ในคณะเดียวกัน มีหลักฐานการปฏิบัติและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.อันเกิดความเสียหายต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งและประเทศชาติ และทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งก็สอดคล้องกับความเห็นของทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ และคณาจารย์กฎหมายนำด้วยอาจารย์คมสัน โพธิ์คง และดร.บรรเจิด สิงคะเนติ และผู้ที่ร้องเรียนร้องทุกข์และฟ้องร้องอีกนับไม่ถ้วน
ทั้งหมดนี้ไม่มีทางที่การเลือกตั้งจะไม่เป็นโมฆะ ยกเว้นสังคมไทยและ กกต.จะหักดิบกฎหมาย โดยเอาความสะดวกทางการเมืองของตนเอง และผู้ร้ายชิงอำนาจทางการเมืองเป็นตัวตั้ง
แต่ปัญหาคือความเชื่องช้าอืดอาดของ กกต.และกระบวนการยุติธรรม ที่กว่าถั่วจะสุก-งาก็ไหม้เสียก่อน ดังนั้นจึงต้องใช้กุศโลบายทางการเมืองเข้าช่วย เพื่อป้องกันความล่าช้าของความยุติธรรม (ซึ่งก็เท่ากับความอยุติธรรมนั่นเอง) เร่งให้ กกต.และศาลรีบปฏิบัติการโดยพลันตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และป้องกันความเข้าใจผิดของประชาชนโดยเฉพาะรากหญ้าให้เกิดความเข้าใจอันถูกต้องโดยได้รับข้อมูลข่าวสารและการวิเคราะห์จากบุคคลที่ตนไว้วางใจ
เมื่อเทียบการปฏิบัติของ กกต.ชุดนี้กับ กกต.ชุดสามหนาห้าห่วง ผมเห็นว่า กกต.ชุดนี้แย่กว่ามาก ยกเว้นอยู่เรื่องเดียวคือการเข้ากับนักการเมืองผู้ครองอำนาจจนออกนอกหน้า
ผมจึงเตือนหลายครั้งว่าขอให้ระวัง และทำงานตามหลักกฎหมายโดยเคร่งครัดและฉับไว หาไม่แล้วยังไม่ครบเทอมจะพากันติดคุกหัวโตเหมือนชุดสามหนาห้าห่วงแน่ๆ และหนักยิ่งกว่าเสียด้วย ถ้าจะรอดก็อาจจะคนเดียวที่ไม่ใช่นักกฎหมาย ได้แก่นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เดียวกับผม เพราะนายวิสุทธิ์เห็นว่ามีการร้องเรียนและฟ้องร้องกันถึงปานนี้ จึงไม่เห็นด้วยกับการรับรองกันเป็นเข่งๆ ดังที่ปรากฏในหัวค่ำของคืนวันที่ 12 กรกฎาคม
เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน หากสัปดาห์นี้ กกต.ยังไม่กลับตัวกลับใจ หวังซุกอยู่ในรายละเอียดของข้อบังคับซึ่งคณะผู้ทำงานและอนุกรรมการชงไว้ กกต.จะอ้างได้หรือว่าต้องรับรองจตุพรซึ่งผิดมาตั้งแต่ตอนตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว เพราะคณะอนุกรรมการชงไว้อย่างไร กกต.ก็เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ถึงเวลา กกต.ต่างหากจะต้องติดคุกหาใช่ปลาซิวปลาสร้อยเหมือนคดธรรมดาไม่
โอมเพี้ยง ขอให้ กกต.อย่ากอดคอกันไปตาย หากอยากรอดคุกต้องลุกมาบังคับใช้กฎหมายโดยไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจาก กกต.จะรอดคุกแล้ว ประเทศชาติอาจจะรอดอันตรายหายนะไปด้วย