xs
xsm
sm
md
lg

ใครโกหกในหลวง ใครหลอกลวงประชาชน ไยคนไทยจะต้องยอมจำนนทั้งชาติ

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ จะเป็นวันชี้ชะตาประเทศไทย ถึงอย่างไรก็จะไม่มีวันได้ผลตามที่รัฐบาลและ กกต.โฆษณา หากจะตรงกันข้ามอย่างเกินคาด ปัจจัยบวกในการเลือกตั้ง ธันวาคม 2550 ซึ่งนำไปสู่การเผาบ้านเผาเมืองและพิฆาตเข่นฆ่ากันเองระหว่างคนไทย ไม่มีเหลืออยู่เลยสักนิดเดียว แต่ปัจจัยลบเต็มไปหมด

ที่สำคัญที่สุดก็คือ รัฐบาลและ กกต.ต่างก็พากันทำลายกฎหมายและหลักนิติธรรม จริยธรรม และความชอบธรรมในการเลือกตั้งเสียเอง ซ้ำยอมให้พรรคการเมืองและผู้สนับสนุนทั้งในและนอกประเทศกระทำผิดเช่นเดียวกัน

ผมขอเรียกร้องคนไทยให้ลุกขึ้นมาท้าทายและต้านทานการโกหกหลอกลวงของรัฐบาล กกต.และพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยตัณหา มานะ และมิจฉาทิฐิ แต่ขาดเวสารัชชกรณธรรมโดยสิ้นเชิง ผมขอเชิญชวนคนไทยทั้งชาติให้เจริญเวสารัชชกรณธรรมอย่างรวดเร็วเข้มแข็ง เพื่อจะได้หลุดพ้นความครอบงำจำนนผู้ใช้อำนาจรัฐที่กระทำตัวประหนึ่งโจรปล้นแผ่นดิน

ผมได้รับจดหมายที่ขอปกปิดนาม แต่ไม่ห้ามที่ท่านจะเดา ท่านเป็นผู้ทรงภูมิรู้ทางกฎหมายและมีความกล้าหาญอย่างเยี่ยมยอด ดังนี้

ส่ง อาจารย์ปราโมทย์

พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 เกิดขึ้นจากนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อให้ยุบสภา โดยมีข้อความที่ได้กราบบังคมทูลฯ ว่า “ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกของชนในชาติ มีการใช้กำลังและความรุนแรงในการชุมนุมประท้วง” กับมีข้อความว่า “ส่วนปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมก็ได้รับการแก้ไขโดยร่วมมือจากทุกภาคส่วน จนผ่อนคลายความรุนแรงลงแล้ว” นั้น เป็นการกราบบังคมทูลฯ โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และปกปิดข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่เกิดขึ้นในขณะนั้นไว้ด้วย อันอาจกล่าวได้ว่า เป็นการกราบบังคมทูลฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ด้วยเหตุดังนี้

1. “ปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกของชนในชาติ มีการใช้กำลังและความรุนแรงในการชุมนุมประท้วง” นั้น มิใช่เป็นความขัดแย้งและความแตกแยกของชนในชาติแต่อย่างใด แต่เป็นความขัดแย้งและความแตกแยกระหว่างนักการเมืองฝ่ายค้านกับนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยไม่พอใจที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (ภายหลังที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบพรรค) จึงมีการปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงมาชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ การชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ใช่เป็นความแตกแยกของชนในชาติแต่อย่างใด แต่เป็นความขัดแย้งเพราะฝ่ายที่สูญเสียอำนาจไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร ไม่ยอมรับในกติกาของการปกครองในระบบรัฐสภาในขณะที่ตนเป็นฝ่ายสูญเสียอำนาจเท่านั้น และความรุนแรงได้เกิดขึ้นเพราะพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลไม่ดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมและไม่ได้ใช้หลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว (รธน. ม.74) จึงเกิดคนชุดดำแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและใช้อาวุธสังหารทั้งทหารและประชาชนจนเกิดการต่อสู้กันขึ้น

2. ส่วนที่ว่า “ปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมก็ได้รับการแก้ไข โดยร่วมมือจากทุกภาคส่วนจนผ่อนคลายความรุนแรงแล้ว” นั้น ก็ขัดกับข้อเท็จจริง เพราะในขณะนั้น (ก่อนออก พ.ร.ฎ.และหลังออก พ.ร.ฎ.) ปรากฏว่ามีประชาชนซึ่งไม่พอใจกับการบริหารประเทศของรัฐบาลที่มีความคลุมเครือ จนมีเหตุสงสัยเกิดขึ้นในหมู่ประชาชนว่า จะมีการขายชาติขายแผ่นดินให้กับกัมพูชา อันจะทำให้ไทยต้องเสียอำนาจอธิปไตยในดินแดนบริเวณปราสาทพระวิหารและบริเวณตะเข็บชายแดนด้านกัมพูชา ไปจนถึงอาณาเขตในทะเลด้วยหรือไม่ โดยมีการชุมนุมของประชาชนซึ่งเรียกว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม.ได้เริ่มเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏต่อสาธารณชนในเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2553 และเริ่มชุมนุมในต้นปี 2554 จนนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ให้ออกพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร

โดยนายกรัฐมนตรีได้ปกปิดข้อเท็จจริงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และการชุมนุมของประชาชน ซึ่งกรณีดังกล่าวก็ไม่ใช่เป็นความขัดแย้งหรือความแตกแยกในสังคมแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่ขัดแย้งกับความต้องการและความกังวลใจของประชาชน อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศที่จะทำให้ไทยต้องเสียในอำนาจอธิปไตยของไทยหรือไม่ กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องความแตกแยกในสังคมได้รับการแก้ไข โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจนผ่อนคลายความรุนแรงแล้วแต่อย่างใดเลย

3. ปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายค้านกับคนเสื้อแดง และพรรครัฐบาล ก็มิใช่ว่าจะได้รับการแก้ไขจนผ่อนคลายความรุนแรงไปแล้วแต่อย่างใดไม่ การแก้ไขที่อ้างว่าผ่อนความรุนแรงก็คือ การที่รัฐบาลช่วยเหลือให้คนเสื้อแดงได้ประกันตัวไปจากศาล ซึ่งก็มิได้ผ่อนคลายความรุนแรงลงแต่อย่างใด เพราะปรากฏหลักฐานว่า ในระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ และอยู่ในระหว่างใช้พระราชกฤษฎีกาฯ ดังกล่าว ก็ปรากฏข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสื่อสาธารณะโดยอ้างสำนักข่าวต่างประเทศว่า มีการระดมประกาศตัวเองเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง ซึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดขอนแก่น โดยประกาศจะตั้งหมู่บ้านดังกล่าวให้ได้ 1,000 แห่งก่อนวันเลือกตั้ง โดยมีสัญลักษณ์สีแดง มีภาพถ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ติดอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน (ข่าวและภาพหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน, 28 มิ.ย. 2554)

การระดมประกาศหมู่บ้านเสื้อแดง เป็นการแบ่งสถานภาพของคนในประเทศให้แยกออกจากกันโดยใช้สีเป็นสัญลักษณ์ และได้กระทำในระหว่างที่มีการพระราชกฤษฎีกาประกาศเลือกตั้งนั้นเป็นการกระทำเพื่อผลของการเลือกตั้ง อันเป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย และเมื่อมีการนำรูป พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาติดตั้งในการประกาศหมู่บ้านเสื้อแดง โดย พ.ต.ท.ทักษิณเคยเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในขณะที่ไทยกับกัมพูชากำลังมีปัญหาชายแดนกันอยู่และกำลังต่อสู้กันในเวทีโลกตลอดจนศาลโลก จึงส่อให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อการแทรกแซงการเลือกตั้งโดยรัฐต่างชาติ เพื่อให้พรรคเพื่อไทยซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์ น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อประโยชน์ของกัมพูชาในการที่จะมีอธิปไตยเหนือดินแดนของไทยก็อาจเป็นไปได้ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการเลือกตั้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นการเลือกตั้งอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 94 (1) (3) (4)

กกต.จะต้องทำการสอบสวนกรณีใน (3) โดยด่วน และสั่งยกเลิกการเลือกตั้ง หรือให้ กกต.ลาออกไปได้” (จบจดหมาย)

มีผลการวิเคราะห์ของคณาจารย์กฎหมายนำโดยอาจารย์คมสัน คงโพธิ์ และดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ที่ยืนยันพยานหลักฐานและข้อยุติตามตัวบทและหลักกฎหมายว่า มีพรรคการเมืองอย่างน้อย 17 พรรค รวมทั้งพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลหรืออยู่ในสภาผู้แทนชุดที่แล้ว ได้กระทำความผิดกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายเลือกตั้งและพรรคการเมือง อันเป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคอย่างแน่นอน เว้นแต่จะหลีกเลี่ยงด้วยการบิดเบือนกฎหมายและใช้อำนาจรัฐเยี่ยงโจร

ผมเชื่อข้อเขียนท่านผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ ผมเห็นและมีหลักฐานว่าต่างประเทศได้เข้าแทรกแซงสนับสนุนพรรคที่มีส่วนสร้างหมู่บ้านสีแดงและเว็บไซต์สีแดง ผมเห็นและมีหลักฐานนานัปการว่ารัฐบาลและ กกต.ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหรือบกพร่องทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีทางสุจริตยุติธรรมหรือเป็นประชาธิปไตยได้

ผมขอจบด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า “ไม่มีความชั่วใดๆ ที่คนโกหกจะกระทำไม่ได้”

ขณะนี้คนชั่วที่โกหกในหลวง หลอกลวงประชาชนและฉ้อฉลบ้านเมืองกำลังมาออดอ้อนไม่ต่างอะไรจากเปรตขอส่วนบุญ

ปัญหามีอยู่ว่า คนไทยจะใจอ่อนยอมจำนนกันทั้งชาติอยู่อีกนานเท่าไร!

                                           ปราโมทย์ นาครทรรพ

                                           อดีตตุลาการรัฐธรรมนูญ
กำลังโหลดความคิดเห็น