xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยน...เป็นที่มั่นสำคัญของชาติ

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

กัลยาณมิตรเพื่อนพ้องน้องพี่ชาวปักษ์ใต้บ้านเราพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าช่วยเขียนแนะนำพรรคประชาธิปัตย์หน่อยเถอะ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคุณประโยชน์แก่พี่น้องชาวใต้และปวงชนในชาติอย่างใหญ่หลวง

การแนะย่อมแน่นอนว่า เพื่อรุกทางการเมือง การรุกทางการเมืองหมายความว่าต้องมีแนวทางการเมืองที่เหนือกว่าพรรคอื่นๆ ต้องมีจุดยืนเพื่อปวงชนในชาติอย่างแท้จริง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสภาพการณ์ปัจจุบัน

การรุกทางการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ควรจะรู้ว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงของประเทศเป็นอย่างไร ตรงนี้แกนนำพรรคจะต้องตีให้แตกด้วยปัญญาของพรรคเอง การแนะนำรับฟังจากท่านผู้รู้ ย่อมเป็นเรื่องดี แต่อาจจะได้ปัญญาในระดับโสตมยปัญญาคือปัญญาที่เกิดจากการได้ฟัง ได้อ่าน หรืออย่างมากก็ได้ปัญญาถึงระดับจินตมยปัญญาคือปัญญาที่เกิดจากการคิด วิจัย วิเคราะห์ สังเคราะห์ ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงปัญญาอันสูงสุดคือ ภาวนามยปัญญา ได้ อันนี้แกนนำของพรรคต้องลงมือวิเคราะห์ วิจัย คิดค้น ด้วยตนเอง ด้วยประสบการณ์ของตนเอง เพื่อจะได้ความรู้ที่แท้จริง และเข้าใจจริง รู้จักตนเองอย่างแท้จริง เข้าใจสภาพการณ์ที่แท้จริงของประเทศ “รู้จักตนเองตามความเป็นจริง ย่อมรู้จักประเทศชาติของตนตามความเป็นจริง”

อีกด้านหนึ่ง “ไม่รู้จักตนเอง ก็ไม่รู้ประเทศชาติของตน” ปัญหานี้เป็นอันตรายต่อตนเอง คณะพรรค ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งก็เห็นๆ กันอยู่แล้วมิใช่หรือความผิดร้ายของบุคคลอาจทำให้เดือดร้อนเพียงไม่กี่คน แต่ความเห็นผิดร้ายแรงของนักการเมืองย่อมทำร้ายปวงชนในประเทศ

ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคประชาธิปัตย์ เราก็แนะนำว่า

ประการที่หนึ่ง ต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ผู้นำคณะผู้บริหารพรรค

ประการที่สอง ต้องเปลี่ยนแนวคิดและแนวทางของพรรคให้ถูกต้องกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงของประเทศ

หากคณะผู้บริหารพรรคเห็นผิด ย่อมคิดนโยบายผิด และปฏิบัตินโยบายผิด แน่นอนว่าประชาชนเดือดร้อน พรรคตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง ในกรณีใดๆ ก็ตามหากว่าตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง เช่น พ่ายแพ้การเลือกตั้ง หรือพ่ายแพ้สงคราม หรืออาจจะเสียอธิปไตยทางดินแดน แล้วแต่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ หรือจะพ่ายแพ้ในทุกด้านในทุกเวทีก็เป็นได้

การเปลี่ยนบุคคล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อลาออกควรจะทำหน้าที่ปรึกษาพรรค หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค อีกรอบถามว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง บุคลิกของนายอภิสิทธิ์ และของพรรคไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย คนเดิมความเห็นเดิมแนวทางเดิม ถามว่าจะให้ผู้สนับสนุนพรรค และผู้ให้กำลังใจพรรค ก็จะต้องเซ็งต่อไปและเลิกสนับสนุนต่อไปเช่นนั้นหรือ

ขอเป็นกำลังใจให้พรรค คนในพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีคนดีๆ อีกมากที่จะขึ้นนำเป็นหัวหน้าพรรคก็ลองเสาะหาดูเถิด บอกใบให้ก็ได้ว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ทำงานดีที่สุด ทำงานอย่างจริงจัง ไม่ทิ้งธุระในทุกเรื่อง อภิปรายในสภาก็เฉียบแหลม พอจะมองเห็นกันไหมเอ่ย

สภาพการณ์ที่แท้จริงของประเทศไทยเป็นเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นเผด็จการเพราะจัดความสัมพันธ์ผิดระหว่างหลักการปกครอง (ระบอบ) กับรัฐธรรมนูญ

การจัดความสัมพันธ์ผิดระหว่างจุดมุ่งหมายของการปกครองกับวิธีการปกครอง มีแต่เพียงวิธีการปกครองคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผู้รู้ย่อมรู้ว่ากฎหมายเป็นเพียงวิธีการปกครองหรือเป็นเครื่องมือในการปกครองเท่านั้น เพราะ “กฎหมายบังคับให้ทำอย่างนี้และห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้น”

ดังนั้น การนำเอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นระบอบหรือเป็นหลักการของการปกครองจึงเป็นมิจฉาทิฐิร้ายแรงของชาติที่รอการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แก้ไขได้เร็วเท่าไรก็เป็นความโชคดีของประเทศไทยเท่านั้น

เราขอถามผู้อ่านที่รักทั้งหลายและพลพรรคประชาธิปัตย์ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจุดมุ่งหมาย (Aim) กับวิธีการ (Means) ไปสู่จุดมุ่งหมายอะไรเกิดก่อน? หากคิดสักนิดก็ย่อมรู้ว่า หลักการปกครอง (Principle of Government) ย่อมต้องเป็นปฐมภูมิ (primary) จึงมาก่อน เกิดก่อน สถาปนาก่อนวิธีการปกครอง (Methods of Governments) ดังนั้นหลักการปกครองหรือระบอบจะต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญเสมอไป นี่คือแนวคิดที่ถูกต้องยิ่งใหญ่

ดังสัจธรรมที่ว่า “เมื่อมีจุดมุ่งหมาย ย่อมมีหนทาง เมื่อมีหนทาง ย่อมมีความก้าวหน้า เมื่อมีความก้าวหน้า สักวันหนึ่งจะถึงจุดมุ่งหมายสำเร็จ” ระบอบหรือหลักการปกครองย่อมเป็นจุดมุ่งหมายร่วมของปวงชนในชาติเสมอกัน และขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญย่อมเป็นวิธีการร่วม เป็นหนทางร่วมของปวงชนในชาติ

น่าเสียดายที่การปกครองไทยเป็นเผด็จการยาวนานร่วม 79 ปี 18 รัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุที่ว่า การปกครองไทยไม่เคยมีหลักการปกครองหรือไม่เคยมีระบอบ หรือไม่เคยมีจุดมุ่งหมายร่วมของปวงชนในชาติ ประเทศไทยจึงเกิดความขัดแย้งเรื่อยมานับแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก แล้วก็มีแต่ความเสื่อมลงๆ คอร์รัปชันก็มากขึ้นๆ นักการเมืองกลายเป็นสัตว์ร้าย นายกรัฐมนตรีทุกคนกลายเป็นคนร้าย ทำลายโอกาสประเทศ สมจริงดังสัจธรรมที่ว่า “เมื่อไม่มีจุดมุ่งหมาย ย่อมไม่มีหนทาง เมื่อไม่มีหนทาง ย่อมไม่มีความก้าวหน้า เมื่อไม่มีความก้าวหน้า อุปมาเหมือนพายเรือในอ่างน้ำ”

สภาพการณ์เช่นนี้พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องเปลี่ยนอย่างก้าวกระโดด มองไปข้างหน้าภัยอันตรายของชาติกำลังรออยู่ เปลี่ยนให้เป็นพรรคที่รู้จริงและเป็นของปวงชน ขอพรรคประชาธิปัตย์ได้ดวงตาเห็นธรรม เปลี่ยนแปลงให้สำเร็จ ขอเป็นกำลังใจให้เสมอ
กำลังโหลดความคิดเห็น