xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ห้อย” หมาหัวเน่า “ภูมิใจไทย” ร่วงเกลื่อนอีสาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 54 โดยผลที่ออกมาก็เป็นที่รู้กันแล้วว่า “พรรคเพื่อไทย” ชนะ “พรรคประชาธิปัตย์” อย่างถล่มทลาย ขาดลอยเกือบ 100 เสียง ภายใต้กติกาของ "ระบอบประชาธิปไตย" ที่ใครได้เสียงข้างมากก็ได้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนนายกรัฐมนตรีจะเป็น “โคลนนิ่ง หุ่นกระบอก หรือหุ่นเชิด” ก็ว่ากันไป เพราะถือว่าเป็นความต้องการของประชาชน “เสียงข้างมาก” ที่อยากได้แบบนี้ และที่สำคัญเขาได้ “เลือก” แล้ว!

และนี่ก็คือ "คำตอบประเทศไทย" ที่ประชาชนข้างมากตัดสินใจยกให้พรรคเพื่อไทยและ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นผู้นำฝ่ายบริหาร ก็ขอแสดงความยินดีกับพรรคเพื่อไทย นางสาวยิ่งลักษณ์ และขบวนการ "เสื้อแดง" ทุกคน และบุคคลสำคัญที่จะลืมมิได้ก็คือ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เพราะนับจากวันนี้เป็นต้นไป “ประเทศไทย” เป็นของพวกเขาแล้ว!

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องบอกว่า ขอแสดงความเสียใจด้วย ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะตลอดระยะเวลา 2 ปี 6 เดือนที่ประชาชนให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์บริหารประเทศ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นผลงานอะไร “เป็นชิ้นเป็นอัน” สักอย่าง สิ่งที่โดดเด่นกลับเป็นความล้มเหลวในการแก้ปัญหา และความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารเทศ ซ้ำร้ายยังปล่อยให้มีการคอร์รัปชั่นกันจนมืดฟ้ามัวดิน ฯลฯ และอีกสารพัด จนเอามาสาธยายในที่นี้ไม่หมด สิ่งที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ควรทำเป็นอันดับแรกหลังจากผลเลือกตั้งออกมาก็คือ “ยอมรับความจริง และทำใจ” เพราะงานนี้พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์จะโทษใครไม่ได้นอกจาก “ตัวเอง”

อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องของสองพรรคใหญ่ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ กรณีความพ่ายแพ้ของ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุรีรัมย์ ที่พ่ายแพ้ให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างหมดรูป อดีตรัฐมนตรีคนสำคัญสอบตกกันระนาว เรียกได้ว่า “ตายเป็นเบือ” ไม่เหลือความยิ่งใหญ่ของกลุ่มอำนาจใหม่ให้เห็น หากจะเปรียบไป “พรรคภูมิใจไทย” หลังศึกเลือกตั้งไม่ต่างกับซากปรักหักพังที่มี “เนวิน” ผู้ยิ่งใหญ่นั่งกระอักเลือดอยู่ข้างซากศพผู้สมัคร ส.ส.

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ภายหลังการปิดหีบเลือกตั้งเมื่อเวลา 15.00 น. และมีการเปิดเผยผลเอ็กซิกโพลล์ของสำนักต่างๆ ที่ระบุตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย โดยที่พรรคภูมิใจไทยได้จำนวน ส.ส.ไม่ตรงตามเป้าหมายที่ได้ประกาศไว้ที่ 70 ที่นั่ง ซึ่งโพลบางสำนักให้ภูมิใจไทยได้ไม่ถึง 10 ที่นั่งด้วยซ้ำ ทำให้ทีมงานของพรรคภูมิใจไทย ส่งข้อความถึงสื่อมวลชนประจำพรรค แจ้งว่า "ขออภัย!!! พรรคภูมิใจไทยงดแถลงข่าว"

ขณะที่ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ และคนใกล้ชิด ได้เก็บตัวเงียบ ลุ้นผลการเลือกตั้งที่บ้านพักใน จ.บุรีรัมย์ โดยนายเนวิน ได้เกาะติดผลการเลือกตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์พร้อมกับโทรศัพท์สอบถามสถานการณ์ผู้สมัคร ส.ส.ในภาคอีสานเป็นระยะ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจาก “บุรีรัมย์” ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของตัวเองไม่ได้ยกจังหวัด นั่นคือ 9 ที่นั่ง ตามที่ประกาศเอาไว้ แต่ได้เพียง 7 ที่นั่ง

นอกจากนี้ หลายจังหวัดในภาคอีสาน อาทิ สุรินทร์ นครราชสีมา ก็พลาดเป้าเป็นจำนวนมาก อีกทั้งรัฐมนตรีของพรรคที่นายเนวินหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้ ส.ส. อย่าง นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรฯ นายสุชาติ โชคชัยวัฒนายากร รมช. คมนาคม และนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ อดีต รมช.คมนาคม ก็ไม่สามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส.ได้เลย และจากผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการปรากฏว่า พรรคภูมิใจไทยได้ ส.ส. รวม 34 คน โดยแบ่งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ 5 คน และ ส.ส.เขต 29 คน

อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยพ่ายแพ้ต่อพรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็สืบเนื่องมาจาก “กระแส” ที่คนเสื้อแดงซึ่งเป็นมวลชนคนรากหญ้าในภาคอีสานไม่เอา “คนทรยศ” ซึ่งหมายถึงคนคิดคดต่อนายใหญ่ของพวกเขาที่ชื่อ “เนวิน”

ถึงแม้พลพรรค “เนวิน” จะมีอำนาจรัฐและอำนาจเงินผ่านทางพรรคภูมิใจไทยที่คุมกระทรวงมหาดไทย ที่ทรงอำนาจ และกระทรวงคมนาคม ที่มีผลประโยชน์มหาศาล โดยมีทั้งผู้ว่าฯ นายอำเภอ และตำรวจอยู่ในมือ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจล้ม “ศรัทธา” อันเหนียวแน่นของชาวรากหญ้าที่มีต่อ “ท่านทักษิณ” ผู้มาก่อนได้

ทั้งนี้ แม้ในการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์จะมีการวางตัว “เนวิน” ให้มาเป็น “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์” จัดการกับ “ทักษิณ” โดยเฉพาะ โดยพวกเขาเชื่อว่า “เนวิน” สามารถล้าง “ระบอบทักษิณ” ได้ เพราะเป็นคนอีสาน เคยทำงานกับทักษิณมาก่อน ย่อมรู้เช่นเห็นชาติ และรู้ไส้รู้พุงทักษิณเป็นอย่างดี บวกกับมีผู้ว่าฯ นายอำเภอ และตำรวจอยู่ในมือ รวมถึงเงินอีกมหาศาล ยังไงก็ต้องชนะทักษิณที่อีสานได้อย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่มั่นใจ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” คงไม่ประกาศว่าเขาจะได้ 250 ที่นั่งอย่างแน่นอน

แต่พวกเขาลืมไปว่า 6 ปีที่ผ่านมา “ทักษิณ” ทำอะไรไว้บ้าง พวกเขาคงลืมไปว่า 6 ปีที่ผ่านมาขบวนการทักษิณได้ลงลึกไปที่มวลชน ลงไปที่หมู่บ้าน เขาได้ซื้อใจรากหญ้า-ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสานและภาคเหนือ เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ต้องพูดถึงพรรคภูมิใจไทย เพราะในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์อยู่มาตั้ง 65 ปี แต่ไม่เคยเข้าถึงรากหญ้า อย่างโครงการประชานิยมที่ลอกเลียนแบบทักษิณ มันจะไปแกะประชาชนรากหญ้าออกจากระบอบทักษิณได้อย่างไรในเวลา 2 ปี 6 เดือน คำตอบจึงเป็นดั่งที่เห็นเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งว่ากันว่า ในภาคอีสาน พรรคเพื่อไทยจ่ายแค่หัวละ 200 ขณะที่พรรคภูมิใจไทยต้องจ่ายถึง 500-1,000 ก็ยังแพ้ ! เรียกว่า “กระสุน” แพ้ “กระแส” อย่างแท้จริง!

แม้แต่ยุทธศาสตร์ "อบจ.โมเดล" ที่เนวินและพรรคภูมิใจไทยวางเกมมานานปีก็ “ไม่เข้าเป้า” เห็นได้ชัดว่าเครือข่าย "อบจ.โมเดล" ที่แม้จะบวกกับมุ้งตันเจริญ มุ้งนาคาศัย มุ้งกลิ่นประทุม+นพอมรบดี ก็ไม่สามารถ "ยัน" กระแสทักษิณได้เลย

อย่างไรก็ตาม นอกจากที่กล่าวมาแล้ว สาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของพรรคภูมิใจไทยและนายเนวิน ก็สืบเนื่องมาจากตลอดระยะเวลา 2 ปี 6 เดือนในการบริหารราชการของรัฐบาลชุดนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้ปรากฏปัญหา “ทุจริตคอร์รัปชั่น” กันอย่าง “มโหฬารมหาศาล” โดยเฉพาะหน่วยงานที่อยู่ในความดูแลของ “พรรคภูมิใจไทย” อย่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ที่ถูกกล่าวหาเรื่องการสวาปามแบบ “โจ๋งครึ่ม!” โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือหน้าไหนทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “รถเมล์ NGV” ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นโครงการที่อื้อฉาวและถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการ “คอร์รัปชั่น” มากที่สุดของรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ตามต่อด้วย “โครงการปรับโครงสร้าง เพื่อฟื้นฟูกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย'' (ร.ฟ.ม.) ซึ่งไม่ต่างจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะแผนการดำเนินการภายใต้การผลักดันของ “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม นั้นชี้ชัดว่า เป็นการแปรรูปผ่องถ่ายกิจการรัฐวิสาหกิจชั้นดีของรัฐ ไปอยู่ในมือเอกชน

นอกจากนี้ยังมี โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ “ซาเล้ง” ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่มีเรื่องอื้อฉาว จนนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากมีนักการเมืองและข้าราชการ อยู่เบื้องหลังการดำเนินการของคณะกรรมการพิจารณาการเปิดประมูล ส่งผลให้การเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทเอกชนที่มีความสัมพันธ์กับรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ เช่น บมจ.ช.การช่าง ,บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมาทาง “กระทรวงมหาดไทย” ซึ่งมี “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” หรือ “ปู่จิ้น” จากพรรคภูมิใจไทย นั่งบัญชาการ และมี “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” น้องชาย “เนวิน ชิดชอบ” เป็นประธานที่ปรึกษา ก็มีข่าวคาวไม่แพ้กัน ทั้งการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีผู้ออกมาแฉว่ามีการซื้อขายในวงเงินที่สูงถึง 300-400 ล้านบาท จนกลายเป็นประเด็นร้อนอยู่พักใหญ่

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการทุจริตในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของกรมการปกครอง ซึ่งใช้งบถึง 3,490 ล้านบาท โดยมีการย้ายข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ก่อนการจัดซื้อจัดจ้างไม่กี่วันเพื่อให้ “การจัดซื้อเป็นไปตามเป้าหมาย” จนสุดท้ายก็มีการย้าย “อธิบดีกรมการปกครอง” ในที่สุด

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ความหฤหรรษ์แห่งการสวาปาม ยังมีโครงการฉาวอีกโครงการหนึ่งที่อยู่ในในความดูแลของ “รมต.ซาเล้ง” นั่นคือ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 196 กิโลเมตร มูลค่าโครงการกว่า 59,000 ล้านบาท ที่อยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการ “ไทยเข้มแข็ง” ซึ่งถูกวิจารณ์ถึงความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการ เนื่องจากหากเทียบกับเส้นทางสายถนนพหลโยธินและถนนมิตรภาพแล้ว หมายความว่า เส้นทางมอเตอร์เวย์สายนี้ สามารถช่วยย่นระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงโคราชได้เพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ต้องใช้เงินลงทุนเกือบ 60,000 ล้านบาท !

ซึ่งที่ผ่านมา “กระทรวงคมนาคม” ที่อยู่ในกำกับดูแลของ “ซาเล้ง” ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นกระทรวงที่มีการ “ทุจริตคอร์รัปชั่น” มากที่สุด

และคงยังจำกันได้กับ “อภิมหาโปรเจ็กต์” ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในเรื่องความ “โปร่งใส” และ “ความเหมาะสม” ของโครงการ นั่นก็คือ การตัดขยายถนนเขาใหญ่ ที่มีเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงจากหลายภาคส่วน รวมถึง “สุวิทย์ คุณกิตติ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ลุกขึ้นมาคัดค้านเรื่องนี้แบบสุดตัว กระทั่งนายกฯ ก็ทำเป็นออกมาขึงขัง เอาจริงเอาจัง แต่วันนี้ปรากฏว่าถนนสร้างเสร็จหมดแล้ว

สุดท้าย นายเนวินก็ไม่ต่างจาก “หมาหัวเน่า” ที่พอพ่ายแพ้มา หมู่มิตรก็ทำท่าจะตีจาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม “มัชฌิมา” ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ล่าสุดได้ยินว่าจะไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย แม้แต่กลุ่ม “คิงเพาเวอร์” ของนายวิชัย รักศรีอักษร ก็คงหันกลับไปซบนายใหญ่ จนส่งผลให้ สโมสรฟุตบอล “บุรีรัมย์พีอีเอ” ของนายเนวินไร้สปอนเซอร์สนับสนุน แม้กระทั่งกลุ่มทุน “แก๊งปู่จิ้น” ก็อาจจะหนีหายไปในที่สุด ชะตากรรมของ “เนวิน” ยามนี้จึงไม่ต่างจาก “หมาหัวเน่า” ที่กำลังจะถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย จนสุดท้ายต้องซมซานกลับบ้านไปซบอก “นางกรุณา ชิดชอบ” ซึ่งนั่นอาจทำให้นายเนวินได้พบกับความจริงที่ว่า มีแต่ “เมีย” เท่านั้นที่รักเขาจริง!
กำลังโหลดความคิดเห็น