“ประพันธ์” บอกไม่แปลกที่ประชาชนยี้เลือกตั้ง ชี้ไทยติดบ่วงนักเล่นการเมือง- 40 ตระกูลโกง-ข้าราชการขุนศึกทรยศชาติประชาชน ต้นตออุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตยในการบริหารบ้านเมือง ยันต้องล้างระบอบเลือกตั้งชาติถึงจะอยู่รอด ลั่นหากยังมีลมหายใจ จะสู้อย่างถึงที่สุด กวาดล้างนักการเมืองชั่วให้หมดแผ่นดิน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย นายประพันธ์ คูณมี
วันที่ 13 มี.ค. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า นักการเมืองและพรรคการเมืองไทย เป็นเรื่องน่าขยะแขยง ดูจากผลสำรวจเอแบคโพล ประชาชนเลือกไปทำบุญร้อยละ 51.7% มากกว่าไปเลือกตั้ง ยอมบริจาคให้คนไร้ญาติถึง 97% มากกว่าจะบริจาคให้โต๊ะจีนนักการเมืองเพื่อระดมทุนเข้าพรรคนักการเมือง และเลือกประชาธิปไตยร้อยละ 96% มากกว่าจะให้เกิดการปฏิวัติ และร้อยละ 58.6% ประชาชนไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใด สะท้อนให้เห็นที่เลือกอยู่ทุกวันนี้มันเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ การเมืองของเราน่าจะถึงทางตัน ถึงจุดเปลี่ยนของประเทศได้แล้ว
“ผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้มายืนพูดหน้าเวทีตรงนี้หรือไม่ มีข่าวมาว่ามีการสั่งระดมกำลังตำรวจทั่วประเทศ เตรียมมารื้อเวทีสลายการชุมนุมของพวกเราแล้ว น่าแปลกไม่เข้าใจ คนที่ออกมาพูดความจริงไม่สามารถพูดได้ แต่ขณะที่บางคนยังใช้ทีวีซึ่งเป็นช่องภาษีของประชาชนพูดโกหกตอแหลได้ทุกเวลา เป็นอย่างนี้แล้วเมื่อไรประเทศไทยของเราจะหมดจากคนชั่วครองเมืองเสียที อยากเปิดหัวใจพูดกับพี่น้องประชาชนว่า ชาติบ้านเมืองของเราจะก้าวไปทางไหน จมอยู่กับการเมืองทุกวันนี้อนาคตบ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไร ความดีความถูกต้องจะอยู่ในบ้านเมืองนี้ได้หรือไม่ หรือจะให้มีแค่คนโกง คนคดในข้องอในกระดูก คนไทยมันโง่บ้าใบ้หมดแล้วหรือ ถึงได้ยอมคนเลวไม่ลุกออกมา”
นายประพันธ์กล่าวว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 การเมืองการปกครองประเทศไม่ได้ตกมาอยู่ในกำมือของประชาชนอย่างแท้จริง เริ่มแรกมีเหล่าขุนนางปกครอง แต่มันก็ยังอยู่ได้ แม้จะโกงกินบ้าง ก็ไม่โคตรโกงเช่นทุกวันนี้ เมื่อระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ตกถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนได้ลุกขึ้นสู้ เรียกร้องให้ระบอบประชาธิปไตยกลับสู่ประชาชนอย่างแท้จริง จนได้รัฐธรรมนูญในที่สุด เมื่อมีรัฐธรรมนูญเขาได้หวังว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจตกมาถึงประชาชน นำไปสู่การเลือกตั้ง จนเกิดนักการเมืองขึ้น ในช่วงแรกแม้การเลือกตั้งจะโกงบ้างแต่ก็ได้นักการเมืองที่มาจากประชาชน ต่อมานักเลือกตั้งเริ่มเปลี่ยนแปลงมาเป็นนายทุนขุนนางนักการเมือง ในนามพรรคชาติไทย พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายบรรหาร ศิลปอาชา นายเสนาะ เทียนทอง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายชัย ชิดชอบ ฯลฯ คนเหล่านี้แต่กอนมีฐานะทางสังคมเช่นไร มาอยู่การเมืองไม่กี่ปี คนเหล่านี้ได้กลายเป็นเศรษฐีในประเทศไทยทั้งหมด บางคนรวยเกือบแสนล้าน
วันนี้ประเทศไทยจะเกิดเศรษฐีใหม่มาจาก (1.นักการเมือง เห็นได้จากยิ่งเลือกตั้ง ยิ่งได้นักปล้นชาติปล้นเมืองมาปกครอง โกงทุจริตงบประมาณแผ่นดิน งบประมาณปีนี้ 2.5 ล้านล้านบาท รัฐบาลโกงไปไม่ต่ำกว่า 30% ถ้าคิดแค่ 1 ล้านล้านบาท ก็ฟาดไปตั้ง 6 แสนล้านแล้ว ที่นักการเมืองอยากให้มีการเลือกตั้ง เพราะจะได้ชุบตัวเองให้กลายเป็นขุนนาง เป็นรัฐมนตรี ดังนั้นที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกไม่เอาการเลือกตั้งจะเอาอะไร ก็เพราะการเลือกตั้งมันเฮงซวยอย่างนี้ประชาชนถึงไม่เอา
(2.คนในกลุ่ม 40 ตระกูล คนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางการเมือง มาเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง เอาเฉพาะทรัพย์สินที่เปิดเผย เน้นๆ มี 1.เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดง มีทรัพย์สิน130,000 ล้านบาท 2.นายธนินท์ เจียรวนนท์ บริษัทซีพี 100,000 ล้านบาท 3.นายเจริญ สิริวัฒนภักดี บริษัทสุรา 97,000 ล้าน 4.กฤตย์ รัตนรักษ์ ทีวีช่อง 7กับธนาคารกรุงศรี 4 หมื่นล้าน, บริษัทเบียร์สิงห์ 3.3 หมื่นล้าน, น้ำตาลมิตรผล 3 หมื่นล้านบาท, ไทยรัฐ 3.2 หมื่นล้านบาท, ช่อง 3 มีทรัพย์สิน 2.2 หมื่นล้าน, บริษัท แลนแอนด์เฮ้าส์ 1.6 หมื่นล้าน, บริษัทไทยซัมมิตร 1.4 หมื่นล้านบาท , พ.ต.ท.ทักษิณ 1.4 หมื่นล้านบาท, ในนี้มีนายวิชัย รักศรีอักษร บริษัทคิงพาวเวอร์ มีทรัพย์สิน 6 พันล้านบาท จากไม่มีอันดับกระโดดพรวดขึ้นมาเป็นอันดับที่ 27 จากการได้สัมปทานสุวรรณภูมิและคิงเพาเวอร์ กลุ่มขุนนางนักการเมืองและกลุ่มทุนธุรกิจการเมือง คนกลุ่มนี้เป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไทยในการบริหารบ้านเมือง
และ (3.กลุ่มที่เลวที่สุด คือ ขุนนางข้าราชการ ขุนศึกที่ทรยศชาติประชาชน รับใช้กลุ่มทุนทั้งสองนี้ ประเทศไทยจึงมีภูเขาสามลูกที่กดทับหัวอยู่ ต่อให้มีการเลือกตั้งอีกกี่ชาติ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงปฏิรูปสังคม เราก็จะได้นักโกงบ้านกินเมือง นายทุนเอาเปรียบสังคม
นายประพันธ์กล่าวถึงตำรวจ ทหาร ข้าราชการว่า ที่คุณมาเจ็บมาตาย ขับไล่พี่น้องประชาชน คุณทำเพื่อปกป้องใคร รักษาผลประโยชน์ใคร มาทำร้ายประชาชนเพื่อเป้าหมายใด ที่ประชาชนมาชุมนุมเขามาเพื่อคนไทยทั้งประเทศ หากนักการเมืองชั่วหมด ผลประโยชน์ก็ตกกับประชาชนถ้วนหน้า
“เราจึงต้องหาทางล้างระบอบ เลือกตั้งให้คนชั่วมาปกครองบ้านเมือง ชาติของเราถึงจะอยู่รอด หากตนยังไม่ตายยังมีลมหายใจอยู่ จะหาทางต่อสู้อย่างถึงที่สุด เพื่อล้างนักการเมืองชั่วให้หมดจากแผ่นดินให้ได้ หากพี่น้องเห็นด้วยแล้ว เมื่อไรที่มีขบวนการต่อสู้ เพื่อกวาดล้างความสกปรกของบ้านเมือง เราต้องยืนหยัดออกมาต่อสู้ด้วยกัน” นายประพันธ์กล่าวทิ้งท้าย
คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย
“สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องทางบ้าน และที่อยู่ต่างประเทศทุกท่าน ขอเสียงปรบมือทักทายพี่น้องเราทั่วประเทศและทั่วโลกด้วยครับ
พี่น้องที่เคารพรักครับ ทราบว่าวันนี้พ่อแม่พี่น้องมากันเยอะมาก และเราก็ยังไม่ได้เป่านกหวีดเลย ไม่รู้ว่าทำไมมากันโดยมิได้นัดหมาย เพราะอะไรครับ กลัวตำรวจจะมาสลายเราใช่ไหมครับพี่น้อง พันธมิตรฯ นี่เป็นคนที่รู้งาน รู้หน้าที่ รู้สถานการณ์จริงๆ เลย
พี่น้องครับ ขอป้ายเอาเฉพาะที่เพิ่งมาได้ไหมครับ ที่มาวันนี้เพราะรู้ข่าวว่าตำรวจหรือเจ้าหน้าที่จะมาสลายเรา ก็เลยมากันในวันนี้ มีที่ไหนบ้างครับ พันธมิตรฯ สุรินทร์ ชะอำ ภูเก็ต ท่ายาง เชียงใหม่ เอ๊ะ ผมว่ามาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ เอาเฉพาะที่มาวันนี้ ที่มาสมทบใหม่ๆ ที่มาแล้วอย่าเพิ่งยกได้ไหมครับ ใครเพิ่งมาวันนี้ พันธมิตรฯ นาเกลือ ร่อนพิบูลย์ นครศรีธรรมราช อยุธยา ชุมพร ลำปาง ชัยภูมิบ้านผมก็มาเหมือนกัน ลูกพระเจ้าตาก ราชบุรี ชัยนาท ป่าละอู หัวหิน ปรบมือให้กับพี่น้องเราที่เพิ่งมา และมาร่วมสมทบกับพวกเราด้วย
ก่อนอื่นต้องขอบคุณ นี่ใครบอกว่าฝากให้คุณประพันธ์ จากแฟนที่ดูคุณประพันธ์ทุกวัน นี่ส่งดอกกุหลาบมาไม่รู้ใคร อยู่หน้าเวทีหรือเปล่าครับ กลัวผมหมดกำลังใจเหรอ ไม่ กำลังใจดีอยู่ แต่ก็ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ส่งดอกกุหลาบมาให้ และวันนี้ก่อนจะพูดคุยกันในเรื่องอื่นๆ ขอแจ้งข่าวดี มีพี่น้องคนไทยแต่สัญชาติญี่ปุ่น เชื่อไหมครับคนไทยสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งท่านผู้นี้ท่านอยู่เมืองไทยมาไม่น้อยกว่า 20 กว่าปี แล้วก็แต่งงานกับคนไทย สามีทำธุรกิจรับเหมา และทำงานอยู่ในวงการโทรคมนาคม เธอเคยเป็นไกด์ เป็นมัคคุเทศก์ พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่ปราสาทพระวิหาร ได้เห็นปัญหาของไทย-กัมพูชาวันนี้แล้ว เธอเศร้าใจมาก แต่ที่เศร้าใจที่สุดก็คือเธอเศร้าใจว่า ทำไมคนญี่ปุ่นที่เป็นตัวแทนของยูเนสโกคนหนึ่ง มาแสดง วิ่งเต้นเจ้ากี้เจ้าการในการที่จะให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก และเธอเป็นคนญี่ปุ่นสัญชาติไทยนะครับ เธอรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนายญี่ปุ่นคนนี้เธอรู้จัก มันต้องการมาหากินบนชายแดนปราสาทพระวิหาร เพราะต้องการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเปิดบ่อนกาสิโนครับ
เธอดูการชุมนุมและติดตาม ASTV ทุกวัน สามารถด่าคนญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยได้ฉอดๆๆ เลยว่า ไอ้เลว และคนขายชาติ ทนไม่ได้ และต้องการให้กำลังใจ เธอให้สามีเอาเช็กมามอบให้เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ของพวกเราเป็นเงินทั้งสิ้น 10,000 บาท ต้องปรบมือให้กับคนไทยและคนญี่ปุ่นสัญชาติไทย ที่มีใจรักชาติและมีความเป็นธรรม เธอยังพูดเลยว่า ที่ประเทศญี่ปุ่นเกิดสึนามิ และประชาชนต้องประสบภัยพิบัติ เสียหายอย่างมากมายนั้น อาจจะเป็นเพราะกรรมเวรที่คนญี่ปุ่นคนหนึ่งที่มาเป็นตัวแทนยูเนสโก แล้วจะมาเอาแผ่นดินไทยไปนี่ล่ะ มันก็เลยทำให้คนญี่ปุ่นต้องได้รับเคราะห์กรรมจากสึนามิ ดูนี่ เธอเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงครับ อาจจะเป็นเพราะว่าคนญี่ปุ่นจัญไรคนนี้ ที่มาเจ้ากี้เจ้าการ
พี่น้องครับ ก่อนที่ผมอยากจะพูดคุยกับพี่น้อง ผมคิดว่าวันนี้ได้ดูผลสำรวจของเอแบคโพลล์แล้ว ผมคิดว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะพูดคุยกับพี่น้อง แต่ว่าผมมีเรื่องสำคัญมากกว่านั้นที่จะคุยกับท่าน ผลสำรวจโพลที่ผมอยากจะคุยกับท่านก็คือว่า พี่น้องครับ เขาเผยผลสำรวจเรื่องการตัดสินใจของประชาชน ว่าเมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง พบว่าประชาชนจะเลือกอะไร เขาบอกว่าประชาชน 51.7 เปอร์เซ็นต์ จะเลือกไปทำบุญมากกว่าไปเลือกตั้ง 48.3 เปอร์เซ็นต์ บอกเลือกจะไปทำทานมากกว่าจะไปเลือกตั้ง
ส่วนการบริจาค ถ้าหากจะบริจาค เขาบอกว่าบริจาคให้คนไทยไร้ญาติ กับบริจาคให้นักการเมืองนั้น ปรากฏว่า มีคนบริจาค 97 เปอร์เซ็นต์ เขายินดีที่จะบริจาคให้คนไทยที่ไร้ญาติมากกว่าที่จะบริจาคให้นักการเมือง มี 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ยินดีจะบริจาคให้นักการเมือง เห็นหรือยังว่านักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยง
ทีนี้ให้เลือกระหว่างโต๊ะจีนงานวัด กับโต๊ะจีนที่จะระดมทุนเข้าพรรค 95.8 เปอร์เซ็นต์ เขาบอกว่ายินดีจะสนับสนุนโต๊ะจีนงานวัดมากกว่าที่จะไปเลือกโต๊ะจีนพรรคการเมือง โต๊ะจีนพรรคการเมือง 4.2 เปอร์เซ็นต์
ไอ้ที่บอกว่าให้เลือกระหว่างประชาธิปไตย กับปฏิวัติ เขาบอกว่าถ้าให้เลือกระหว่างประชาธิปไตย กับปฏิวัติ เขาบอกว่าเขาเลือกประชาธิปไตย 96 เปอร์เซ็นต์ ผมก็คิดว่านี่เป็นเรื่องจริง ประชาชนอยากจะเลือกประชาธิปไตยมากกว่า แต่ผมก็มี Question ต่อไปอีก แล้วที่เลือกอยู่ทุกวันนี้ ถ้ามันไม่ใช่ประชาธิปไตย ก็คือสิ่งที่เขาไม่ต้องการเลือกใช่ไหมครับ เพราะที่เลือกอยู่ทุกวันนี้มันเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม แต่ถ้าเลือกได้ ประชาชนก็คงอยากจะเลือกประชาธิปไตยที่แท้จริง ใช่ไหมครับ
ส่วนเรื่องระหว่างความสามารถของนักการเมืองกับความหล่อ อันนี้ไม่ต้องไปถามหรอก หล่อแหลกไม่ได้ ประชาชนเขาไม่เลือกอยู่แล้ว หล่อทำงานไม่เป็น หล่อตอแหล หล่ออำมหิต หล่อไร้สาระ ประชาชนเขาไม่เลือกอยู่แล้ว 98.6 เปอร์เซ็นต์ เขาต้องเลือกความสามารถ แต่ปัญหาก็คือว่า แล้วไอ้โจร 500 มันมีใครบ้างที่มีความสามารถ เลือกไปมันก็ได้คนที่ตอแหลและไร้ความสามารถอยู่ดี เพราะไม่ว่าจะหยิบใครขึ้นมา มันก็หาคนที่มีความสามารถไม่ได้ เพราะเมื่อเลือกขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องมารับใช้พรรคและพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น ความสามารถที่มีอยู่ก็ไม่ได้เอามาใช้กับการรับใช้ประชาชน บริหารประเทศชาติ และป้องกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน อันนี้มันจึงเป็นปัญหาว่า ถ้าประชาชนเลือกได้ ก็คงอยากจะเลือกคนดีที่มีความสามารถแน่นอนครับ
ทีนี้ ระหว่างความร่ำรวยกับความซื่อสัตย์ ความดี ความมีคุณธรรมทางการเมือง จะเลือกอะไร ก็แน่นอนประชาชน 76.7 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องเลือกความดี ความซื่อสัตย์ แต่ปัญหาว่า ไอ้โจร 500 ที่มาให้ประชาชนเลือก มีสักตัวไหมที่มันมีความดีและความซื่อสัตย์ เพราะไม่ว่าไปหยิบใครขึ้นมาเป็นนายกฯ เลือกใครมา มันก็คือโจร 500 อยู่ดี
พอถามเรื่องการจะเลือกพรรค พี่น้องรู้ไหม วันนี้เห็นไหม หลังจากฟังเวทีปราศรัยของพวกเราแล้ว 58.6 เปอร์เซ็นต์ ประชาชนไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใดเลย ยังไม่ตัดสินใจที่จะเลือกพรรคใดเลยครับ นี่มันเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นแล้วว่าพรรคไหนมันก็เอี้ยๆๆ เหมือนกันหมด ไม่มีประโยชน์เลย นี่แสดงว่าประชาชนมีพัฒนาการทางการเมืองที่เข้าใจปัญหาการเมืองได้ก้าวหน้าขึ้น ไอ้ที่บอกว่า 17.5 เปอร์เซ็นต์ 16.2 เปอร์เซ็นต์ เลือกประชาธิปัตย์ กับเพื่อไทยนั้น มันก็คงจะเป็นประเภทแฟนพันธุ์แท้ หรือสมาชิกของเขา ซึ่ง 10 กว่าเปอร์เซ็นต์นั้น ก็แสดงว่าเป็นคนแค่หยิบมือเดียว คนส่วนใหญ่ที่สุดของประเทศ ไม่เลือกพรรคไหนเลยครับ
นี่ก็คงเป็นภาพสะท้อนที่จะชี้ให้เห็นว่า วันนี้การเมืองของประเทศไทยนั้นมันน่าจะมาถึงทางตัน มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ มาถึงจุดเปลี่ยนของประเทศที่สำคัญแล้วครับ ว่าเราจะเลือกไปทางไหน แล้วเราจะเดินไปทางใด เพราะฉะนั้นวันนี้เรื่องที่อยากจะพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน เพราะผมเห็นว่าพี่น้องประชาชนมากันมากวันนี้ และผมก็ไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะยังเหลือเวทีตรงนี้ให้ผมได้มาพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนหรือไม่ เพราะทราบว่าเขาได้ระดมกำลังตำรวจทั่วประเทศ เตรียมที่จะมาสลาย รื้อเวทีของพวกเราแล้วครับ แล้วพรุ่งนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าผมจะมีโอกาสได้มายืนพูดตรงนี้หรือเปล่า
ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นครับ ทำไมคนที่จะพูดความจริง พูดเพื่อผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง พูดเพื่อปกป้องแผ่นดิน พูดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน จึงไม่สามารถที่จะพูดได้บนแผ่นดินนี้ แต่ไอ้คนที่พูดจาโกหกตอแหล ตระบัดสัตย์ไปวันๆ มันสามารถใช้เวทีทีวีของพี่น้องประชาชน เงินภาษีของประชาชน ตอแหลได้ทุกวันๆ ละ 3-4 เวลา
ทำไมประเทศนี้คนชั่ว คนเลว คนโกง นักการเมืองประเภทโจร 500 จึงสามารถใส่สูทผูกไท ยืนพูดจาโกหกตอแหลโป้ปดมดเท็จกับพี่น้องประชาชน ใช้เงินและผลาญเงินภาษีของประชาชนได้ทุกวัน เรามาชุมนุมด้วยเงินภาษี ด้วยเงินบริจาคของพวกเรา เพื่อจะพูดความจริงกับพี่น้องประชาชน มันกำลังจะไปเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กินเงินภาษีของประชาชน มารื้อ มาไล่ มาล้มเวทีของพี่น้องประชาชน
ทำไมประเทศของเรามันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเมื่อไรเราจะสิ้นสุดยุคแห่งความอัปยศอดสูนี้เสียที ผมไม่รู้อีกนานเท่าไร ที่ประเทศไทยจะหมดจากคนชั่วครองเมืองเสียที
ประเทศไทยของเรา จริงๆ แล้วถ้าจะไล่ประวัติศาสตร์ แผ่นดินไทยที่อยู่กันมาตรงนี้ ประวัติศาสตร์ของชาติไทยอยู่กันมาไม่น้อยกว่า 20,000 ปีมาแล้วนะครับ ไม่ใช่ว่าเราอพยพมาจากที่ไหน ถ้าดูร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดูซากไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ ซากปรักหักพัง ดูสิ่งปลูกสร้าง ดูวัตถุโบราณที่ขุดค้นพบ ดูซากกระดูก ดูประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ร่องรอยอารยธรรมที่อยู่ที่นี่ ดินแดนแห่งนี้เราอยู่กันมาไม่น้อยกว่า 2-3 หมื่นปีแล้ว แล้วประเทศไทยก็ผ่านยุคสมัยมา ถ้าไล่มาถึงปัจจุบันนี้ เราก็ผ่านยุคสมัยอาณาจักรมาไม่น้อยกว่า 5 อาณาจักร ไล่มาตั้งแต่ยุคทวารวดี ศรีวิชัย มาลพบุรี สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ กินเวลาไม่น้อยกว่าเป็นพันๆ ปีแล้วที่ประเทศไทยเราตั้งมา
วันนี้ผมจึงอยากจะเปิดหัวใจพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องว่า เราจะต้องมาเปิดหัวใจคุยกันว่า ชาติของเรา บ้านเมืองของเรานั้น จะก้าวไปทางไหน แล้วถ้าเรายังจมอยู่กับระบอบการเมืองที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ อนาคตของบ้านเมืองของเราจะเป็นอย่างไร ความจริง ความดี ความถูกต้อง มันจะอยู่ในแผ่นดินนี้ได้หรือไม่ หรือแผ่นดินนี้มันจะต้องมีแต่ความชั่ว ความเลว คนคดในข้อ คนงอในกระดูก คนโกง คนทุจริตเท่านั้น ที่จะมีอำนาจปกครองคนไทย คนไทยมันโง่ บ้าใบ้หมดแล้วรึ? จึงยอมคนชั่ว คนเลว และไม่ยอมลุกขึ้นมา นี่คือเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองเราครับพี่น้อง
ถ้าดูประเทศไทยของเรา พี่น้องครับ ประเทศไทยของเราตั้งอยู่คาบสมุทรอินโดจีน ทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขนาดของประเทศเราไม่ได้เป็นประเทศเล็ก ในโลกที่มีประเทศ 100 กว่าประเทศ เกือบ 200 ประเทศ ประเทศไทยอยู่อันดับไหนพี่น้องรู้มั้ย เราอยู่ในประเทศที่มีขนาดใหญ่โตเป็นอันดับ 50 ของโลกนะครับ พี่น้องเราไม่ใช่ประเทศขี้ไก่นะ มีเนื้อที่ตั้ง 513,115 ตารางกิโลเมตร นี่กำลังจะเสียไป 4.6 ตารางกิโลเมตร เรามีประชากรอยู่อันดับไหนของโลก เราอยู่อันดับที่ 20 ของโลก เรามีพลเมืองและประชากร 66 ล้านคนแล้ว ขณะนี้ เราไม่ได้เป็นประเทศเล็ก
เรามีอาณาเขตดินแดน ทางตะวันออกเราจดลาว จดกัมพูชา ทางใต้เราจดมาเลเซีย เรามีทะเลอาณาเขตอ่าวไทย มีทรัพยากรในทะเลอุดมสมบูรณ์ ทางตะวันตกเราติดพม่า ติดทะเลอันดามัน เราก็มีทะเล และก็มีทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์ ทางเหนือเราติดพม่า ติดลาว มีแม่น้ำสายใหญ่ที่เป็นแม่น้ำของโลก คือแม่น้ำโขง เป็นอาณาเขต มีทรัพยากร มีปลาในน้ำ มีแหล่งพลังงาน มีแหล่งทรัพย์ในดินสินในน้ำมหาศาล เราไม่ได้เป็นประเทศที่ยากจน และประชาชนเราไม่ควรจะตกอยู่ในสถานะแบบนี้
นอกจากนี้ เศรษฐกิจของประเทศเรา พี่น้องรู้ไหมว่าประเทศเราเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ ตั้งแต่เรายุคสุโขทัย อยุธยา มากรุงรัตนโกสินทร์ ที่เราสร้างบ้านสร้างเมืองมา บรรพบุรุษ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ บูรพมหากษัตริย์ได้สร้างบ้านสร้างเมืองมา จนกระทั่งย้ายจากอยุธยามาตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ 200 กว่าปีแล้ว ถ้ารวมอยุธยา 400 กว่าปี ย้อนไปสุโขทัยเป็นพันปี ประเทศไทยยังไม่เคยตกต่ำเหมือนประเทศไทยปัจจุบัน ภายใต้น้ำมือและการปกครองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลยครับ
เรามีความผาสุก มีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ ที่ผมอยากจะชวนพี่น้องพูดคุย พี่น้องตามผมมาว่าผมจะพูดอะไรในวันนี้ ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านอุตสาหกรรม เราก็มีความเจริญ กำลังจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของโลก เรามีการส่งออกติดลำดับสูง อยู่ในลำดับ 33 ของโลก ปีหนึ่งเราส่งออก 260,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นะครับ ไม่ใช่ 260,000 ล้านบาทไทย คูณ 33 บาทเข้าไปอีก ก็ไม่น้อยกว่า 6 ล้านล้านบาทแล้ว ปีหนึ่ๆ เราส่งออก เรามีรายได้มหาศาล
ถามว่าทำไมคนไทยมันถึงยังยากจน เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟัง ประเทศไทยเรามีพลเมืองและมีมนุษย์อยู่ในแผ่นดินนี้ เป็นประวัติศาสตร์มาไม่น้อยกว่า 5 แสนปีแล้วนะ มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินไทย เราเจริญและมีประวัติศาสตร์ต่อเนื่อง และยุคที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด ก็แน่นอนครับยุคกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระนเรศวร ไล่มาจนกระทั่งถึงยุคสมเด็จพระเจ้าตากสิน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่เราสร้างบ้านสร้างเมืองมา
มาถึงยุคที่สำคัญที่สุด ก็คือปี 2475 เราเป็นยุคสุดท้ายที่เราเลิกการปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองแผ่นดิน 2475 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยการนำของคณะราษฎร์ 2475 เราเริ่มมีประชาธิปไตย มีการเมือง มีการเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญ รัชกาลที่ 7 ก็ยินยอมที่จะสละอำนาจที่มีมาแต่เดิมตั้งแต่ยุคพระมหากษัตริย์ปกครองบ้านเมือง โดยยอมสละอำนาจที่มีมาแต่เดิมนี้ โดยตั้งใจที่จะสละอำนาจนั้นให้กับประชาราษฎร ไม่ได้ประสงค์ที่จะสละอำนาจให้กับกลุ่มบุคคลใด คณะใด เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยไม่ฟังเสียงของประชาราษฎร
นี่คือความตั้งใจดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เมื่อเห็นว่าบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลง โลกยุคสมัยมีการพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลง ราษฎรประชาชนไทยอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ท่านก็ทรงเล็งเห็นและยินยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงนั้น โดยประเทศไทยมิได้เปลี่ยนแปลงโดยเสียเลือดเนื้อเหมือนอย่างประเทศอื่นๆ นี่ก็ต้องนับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่ยอมให้บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา มาด้วยเจตนารมณ์ที่จะเห็นว่าคณะราษฎร์อยากจะนำระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ มาใช้กับการเมืองการปกครองของประเทศ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศไทย ให้อำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ประชาธิปไตยก็คือการเมืองเพื่อประชาชน โดยประชาชน และเป็นของประชาชน
แต่พี่น้องครับ โดยความเป็นจริงนั้น ตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ปรากฏว่าการเมืองการปกครองของประเทศนั้น มันได้ตกมาอยู่ในกำมือของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ครับพี่น้อง มันไม่ได้ตกมาอยู่กำมือของพี่น้องประชาชนไทยเลยแม้แต่น้อยครับ ยุคมาแรกๆ ก็ตกอยู่ในกำมือของเหล่าบรรดาขุนนาง ขุนศึก นายทหาร และขุนนางศักดินา ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันปกครองบ้านเมือง แต่กระไรก็ตาม แม้จะปกครองบ้านเมืองด้วยการปกครองด้วยขุนนางศักดินา และเหล่าทหาร ขุนศึก แต่ประเทศชาติบ้านเมืองก็ยังไม่วินาศฉิบหายล่มจม คนเหล่านั้นก็ยังมีความรักชาติ รักบ้านเมือง แม้จะโกง แม้จะกิน ก็ยังคำนึงถึงชาติบ้านเมือง และไม่ละโมบโลภมากโคตรโกงอย่างทุกวันนี้
แต่กระนั้นก็ดี เมื่อระบอบประชาธิปไตยมันไม่ได้ตกถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนไทยโดยเฉพาะในยุคที่บ้านเมืองผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันปกครองด้วยทหาร เผด็จการ และเหล่าบรรดานายทุน ขุนนาง ศักดินา ที่กดขี่ข่มเหง และปกครองใช้อำนาจอยู่เหนือหัวประชาชน ประชาชนก็ได้ลุกขึ้นสู้และเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องให้ระบอบประชาธิปไตยกลับมาหาประชาชนอย่างแท้จริง พวกเรา และพวกผม เคยสู้มาแล้ว ผมเกิดไม่ทัน 2475 แต่ผมเกิดทัน 14 ตุลาฯ 2516 เราสู้ เราเจ็บ เราตาย ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ก็เพื่อจะล้มล้างระบอบการเมืองที่ปกครองด้วยเผด็จการทหาร และเหล่าบรรดานายทุน ขุนศึก ศักดินา ที่กดขี่ขูดรีดเอาเปรียบพี่น้องประชาชน ร่วมกับเผด็จการทหาร
แล้วเราก็ได้รัฐธรรมนูญมาเมื่อปี 2516-17-18 17 มีสภานิติบัญญัติ 18 ก็มีรัฐธรรมนูญ เราก็ได้ท่านนายกฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี พี่น้องครับ ตอนนี้ล่ะบ้านเมืองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการทหารที่เคยมีอำนาจอยู่แต่ดั้งเดิม เหล่าบรรดานายทุนขุนศึกที่ในอดีต นายทุนใครอยากจะทำมาหากิน อยากจะได้สัมปทานตัดไม้ อยากจะได้สัมปทานเหมืองแร่ อยากจะได้สัมปทานเดินรถ อยากจะได้สัมปทานการเดินเรือ อยากจะได้ทำธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรมใดๆ ก็มักจะไปวิ่งเต้นกับบรรดานายทหารผู้มีอำนาจในยุคสมัยนั้นๆ
ต่อมา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้เมื่อปี 2518 ด้วยการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ พวกเราก็หวังว่าบ้านเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางระบอบประชาธิปไตยที่มีการเมืองโดยระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจตกมาถึงประชาชน เราจะได้มีการเลือกตั้งและมีตัวแทนของประชาชนไปเป็นปากเป็นเสียง เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย
ยุคนี้ล่ะครับ จึงได้เกิดอำนาจของนักการเมืองขึ้นมา พี่น้องตามผมมาให้ดี เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าบ้านเมืองตอนนี้มันตกอยู่ในยุคดำมืดอย่างไร
พี่น้องครับ พอมีการเลือกตั้ง มีการได้ตั้งพรรคการเมือง จึงได้เกิดพรรคการเมืองขึ้นมาเป็นดอกเห็ดหลัง 14 ตุลาคม พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาก็ได้แก่พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคธรรมสังคม พรรคเกษตรสังคม เหล่านี้เป็นต้น รวมทั้งพรรคพลังใหม่ พรรคสังคมนิยม พรรคแนวร่วมสังคมนิยม ก็เกิดพรรคการเมืองและมีตัวแทนของประชาชนเข้ามามีการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งในยุคนั้นก็ยังไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงมากเหมือนกับยุคนี้ แต่ก็ได้มีรัฐบาลที่มาจากนักการเมือง มาจากพลเมือง มาจากประชาชน
พี่น้องครับ หลังจากยุคนี้ล่ะ มันทำให้เกิดคนที่เริ่มมาเป็น ที่ปัจจุบันผมอยากจะเรียกว่ามันเป็นนายทุนขุนนางนักการเมือง
ผลิตผลของการเกิดขึ้นของการเมืองนั้น ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2518 มันทำให้เกิดกลุ่มไหน มันทำให้เกิดคนแบบนี้ มันทำให้เกิดกลุ่มการเมืองที่เรียกว่ากลุ่มราชครู กลุ่มราชครูก็ประกอบไปด้วย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้ากลุ่มราชครู พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร พล.อ.ศิริ ศิริโยธิน กลุ่มนี้เขาเรียกกลุ่มซอยราชครู มีพรรคการเมืองของตนเองตั้งขึ้นมาชื่อว่าพรรคชาติไทย
แล้วคนที่เข้าไปอยู่พรรคชาติไทยก็คือ นายเสนาะ เทียนทอง นายทวิช กลิ่นประทุม นายวัฒนา อัศวเหม นายบรรหาร ศิลปอาชา คนพวกนี้ล่ะครับคือคนที่เข้าไปอยู่ในกลุ่มการเมืองนี้ หลังจากนั้นก็จะมีกลุ่มการเมืองอีกพรรคหนึ่ง คือพรรคประชาธิปัตย์ ยุคนั้นหัวหน้าพรรคคือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ต่อมาก็คือนายพิชัย รัตตกุล พ.อ.ถนัด คอมันตร์ ก็เคยเป็นหัวหน้าพรรค และมาจนถึงนายชวน หลีกภัย และไล่มาจนถึงปัจจุบัน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พรรคกิจสังคมก็มีหัวหน้าพรรค ชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พล.อ.อ.สิทธิ์ เศวตศิลา ไล่มาจนกระทั่งถึงมนตรี พงษ์พานิช พรรคเกษตรสังคม ก็มีนายเศวต เปี่ยมพงษ์สานต์ และก็มีคนอื่นๆ ต่อมากลุ่มพรรคชาติไทย ก็แตกไปเป็นพรรคอื่น ก็มีกลุ่มนายทวิช กลิ่นประทุม พรรคธรรมสังคม กลุ่มนายวัฒนา อัศวเหม ก็ไปตั้งพรรคของตัวเอง ชื่อพรรคราษฎร มี พล.อ.เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ เหล่านี้เป็นต้น ไปร่วมงานทางการเมืองกัน
พี่น้องครับในยุคสมัยนี้ล่ะครับ มันทำให้เกิดนักการเมืองกลุ่มหนึ่งขึ้นมา และพวกนี้ วันนี้ ได้พัฒนามาเป็นนายทุนขุนนางนักการเมืองที่มีอำนาจปกครองบ้านเมืองอยู่ในปัจจุบันนี้
พี่น้องรู้มั้ยครับ ด้วยระบอบการเมืองและการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ที่มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งมาโดยลำดับนี้ นักการเมืองชอบมาก และพวกเราก็หลงเคลิ้มไปว่ามันจะเป็นประชาธิปไตย มันจะมาดูแลรักษาผลประโยชน์ของปวงชนชาวไทย มันจะทำให้ประชาชนไทยมีสิทธิเสรีภาพ มีความสุข มีความเจริญ มีความสงบสุขในบ้านเมือง แต่ปรากฏว่าเป็นอย่างไรครับ ในยุคสมัยตั้งแต่ 14 ตุลาคม ใหม่ๆ นายบรรหาร ศิลปอาชา เพิ่งเข้ามาเป็นนักการเมืองใหม่ๆ มีเงินกี่ล้าน นายเสนาะ เทียนทอง แต่ก่อนมีเงินเท่าไร พล.อ.ชาติชาย เมื่อก่อนรวยเท่าไร พล.อ.ชวลิต ปลดเกษียณจาก ผบ.ทบ.มีเงินเท่าไร มีฐานะเท่าไร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แต่ก่อนเป็นอย่างไร นายชัย ชิดชอบ เมื่อก่อนเป็นอย่างไร อาจจะมีสัมปทานโรงโม่หินที่บุรีรัมย์ เป็นพ่อค้า นายทุนในระดับท้องถิ่น นายทวิช กลิ่นประทุม นายวัฒนา อัศวเหม แต่ก่อนมีความร่ำรวยเท่าไร นายมนตรี พงษ์พานิช เมื่อก่อนมีฐานะเท่าไรที่ จ.อยุธยา
นายประมวล สภาวสุ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พวกเหล่านี้เมื่อก่อนฐานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร แต่ภายใต้การเมืองที่มีการเลือกตั้ง 20-30 ปีที่ผ่านมานี้ พี่น้องครับ คนพวกนี้ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีของประเทศไทยไปหมดเลยครับ
พี่น้องครับ ถ้าการเมืองมันดี ทำไมยิ่งมีการเมือง มีการเลือกตั้ง นักการเมืองถึงต้องรวยเอาๆ เป็นมหาเศรษฐี วันนี้ไม่เพียงกลุ่มที่ผมเอ่ยชื่อมาเท่านั้น ยังมีนายประจวบ ไชยสาส์น มี พ.ต.ท.ทักษิณ มีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล แม้กระทั่งไตรรงค์ สุวรรณคีรี ถาวร เสนเนียม อภิรักษ์ โกษะโยธิน ไพฑูรย์ แก้วทอง ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ แต่ละคนร่ำรวยเป็นพันๆ หมื่นล้าน ทุกคนครับ นักการเมืองไทย บางคนรวยเกือบจะเหยียบแสนล้าน นี่คือกลุ่มนายทุนขุนนางกลุ่มใหม่ ยิ่งมีการเมือง ยิ่งมีการเลือกตั้ง ประเทศไทยยิ่งทำให้เกิดบรรดานายทุนขุนนาง นักการเมือง นักเลือกตั้ง มาแทนบรรดาขุนนางศักดินาไปแล้ว
พี่น้องครับ วันนี้ประเทศไทยจะเกิดเศรษฐีใหม่ 3 พวก พวกหนึ่งคือบรรดาพวกนักการเมือง เวลานี้นักการเมืองที่ร่ำรวยเป็นหมื่นๆ ล้าน มีไม่น้อยกว่า 50-100 คน นี่ผมเอาความจริงมาบอกพี่น้อง เพื่อจะชี้ให้พี่น้องเห็นว่า ยิ่งเลือกตั้งก็ยิ่งได้นักโกงบ้านกินเมืองเข้ามาปกครองบ้านเมือง ยิ่งเลือกตั้งยิ่งมีนักปล้นชาติ ปล้นบ้านปล้นเมือง มาปกครองบ้านเมือง นักการเมืองมีแต่จะร่ำรวยขึ้นทุกวัน มันถึงอยากให้มีการเลือกตั้ง
เพราะอะไรครับ เพราะการเลือกตั้งสามารถทำให้นายทุน ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น และพวกโจร 500 นี้ สามารถชุบตัวเองกลายไปเป็นขุนนาง ไปเป็นเสนาบดี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ทั้งๆ ที่เคยเป็นโจร เป็นกุ๊ย ค้าของเถื่อน คุมซ่อง คุมบ่อน ปล้น หากินขูดรีดประชาชน บางคนเป็นตำรวจโจร ก็มาได้ดีมีเงินเป็นพันๆ ล้าน
ทำไมมันจะไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง ผมถึงบอกว่านายอภิสิทธิ์ ที่คุณมาชื่นชมระบอบการเลือกตั้ง ถ้าไม่เอาระบอบการเลือกตั้ง จะเอาระบอบอะไร ก็ระบอบเลือกตั้งมันเฮงซวยอย่างนี้ ประชาชนก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธใช่มั้ยครับ
นี่ไงครับ ผลโพลวันนี้มันถึงออกมาอย่างนี้ ว่ายิ่งเลือกตั้ง ประเทศยิ่งฉิบหาย ทีนี้มันฉิบหายจากอะไร นักการเมืองหากินจากอะไร มันก็มาหากินจากการโกงการทุจริตเงินงบประมาณ ภาษีของแผ่นดิน อันเป็นเงินภาษีของพี่น้องทุกคนที่อยู่ที่นี่และที่อยู่ทั่วประเทศ
งบประมาณแผ่นดินปีละ 1.2 ล้าน 1.5 ล้าน 1.8 ล้าน ปีนี้งบประมาณ 2.25 ล้านล้านบาท มันโกงไปไม่ต่ำกว่า 30-50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคิด 30 เปอร์เซ็นต์ 1 ล้านล้านของงบประมาณ มันก็ฟาดไปตั้ง 6 แสนล้านแล้ว ถ้า 2 ล้านของงบประมาณ มันก็โกงไปตั้ง 1.2 ล้านล้านบาท แล้ว ประเทศไทยมันจะไม่ฉิบหายได้ยังไง
ทีนี้กลุ่มที่ 2 ภายใต้การเมือง การเลือกตั้งโดยระบอบนี้ พี่น้องรู้มั้ยมันทำให้เกิดเศรษฐี นายทุน ผู้มีอำนาจผูกขาดเศรษฐกิจของประเทศเกิดขึ้น พี่น้องหันมาดูนะครับว่า เราปกครองประเทศ เปลี่ยนแปลงประเทศมาตั้งแต่ 2475 ได้เกิดกลุ่มนายทุนขุนนางนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง ที่ปล้นเอาผลประโยชน์ของชาติมากองรวมอยู่ที่ตัวคนพวกนี้หมด ประชาชนในประเทศมันถึงยากจน คนอื่นที่ไม่มีอำนาจทางการเมืองไม่มีโอกาสที่จะมาทำมาหากินอย่างพวกนี้ได้
ทีนี้พี่น้องหันมาดูลำดับความร่ำรวยของเศรษฐีประเทศไทย ถ้าพี่น้องจะดูอันดับเศรษฐีของประเทศไทย เอาแค่ 3 คน ก็คือ 1. คุณเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดง 2. คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ ซี.พี. 3. บริษัทสุราของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี 3 คนนี้ก็ร่ำรวยเป็นรวมกันหลายแสนล้านแล้วครับ
คุณธนินทร์อยู่ในอันดับโลก อยู่ในอันดับที่ 152 ของโลก คุณเฉลียว อยู่วิทยา อยู่ลำดับที่ 208 คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี อยู่ลำดับที่ 247 ของโลก 3 คนนี้ คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ มีมูลค่าทรัพย์สินเท่าที่เขาเปิดเผย นี่ไม่นับรวมทรัพย์สินที่ซุกอยู่โดยไม่เปิดเผย มีทรัพย์สินอยู่ทั้งสิ้น 6.5 พันล้านดอลลาร์ ถ้าคูณด้วย 33 บาท คูณ 30 ก็คือ 19,009 ล้านล้านบาท คุณเฉลียว อยู่วิทยา อยู่ลำดับที่ 208 นี่ 5,000 ล้าน ถ้าคูณ 30 ก็คือ 15,000 ล้าน คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี 4.3 พันล้านดอลลาร์ ถ้าคูณตัวเลขแค่ 30 ก็ 12,000 ล้าน อันนี้เท่าที่เปิดเผยนะครับ รวมกันก็ประมาณแสนล้านแล้ว
ถ้าเราจะมาดูลำดับเศรษฐีของเมืองไทย 40 คน ที่ผมอยากให้พี่น้องดู จะได้เห็นว่าคนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจในทางการเมืองมาเอื้อประโยชน์ให้ตนเองทั้งนั้น ไม่มีใครรวยโดยไม่อาศัยอำนาจรัฐ และอำนาจทางการเมืองมาเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง
ทีนี้มาดู 40 ตระกูลเศรษฐีไทย แล้วเราจะได้รู้ว่า ไอ้ที่เราสู้เพื่อจะปกป้องแผ่นดิน ถ้าชาติเจริญมั่นคง คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือคนพวกนี้ ทหารที่ไปเจ็บ ไปตาย ไปรบ ก็ปกป้องประเทศไว้ให้คนพวกนี้ ไม่ได้ปกป้องให้ประชาชนส่วนใหญ่หรอก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ประโยชน์จากแผ่นดินมากเท่ากับ 40 ตระกูลนี้
พี่น้องดู 40 ตระกูลนี้นะครับ ถ้าคิดเป็นเงินบาทนะ ลำดับที่ 1 นายเฉลียว อยู่วิทยา กระทิงแดง 130,000 ล้านบาท นายธนินทร์ เจียรวนนท์ 100,000 ล้านบาท ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 97,000 ล้านบาท เจริญ สิริวัฒนภักดี 94,000 ล้านบาท นายกฤตย์ รัตนรักษ์ ก็คือช่อง 7 ทีวีช่อง 7 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา นี่ก็รวยประมาณ 40,000 ล้านบาท จำนงค์ ภิรมย์ภักดี อันนี้เบียร์สิงห์ 33,000 ล้านบาท ประณีตศิลป์ วัชรพล ไทยรัฐ 32,000 ล้านบาท อิสระ ว่องกุศลกิจ บริษัทน้ำตาลมิตรผล 30,000 ล้านบาท ตัวเลขทรัพย์สินนี้เป็นตัวเลขที่ตรวจสอบได้โดยเปิดเผยเท่านั้นนะครับ ยังมีทรัพย์สินที่เขาไม่ได้เปิดเผยอีกไม่รู้ จริงๆ แล้วแต่ละคนอาจจะเป็นแสนๆ ล้าน
นายวิชัย มาลีนนท์ ทีวีช่อง 3 รวย 22,000 ล้านบาท นายอนันต์ อัศวโภคิน บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 16,000 ล้านบาท นายทองมา วิจิตรพงษ์ พฤกษา บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท 14,000 ล้านบาท นายสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ บริษัท ไทยซัมมิท ตระกูลของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นญาติคนหนึ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน 14,000 ล้านบาท คุณบุญชัย เบญจรงคกุล 14,000 ล้านบาท ทักษิณ ชินวัตร ตอนนี้จนลงเหลือ 13,000 ล้านบาท แต่จริงๆ แล้วเขาต้องมีมากกว่านั้นใช่มั้ยครับ
คุณประยุทธ์ มหากิจศิริ เนสท์กาแฟ 12,000 ล้านบาท คุณนันทา ชินธรรมมิตร์ น้ำตาลขอนแก่น 12,000 ล้านบาท แล้วก็ไล่มาข้ามๆๆ ไป มาคุณสรรเสริญ จุฬางกูร 9,000 ล้านบาท ประภา วิริยประไพกิจ 7,000 ล้านบาท หมอประเสริฐ 6,000 ล้านบาท เฉลิม อยู่วิทยา นี่ก็เครือกระทิงแดง 6,000 ล้านบาท คุณพรเทพ พรประภา 6,000 ล้านบาท คนที่ 27 คือนายวิชัย รักศรีอักษร บริษัท คิงเพาเวอร์ 6,000 ล้านบาท นี่สินทรัพย์เขานะครับ แต่จริงๆ มีมากกว่านี้
นายวิชัย นั้น กระโดดพรวดจากไม่มีอันดับ ขึ้นมาอันดับที่ 27 จากการที่ได้สัมปทานสุวรรณภูมิ และบริษัท คิงเพาเวอร์ นอกจากนั้นก็มีคุณเปรมชัย กรรณสูต มีวิโรจน์ มีพงษ์ศักดิ์ มีไพบูลย์ แกรมมี่ ก็อยู่ลำดับ 4,000 ล้านบาท ปลิว ตรีวิศวเวช ช.การช่าง 4,000 ล้านบาท วิชา พูนวรรักษ์ เมเจอร์ซินีเพล็กซ์ 3,000 ล้านบาท
ที่ผมเอ่ยชื่อมาทั้งหมดนี้ หากินและร่ำรวยโดยอิงแอบกับการอาศัยอำนาจ ผลประโยชน์ จากพรรคการเมืองและนักการเมืองเกือบทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะทำธุรกิจเหล้า ธุรกิจน้ำตาล ทีวีช่อง 7 ช่อง 3 ต้องวิ่งเต้นเพื่อให้ได้สัมปทานกับรัฐบาล ต่อสัญญากับกองทัพบก ช่อง 3 ต้องวิ่งเต้น เพิ่งต่อสัญญาไปจาก อสมทฯ ทั้งๆ ที่มีเรื่องที่น่าจะขัดต่อสัญญา และสามารถจะบอกเลิกสัญญาได้ แต่คณะกรรมการบอร์ด อสมทฯ ภายใต้การกำกับของพรรคประชาธิปัตย์ และประธานบอร์ด อสมทฯ ก็ให้บริษัท ช่อง 3 ได้ต่อสัญญาไปโดยฉลิว ฉลุย ครับ พวกนี้หากินโดยการอาศัยอำนาจการเมืองทั้งนั้น ไม่ว่าบริษัทปุ๋ย บริษัทน้ำตาล บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ทุกคนได้ผลประโยชน์จากพรรคการเมืองและนักการเมืองทั้งนั้น
พี่น้องครับ ผมใช้เวลามาพอสมควรก็เพื่อจะสรุปให้พี่น้องเห็นว่า วันนี้การเมืองของประเทศเรานั้น 69 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลย นอกจากได้โจรกลุ่มใหม่ขึ้นมาปกครองบ้านเมือง อำนาจที่รัชกาลที่ 7 สถาบันพระมหากษัตริย์สละเพื่อหวังจะให้เป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย มันมาตกอยู่ที่กลุ่มขุนนางนักการเมือง และนายทุนผูกขาดเหล่านี้ครับ กลุ่มทุนธุรกิจการเมืองเหล่านี้ และ 2 กลุ่มใหญ่นี้ล่ะ คืออุปสรรคและปัญหาต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ต่อการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง
และกลุ่มที่ 3 ที่เลวที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้ง 2 กลุ่มนี้จะอยู่ในอำนาจและหาประโยชน์ได้ จะต้องอาศัยบรรดาขุนนาง ข้าราชการ และบรรดาขุนศึก นายทหาร ที่ทรยศชาติ ทรยศประชาชน และกังฉินโกงกินคอร์รัปชั่น รับใช้นักการเมือง และรับใช้กลุ่มทุนทั้งสองนี้ ประเทศไทยมันจึงมีภูเขา 3 ลูก ที่กดทับหัวประชาชนไทยอยู่ ข้าราชการขี้โกง กังฉิน คือพวกขุนนาง ขุนศึก ที่ทรยศ คดโกง ขายชาติ ร่วมกับนักการเมืองและกลุ่มทุน 3 กลุ่มนี้เท่านั้นที่ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปไหนไม่ได้เลย
ต่อให้มีการเลือกตั้งอีก 20 ชาติ ประเทศไทยถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ปฏิรูปประเทศ ไม่ปฏิรูปสังคม เราก็จะได้นักโกงบ้านกินเมือง นักขายชาติพวกนี้ล่ะครับ นายทุนที่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบคนในสังคม และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ใช้อำนาจทางการเมืองมาเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง กลุ่มคนพวกนี้ทำทุกอย่าง หากินโดยผูกขาด เลี่ยงภาษี อาศัยอำนาจทางการเมืองมาเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง ร่วมมือกับพรรคและนักการเมืองโกงและทุจริตคอร์รัปชั่น ปล้นสะดมเอาประโยชน์ของชาติและของประชาชน ความร่ำรวยของประเทศไทยมันจึงมาตกอยู่กับคนไม่กี่ตระกูลนี้
ที่ผมจำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ก็อยากจะฝากบอกไปถึงตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ที่คุณจะมาเจ็บ มาตาย มาฆ่า มาขับไล่พี่น้องประชาชนนั้น ต้องถามว่าคุณทำเพื่อใครครับ คุณทำเพื่อปกป้องใคร รักษาผลประโยชน์ใคร คุณมาทำร้ายประชาชนเพื่อเป้าหมายใด และที่พี่น้องประชาชนออกมาต่อสู้วันนี้ เขามาทำเพื่ออะไร เขามาเพื่อประโยชน์ของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ถ้าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง นักการเมืองชั่วพวกนี้หมดไป ผลประโยชน์ของชาติของบ้านเมืองก็ตกกับพวกเราทุกคนโดยถ้วนหน้า
ต้นตอที่ทำให้สินค้าราคาแพง ขาดแคลน โกง เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ก็มาจากกลุ่มทุน นักการเมือง และข้าราชการกลุ่มนี้ ต้นตอที่ทำให้เกษตรกร พี่น้องประชาชน ผู้ใช้แรงงาน ถูกกดขี่ขูดรีดแรงงาน ขายสินค้าพืชเกษตรได้ราคาตกต่ำ ก็มาจากกลุ่มทุนเหล่านี้ ต้นตอที่ข้าราชการ ประชาชน มีรายได้น้อย ไม่สามารถที่จะมีรายได้ ไม่มีโอกาสในทางทำมาหากิน ไม่มีความเจริญก้าวหน้าในทางอาชีพการงาน ถ้าไม่ไปรับใช้เป็นขี้ข้าของกลุ่มทุนเหล่านี้ ก็เพราะระบอบนี้มันเอาแต่พวกและพ้อง และอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองมันถึงเดินหน้าไปไหนไม่ได้
ถ้าใครคิดจะต่อสู้ กล้าหาญปกป้องรักษาประโยชน์ชาติ ประโยชน์ประชาชน ก็จะถูกคนกลุ่มนี้สมคบกันเล่นงาน กลั่นแกล้ง โยกย้าย ลงโทษ ให้ได้รับความเสียหาย ไม่มีอนาคต ไม่มีความก้าวหน้า และบ้านเมืองของเราทั้งหมดที่อยู่ในสถานการณ์อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แม้กระทั่งเราต้องสูญเสียดินแดน สูญเสียอธิปไตย เขาก็ไม่อนาทรร้อนใจ เพราะว่ากลุ่มทุนเหล่านี้มันมีการหากินข้ามชาติ เวลานี้ไม่เพียงจะปล้นคนไทยเท่านั้น มันไปจับมือฮุน เซน ปล้นทั้งคนเขมรและปล้นทั้งคนไทย โดยกลุ่มทุนพวกนี้ไปจับมือกับฮุน เซน หากินข้ามประเทศไปยังกัมพูชาด้วย
ผมก็เคยบอกพี่น้องมาแล้วว่า ธุรกิจน้ำมันในกัมพูชาใครเป็นเจ้าของ ธุรกิจสื่อสารคนไทยที่ไปลงทุนมีใครบ้าง ธุรกิจโรงแรมมีใครบ้าง ธุรกิจโรงงานน้ำตาลมีใครบ้าง ธุรกิจเหมืองแร่ ขุดเจาะน้ำมัน และอื่นๆ ในกัมพูชา กลุ่มทุนไทยไปจับมือกับฮุน เซน และหากินร่วมกัน
เวลานี้ปัญหาดินแดน ปัญหาอาณาเขต ปัญหาผลประโยชน์ของชาติ มันไม่คำนึงถึงแล้วครับ แล้วพรรคการเมือง นักการเมือง ที่ร่วมกันเป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ มันก็สนองผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่ผมพูดมานี้เท่านั้น ผลประโยชน์ของประชาชน ของชาติ ช่างแม่งมัน
นี่คือปัญหาของประเทศยามนี้ จึงมาถึงจุดสุดท้ายว่า เราจะมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งไปเพื่ออะไร มีการเลือกตั้งไปก็เท่ากับเป็นการไปฟอกความชั่ว ทำให้มันกลับมาดูดีว่ามันได้รับชัยชนะมาจากการเลือกตั้ง ประชาชนเลือกตั้งมันมานะ มาแล้วมาทำอะไร มันก็มาโกงเหมือนเดิม เหมือนที่มันบริหารบ้านเมืองอยู่ทุกวันนี้ แล้วบ้านเมืองจะมีอะไรดีขึ้นครับ
ประชาชนต้องเสียเงินภาษีเพื่อไปจัดการเลือกตั้ง เพื่อไปทำพิธีกรรมชุบตัวพวกมันให้กลับมาขึ้นสู่บัลลังก์ เข้าสู่อำนาจ แล้วก็มากดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบพี่น้องประชาชน แสวงหาประโยชน์ สร้างความร่ำรวยให้เฉพาะกลุ่มพวกนี้เท่านั้น ประชาชนไทยไม่เคยได้ประโยชน์อะไรเลยจากนักการเมืองและการเลือกตั้งอัปยศนี้
ผมจึงเห็นว่าบ้านเมืองมันควรจะถึงจุดสุดท้าย พอกันทีกับระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม เฮงซวย หลอกต้มประชาชน นายอภิสิทธิ์ก็เป็นเพียงตัวตลก และคนตอแหล ตัวแสดงที่คนเขาเอามาแสดงออกนอกหน้า วันนี้มันหมดแล้ว ไม่มีตัวแสดงแล้ว ผมถึงบอกว่าวันนี้ประชาชนมาเรียกร้องให้คุณรักษาแผ่นดิน รักษาอธิปไตยของชาติ เขาไม่ทำหน้าที่ เมื่อเขาไม่ทำหน้าที่เพราะเขาไม่สนใจประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์ประชาชน เขาสนใจว่าอะไรก็ได้ที่ทำให้กลุ่มพวกเขาอยู่ในอำนาจและได้ประโยชน์ต่อไปเท่านั้น
เมื่อเป็นดังนี้ มันจึงไม่มีทางเลือกทางอื่น มันจึงจำเป็นที่เราจะต้องหาทางที่จะต้องเปลี่ยนแปลงประเทศชาติบ้านเมืองเสีย ไม่มีทางที่เราจะอยู่อย่างนี้ไป ชาติไม่มีวันเจริญ และสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะอยู่ไม่ได้เพราะนักการเมืองพวกนี้
เขาไม่เคยคำนึงถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันคำนึงถึงอำนาจและผลประโยชน์ และเงินตราเท่านั้นที่เป็นใหญ่ ประชาชนจะเป็นจะตาย ชาติบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร สถาบันสูงสุดจะเป็นอย่างไร มันเพียงเอาเป็นพิธีกรรมแอบอ้างบังหน้า อิงแอบ อ้างสถาบันเท่านั้น เวลาที่จะเข้าดำรงตำแหน่งก็ต้องไปกราบบังคมทูลฯ เวลาแก้ไขกฎหมาย แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง ก็ไปกราบบังคมทูลฯ อิงแอบและอ้างสถาบันมาเป็นเครื่องมือหาความชอบธรรมให้กับตัวเอง มันจึงเป็นระบอบการเมืองที่น่าจะจบกันสักที ผมถึงบอกว่าวันนี้ ใครก็ได้ที่ควรจะออกมาร่วมมือกับประชาชนเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเสียที
ทหารวันนี้ ผมบอกได้เลย มีนายทหารที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ขุนศึก ไม่กี่คน ที่กินเศษเงินของนักการเมืองและนักโกงบ้านกินเมือง และกลุ่มทุนธุรกิจเหล่านี้ แล้วก็ลืมภาระหน้าที่ของชาติบ้านเมือง แต่ทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ในลำดับรองลงไป แม่ทัพนายกองอีกจำนวนมากที่ยังรักชาติ รักบ้านเมือง วันนี้ต้องคิดอ่านแล้ว ว่าถ้าปล่อยให้บ้านเมืองเดินไปอย่างนี้ เลือกตั้งไปอย่างนี้ ประเทศชาติฉิบหายแล้วจากเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ก็จะกลายเป็นประเทศที่แตกสลาย ล่มสลาย บ้านเมืองก็จะต้องพินาศย่อยยับ เกิดเป็นก๊กเป็นเหล่าไม่มีที่สิ้นสุด
บ้านเมืองก็จะเหลือเพียงชนชั้นนักการเมือง ชนชั้นนายทุน นอกนั้นจะเป็นคนจนหมด ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ดีได้ภายใต้ระบอบการเมืองระบอบนี้ วันนี้เราไม่ได้ต้องการนักการเมือง ไม่ได้ต้องการนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งสกปรกเส็งเคร็ง เฮงซวยนี้ ใช่มั้ยครับ แต่เราต้องการผู้นำประเทศมานำพาประชาชนไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าวันนี้ เพื่อมากวาดล้างความเฮงซวยของระบอบการเมืองนี้ให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน นี่คือความต้องการของประชาชน เราไม่ต้องการมาไล่นักการเมืองอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้นที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ เป็นแต่เพียงเอาข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกับพี่น้องว่า พี่น้องครับ มันหมดเวลาและมันไม่มีประโยชน์อันใดที่เราจะต้องมาจมอยู่กับระบอบการเมืองอันเก่า ซ้ำซาก และสามานย์ อัปยศ เต็มไปด้วยการโกงการทุจริต เต็มไปด้วยอำนาจและผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเลย ประชาชนอย่างพวกเราก็เป็นได้เพียงนั่งร้าน เป็นได้เพียงลิ่วล้อ เป็นได้เพียงเครื่องเล่นของนักการเมือง เป็นเพียงละครตัวประกอบการแสดงของนักการเมือง เพียงเพื่อให้เราไปหย่อนบัตร หาความชอบธรรมให้คนชั่วขึ้นมาครองเมือง ระบอบการเลือกตั้งแบบนี้จะไม่มีวันได้คนดีมาปกครองบ้านเมืองเลย วันนี้เราจึงจำเป็นต้องคิดอ่านหาทางล้างระบอบนี้เท่านั้น ชาติของเราจึงจะอยู่รอดครับ
ปัญหาว่า จะทำอย่างไรนั้น ผมบอกพี่น้องไม่ได้หรอกในที่เปิดเผย แต่ถ้าชีวิตนี้ผมยังไม่ตาย และยังมีลมหายใจอยู่ ผมจะหาทางต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อล้างนักการเมืองชั่วให้หมดจากแผ่นดินให้จงได้ แล้วถ้าพี่น้องเห็นด้วยกับผม ปรบมือด้วยครับ แล้วถ้าเมื่อไรมีขบวนการต่อสู้ขึ้นมาเพื่อกวาดล้างความสกปรกโสโครกของบ้านเมือง เราจะต้องยืนหยัดเคียงข้างกันจนถึงที่สุด เห็นด้วยมั้ย ถ้าเห็นด้วยปรบมือดังๆ
ผมเชื่อว่าถ้าพวกเราพร้อม ผมก็พร้อม และก็น่าจะมีคนไทยอีกมากมายที่พร้อมอย่างพวกเรา เราต้องออกมาร่วมกันล้างความสกปรกโสโครก การเมืองที่อัปยศอดสูนี้ออกจากแผ่นดินร่วมกันเท่านั้น ชาติของเราจึงจะเดินหน้าไปได้ ขอบคุณมากครับ พี่น้อง พบกันพรุ่งนี้สวัสดีครับ”