ASTVผู้จัดการรายวัน - “อาร์เค” เจ้าถิ่นโซนตะวันออกกทม. บ่ยั่นอสังหาฯรายใหญ่-เล็กหน้าใหม่ในพื้นที่ ประกาศท้าชนคู่แข่งทุกรายในตลาด ชูจุดเด่น ให้จริง ให้มากกว่า บนทำเลติดถนน ระบุสินค้าบ้านราคาต่ำ ตรงความต้องการลูกค้าในโครงการโดยมากมีแค่10%ของหน่วยเสนอขาย แจงครึ่งปีหลังเปิดเพิ่ม 3โครงการใหม่ วางเป้าทั้งปี 580 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30%
ตลาดอสังหาริมทรัพย์โซนตะวันออกของกทม.มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการหลายราย เข้ามาทำตลาดจำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะที่มีการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ้ แต่กับพบปัญหาเรื่องมลภาวะทางเสียง ส่งผลให้ปริมาณสินค้าบริเวณดังกล่าวยังคงไม่ถูกดูดซับออกไปเท่าที่ควร โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป ยังเหลือขายเป็นจำนวนมาก
ตรงกันข้ามกับที่อยู่อาศัยราคา 2-3 ล้านบาท ที่มีความต้องการซื้อขยายตัวสูง ทำเลดังกล่าวใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ และสนามบิน มีฐานลูกค้าหลากหลาย ทั้งกลุ่มพนักงานในธุรกิจการบิน อุตฯ รวมถึงธุรกิจการนำเข้าและส่งออก นับเป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าถิ่นในย่านนี้ในระดับราคาดังกล่าว เช่น บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กับมีบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ เข้ามาทำเพิ่มฐานลูกค้าในโซนนี้ ขณะที่ บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด เป็นหนึ่งที่บุกเบิกพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่มานาน
นายวิสิฐ กิตติอุดม ประธาน บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด หรือ (อาร์เค) กล่าวว่า ตลาดหลักของบริษัทอยู่ในโซนตะวันออกของกทม. แต่ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาทำตลาดแข่งจำนวนมาก ทำให้บริษัทต้องเร่งพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เน้นทำเลติดถนนใหญ่ ปรับรูปแบบโครงการให้ตรงความต้องการลูกค้าอยู่ตลอด เพิ่มพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าคู่แข่ง
“ เท่าที่ประเมินพบว่า โครงการของคู่แข่งขันจะใช้กลยุทธ์ตั้งราคาขายเริ่มต้นที่กลุ่มลูกค้าต้องการ แต่จำนวนสินค้าในกลุ่มที่ลูกค้าต้องการนั้น มีจำนวนน้อย เช่น การพัฒนาบ้านในโครงการ 100 ยูนิต ระดับราคาเริ่มต้น 2-5 ล้านบาท แต่จำนวนบ้านระดับ 2 ล้านมีแค่ 10% ของจำนวนบ้านที่พัฒนาในโครงการ แต่บริษัทรุ่งกิจฯ จะมีบ้านในระดับราคาที่ลูกค้าต้องการในสัดส่วนสูงถึง80% ของสินค้าทั้งโครงการ ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น ถือเป็นจุดที่บริษัทสามารถแข่งขันกับรายอื่นได้ ”
นายวิสิฐ กล่าวถึงแผนรองรับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ว่า ต้องเพิ่มขนาดของการลงทุนและพอร์ตสินค้าให้มากขึ้นในแต่ละปี ซึ่งภายหลังได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน(FA) ทางบริษัทวางแผนที่จะขยับทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 250 ล้านบาท ตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ โดยทยอยเพิ่มทุนค่อยเป็นค่อยไป จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนที่ 50 ล้านบาท
ในส่วนของสินค้า จะเน้นการพัฒนาโครงการแบบผสมผสาน เพิ่มโอกาสในการทำตลาด โดยแบ่งแยกเป็น ทาวน์โฮม 65% บ้านเดี่ยว 20% และโฮมออฟฟิศ 10-15%
สำหรับภาพรวมของบริษัทฯในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เปิด 3 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการโฮมออฟฟิศ เซ็นเตอร์เฟส1 ติดถนนมอเตอร์เวย์ ย่านพระราม 9- หทัยราษฎร์ ราคาเริ่มต้น 4-18ล้านบาท มูลค่า 425 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 40% โครงการอาร์เคโฮมออฟฟิศ-ทาวน์โฮม สายใหม และโฮมออฟฟิศ ทาวน์โฮม คู้บอน
ส่วนครึ่งหลังของปีนี้ เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการโฮมออฟฟิศ เซ็นเตอร์ เฟส 2 โฮมออฟฟิศสูง4ชั้น พื้นที่ 1,000-3,000 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 22-68 ล้านบาท มูลค่ารวม 425 ล้านบาท 2.โครงการอาร์เค โฮมปาร์ค 2 โครงการบ้านเดี่ยว ย่านวงแหวน-กรุงเทพกีฑา ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิตเศษ บนพื้นที่ 24 ไร่ มูลค่ารวม 410 ล้านบาท และ3.โครงการโฮมออฟฟิศทาวน์โฮม วัชรพล-สายใหม บนพื้นที่ 18 ไร่เศษ ราคาเริ่มต้น 1.69-3.29 ล้านบาท มูลค่ารวม 440 ล้านบาท
นอกจากนี้ ได้เตรียมงบ 600 ล้านบาท จัดซื้อที่ดินเพิ่มอีก 4 แปลง ในย่านมีนบุรี 14ไร่ , ย่านร่มเกล้า 24ไร่1งาน , ย่านหทัยราษฏร์ 29 ไร่ และย่านเสรีไทย 10ไร่ ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 450 ล้านบาท ตั้งเป้าขายปี 54 รวม 580 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อน 30%.
ตลาดอสังหาริมทรัพย์โซนตะวันออกของกทม.มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการหลายราย เข้ามาทำตลาดจำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะที่มีการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ้ แต่กับพบปัญหาเรื่องมลภาวะทางเสียง ส่งผลให้ปริมาณสินค้าบริเวณดังกล่าวยังคงไม่ถูกดูดซับออกไปเท่าที่ควร โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป ยังเหลือขายเป็นจำนวนมาก
ตรงกันข้ามกับที่อยู่อาศัยราคา 2-3 ล้านบาท ที่มีความต้องการซื้อขยายตัวสูง ทำเลดังกล่าวใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ และสนามบิน มีฐานลูกค้าหลากหลาย ทั้งกลุ่มพนักงานในธุรกิจการบิน อุตฯ รวมถึงธุรกิจการนำเข้าและส่งออก นับเป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าถิ่นในย่านนี้ในระดับราคาดังกล่าว เช่น บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กับมีบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ เข้ามาทำเพิ่มฐานลูกค้าในโซนนี้ ขณะที่ บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด เป็นหนึ่งที่บุกเบิกพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่มานาน
นายวิสิฐ กิตติอุดม ประธาน บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด หรือ (อาร์เค) กล่าวว่า ตลาดหลักของบริษัทอยู่ในโซนตะวันออกของกทม. แต่ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาทำตลาดแข่งจำนวนมาก ทำให้บริษัทต้องเร่งพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เน้นทำเลติดถนนใหญ่ ปรับรูปแบบโครงการให้ตรงความต้องการลูกค้าอยู่ตลอด เพิ่มพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าคู่แข่ง
“ เท่าที่ประเมินพบว่า โครงการของคู่แข่งขันจะใช้กลยุทธ์ตั้งราคาขายเริ่มต้นที่กลุ่มลูกค้าต้องการ แต่จำนวนสินค้าในกลุ่มที่ลูกค้าต้องการนั้น มีจำนวนน้อย เช่น การพัฒนาบ้านในโครงการ 100 ยูนิต ระดับราคาเริ่มต้น 2-5 ล้านบาท แต่จำนวนบ้านระดับ 2 ล้านมีแค่ 10% ของจำนวนบ้านที่พัฒนาในโครงการ แต่บริษัทรุ่งกิจฯ จะมีบ้านในระดับราคาที่ลูกค้าต้องการในสัดส่วนสูงถึง80% ของสินค้าทั้งโครงการ ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น ถือเป็นจุดที่บริษัทสามารถแข่งขันกับรายอื่นได้ ”
นายวิสิฐ กล่าวถึงแผนรองรับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ว่า ต้องเพิ่มขนาดของการลงทุนและพอร์ตสินค้าให้มากขึ้นในแต่ละปี ซึ่งภายหลังได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน(FA) ทางบริษัทวางแผนที่จะขยับทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 250 ล้านบาท ตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ โดยทยอยเพิ่มทุนค่อยเป็นค่อยไป จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนที่ 50 ล้านบาท
ในส่วนของสินค้า จะเน้นการพัฒนาโครงการแบบผสมผสาน เพิ่มโอกาสในการทำตลาด โดยแบ่งแยกเป็น ทาวน์โฮม 65% บ้านเดี่ยว 20% และโฮมออฟฟิศ 10-15%
สำหรับภาพรวมของบริษัทฯในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เปิด 3 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการโฮมออฟฟิศ เซ็นเตอร์เฟส1 ติดถนนมอเตอร์เวย์ ย่านพระราม 9- หทัยราษฎร์ ราคาเริ่มต้น 4-18ล้านบาท มูลค่า 425 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 40% โครงการอาร์เคโฮมออฟฟิศ-ทาวน์โฮม สายใหม และโฮมออฟฟิศ ทาวน์โฮม คู้บอน
ส่วนครึ่งหลังของปีนี้ เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการโฮมออฟฟิศ เซ็นเตอร์ เฟส 2 โฮมออฟฟิศสูง4ชั้น พื้นที่ 1,000-3,000 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 22-68 ล้านบาท มูลค่ารวม 425 ล้านบาท 2.โครงการอาร์เค โฮมปาร์ค 2 โครงการบ้านเดี่ยว ย่านวงแหวน-กรุงเทพกีฑา ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิตเศษ บนพื้นที่ 24 ไร่ มูลค่ารวม 410 ล้านบาท และ3.โครงการโฮมออฟฟิศทาวน์โฮม วัชรพล-สายใหม บนพื้นที่ 18 ไร่เศษ ราคาเริ่มต้น 1.69-3.29 ล้านบาท มูลค่ารวม 440 ล้านบาท
นอกจากนี้ ได้เตรียมงบ 600 ล้านบาท จัดซื้อที่ดินเพิ่มอีก 4 แปลง ในย่านมีนบุรี 14ไร่ , ย่านร่มเกล้า 24ไร่1งาน , ย่านหทัยราษฏร์ 29 ไร่ และย่านเสรีไทย 10ไร่ ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 450 ล้านบาท ตั้งเป้าขายปี 54 รวม 580 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อน 30%.
