ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถึงตรงนี้ คงไม่ต้องลุ้นกันอีกต่อไปแล้วว่า หลังการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จบลง บ้านเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ใครจะชนะการเลือกตั้ง ใครจะแพ้การเลือกตั้งและใครจะจัดตั้งรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้เป็นผลสำเร็จ
เพราะสูตรการเมือง ณ เวลานี้มีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า มี 2 ก๊กที่กำลังช่วงชิงบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้
นั่นคือ “ก๊กเพื่อไทย” ที่มี “นช.ทักษิณ ชินวัตร” และ “ปูแดงโคลนนิง” ที่ชื่อ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นผู้นำทัพแดง
และ “ก๊กประชาธิปัตย์ ที่มี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นผู้นำทัพแม่พระธรณีบีบมวยผม
ใครได้คะแนนมากกว่า หรือใครรวบรวมคะแนนเสียงได้เกินกว่าครึ่งคือผู้ที่จะคว้าสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล
แต่จะอย่างไรก็ตาม สูตรหรือสมการการเมืองดังกล่าวข้างต้นนั้น แม้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่สลับซับซ้อนอะไร ทว่า ภายใต้ความง่ายกลับมีปมเงื่อนในการผสมพันธุ์เพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่ธรรมดา และไม่ว่าพรรคใดจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศได้สำเร็จก็ไม่แคล้วที่จะต้องเกิดความวุ่นวายตามมาชนิดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
**สูตรชิหาย 1
ปูไหล+เพื่อ “โคราช”
สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อไทยสามารถคว้าชัยชนะและมี ส.ส.อยู่ในมือมากกว่าครึ่ง หรือจะมากมหาศาลตามคำอวดอ้างว่าได้ถึง 300 คน บัดเดี๋ยวนี้เป็นที่แน่ชัดจากการประกาศของนายใหญ่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” แล้วว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ทั้งนี้ แม้นักโทษชายหนีคดีไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะเลือกพรรคใดเข้ามาผสมพันธุ์ แต่จากสัญญาณที่ส่งผ่านออกมาและความเป็นไปได้ในทางการเมือง หวยน่าจะออกไปที่ “พรรคปูไหล-ชาติไทยพัฒนา” ของ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” ที่ประกาศชัดเจนมาโดยตลอดว่าไม่ต้องการเป็นฝ่ายค้านเพราะอดอยากปากแห้ง และ “พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” ของ “นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” และกลุ่ม 3 พีที่วันนี้เหลือ 2 พีของนายพินิจ จารุสมบัติและนายปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ
สูตรนี้ ถ้าว่ากันตามตัวเลขที่แกนนำฟุ้งและโม้เอาไว้ ก็จะเห็นตัวเลข ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยทั้งระบบเขตและระบบปาร์ตี้ลิสต์รวมกันแล้วอยู่ที่ประมาณ 250-300 คน ซึ่งได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคอันดับหนึ่งด้วยความชอบธรรม จากนั้นเพื่อไทยก็จะเชิญชวนพรรคชาติไทยพัฒนาที่คาดว่าจะมี ส.ส.ประมาณ 20-30 คน รวมถึงพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินที่คาดว่าจะมี ส.ส.อยู่ที่ประมาณ 10-20 คนเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งรวมๆ แล้ว ก๊กพรรคเพื่อไทยจะมีจำนวน ส.ส.ในมือไม่ต่ำกว่า 350 คนเป็นอย่างน้อย
สูตรนี้ ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศผู้เป็นภรรยานอกสมรสของนายอนุสรณ์ อมรฉัตรและแม่ตามกฎหมายของน้องไปป์-ศุภเสกข์ อมรฉัตร ชื่อ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงที่ศาลมีคำพิพากษาออกมาชัดแจ้งแล้วว่า ให้การเท็จในคดีซุกหุ้นของ นช.ทักษิณ ชินวัตร
ส่วนโอกาสที่จะพลิกผันไปที่ “แก๊งคนแซ่หวัง” จากบรรหารบุรี ด้วยการผลักดันให้ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” คว้าพุงปลานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีปรองดองนั้น มีเปอร์เซ็นต์และความเป็นไปได้ที่น้อยมาก หรือชื่อที่เคยปรากฏก่อนหน้านี้อย่าง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ก็เชื่อว่ามีเปอร์เซ็นต์และความเป็นไปได้น้อยเช่นกัน
ขณะที่เก้าอี้รัฐมนตรีสำคัญๆ ก็ถูกตีตราจองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และรับประกันได้ว่า เก้าอี้หลายต่อหลายตัวจะตกเป็นของ “แกนนำแดงเผาบ้านเผาเมือง” ไม่ว่าจะเป็น นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมทั้งขุนพลผู้จงรักภักดีอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองโรมานอฟ-พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
เช่นเดียวกับเสด็จพี่-นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ที่น่าจะได้ตำแหน่งสำคัญมาปลอบใจ อย่างน้อยก็โฆษกหรือรองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี
ประเทศไทยก็จะได้มีรัฐบาลที่ประกอบไปด้วยรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยและที่ปรึกษาในตำแหน่งสำคัญเป็นผู้ต้องหาในคดีก่อการร้าย คดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์เดินกันให้เพ่นพ่านในทำเนียบรัฐบาล
ส่วนพรรคอะไหล่อย่างชาติไทยพัฒนาก็เป็นที่แน่ชัดอีกเช่นกันว่า ขอจองเก้าอี้สำคัญเอาไว้เป็นเบื้องต้น 2 กระทรวงคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ด้านพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินก็หมายมั่นปั้นมือที่ขุมทรัพย์กระทรวงเดิมอย่างกระทรวงพลังงานเอาไว้เป็นพื้นฐานเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญสำหรับคนที่เลือกสูตรนี้ก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยในยุค 4G ทำไมประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งถึงได้เห็นดีเห็นงามและตัดสินใจเลือกกลุ่มการเมืองที่มีสมาชิกเป็นผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง มีพฤติกรรมในการจาบจ้วงและทำลายสถาบัน รวมทั้งมีหัวหน้าขบวนการเป็นผู้ทุจริตคิดมิชอบต่อบ้านเมืองจนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาเรียบร้อยแล้วถึง 2 คดีคือคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ และคำพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านที่เกิดจากการทุจริตเชิงนโยบายให้ตกเป็นของแผ่นดิน
**สูตรชิหาย 2
ปชป.+ห้อยบุรี พ่วง “บิ๊กบัง-พลังชล”
ตัดกลับมาที่ก๊กที่ 2 ซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวขบวนใหญ่กันบ้าง
แน่นอน บัดเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะโหรสำนักไหนหรือโพลสำนักใดก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะประสบชัยชนะในการเลือกตั้งโดยมีจำนวน ส.ส.มากที่สุดเพื่อชิงธงนำในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น เป็นเพียงแค่ความฝันที่ไม่อาจเป็นความจริงได้
ต่อให้ฟ้าถล่ม ดินทลาย พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะพรรคเพื่อไทย
แต่ถามว่า โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะสามารถพลิกขั้วกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคเพื่อไทยมีไหม
คำตอบก็คือมี และพรรคประชาธิปัตย์ก็สำแดงให้เห็นแล้วในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งที่ผ่านมาด้วยการรวมหัวกับ “คนทรยศนายแห่งบุรีรัมย์” แล้วผลักดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ซึ่งก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทั้งสองพรรคมิอาจพรากจากกันได้ถ้าหากอยากเป็นรัฐบาล ไม่เช่นนั้นแล้วนายอภิสิทธิ์และนายชวน หลีกภัยคงไม่ชื่นชมวีรกรรมในการทรยศนายของนายเนวินอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้
ทั้งนี้ ความสำเร็จของสูตรนี้ขึ้นอยู่กับจำนวน ส.ส.ของพรรคแกนนำสำคัญ 2 พรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยจะได้มากน้อยแค่ไหน โดยมีพรรคแนวร่วมอีก 2 พรรคจับมือกันไว้แบบหลวมๆ คือ พรรคมาตุภูมิของ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” ที่แน่ชัดว่า นช.ทักษิณเกลียดเข้าไส้ และพรรคพลังชลของกลุ่มชลบุรี-นายสนธยา คุณปลื้ม ที่มีความสนิทสนมกลมเกลียวกับนายเนวิน ชิดชอบเป็นพิเศษ
สูตรนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะต้องได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 180 คน ขณะที่พรรคภูมิใจไทยจะต้องได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 60 คน เพื่อที่รวมทั้งสองพรรคแล้วจะมีจำนวน ส.ส.ไม่น้อยกว่า 250 คน ถึงจะมีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลได้
จากนั้นก็ไปเก็บกวาด “พรรคมาตุภูมิ” และ “พรรคพลังชล” เข้ามาเพื่อให้เกิดความมั่นคงในการทำหน้าที่ในสภา ซึ่งก็เป็นที่คาดการณ์ว่า ทั้ง 2 พรรคน่าจะมี ส.ส.เข้าสภารวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 10-15 คน
แน่นอน จุดชี้เป็นชี้ตายของสูตรนี้ดูเหมือนว่า พรรคภูมิใจไทยจะเป็นตัวแปรที่สำคัญมาก เพราะถ้าสามารถทำยอด ส.ส.เข้าเป้าตามที่ประกาศไว้คือ 60-70 คน โอกาสสดใสที่จะหวนคืนสู่ทำเนียบรัฐบาลก็จะมีโอกาสเป็นจริง
และถ้านายสุเทพ เทือกสุบรรณและนายเนวิน ชิดชอบทำสำเร็จ โอกาสที่พรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหารที่คาดว่าจะได้ ส.ส.อยู่ที่ประมาณ 20-30 คน จะพลิกขั้วกลับมาร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลด้วยอีกครั้งก็มีเปอร์เซ็นต์สูง เพราะต้องไม่ลืมว่า นายบรรหารและนายเนวินได้เคยประกาศสัตยาบันร่วมมือทางการเมืองมาแล้ว ซึ่งนั่นก็จะยิ่งทำให้ก๊กนี้มีความมั่นคงทางการเมืองไม่แพ้ฟากเพื่อไทยเช่นกัน
เนื่องจากเมื่อรวมทั้ง 4 พรรคแล้ว ก๊กที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจะมี ส.ส.รวมกันแล้วอยู่ที่ประมาณ 300 คน
แต่ก็ต้องย้ำกันอีกครั้งว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยจะต้องทำยอด ส.ส.รวมกันแล้วให้ได้เกินครึ่งถึงจะเปลี่ยนใจพรรคปลาไหลที่กำลังกลายเป็นพรรคปูไหลได้
ทั้งนี้ เมื่อชนะการเลือกตั้งและผสมพันธุ์กันเสร็จเรียบร้อย สิ่งที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือจะมีการแบ่ง “เค้ก” เก้าอี้รัฐมนตรีกันอย่างไร โดยเฉพาะระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยที่ถูกบีบบังคับให้ร่วมหัวจมท้ายสู้ศึกครั้งนี้
แน่นอน คณะรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ก็ย่อมหนีไม่พ้น “คนหน้าเดิมๆ” จากทั้งสองพรรค โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่ถ้าหากผลงานเข้าเป้าก็ย่อมจะต่อรองขอเก้าอี้ตัวเดิมมาบริหารอีกครั้ง เช่น นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เรียกว่า จัดเต็มตามสูตรเนวินซึ่งรับประกันผลงานในการทำงานตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมาว่า เด็ดดวงแค่ไหน
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีคนหน้าเดิมๆ อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ตามต่อด้วย “ก๊วนวอลเปเปอร์” ที่จะพากันแห่แหนเข้ามาแน่นทำเนียบเหมือนเดิมนำโดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รวมทั้งอาจจะพ่วงท้ายด้วยอภิมหาวอลเปเปอร์ที่ชื่อ “ศิริโชค โสภา” อีกคนหนึ่งด้วย
ยี้กันเต็มทำเนียบรัฐบาลอีกแล้วครับท่าน
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญสำหรับคนที่เลือกสูตรนี้ก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ทำไมประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งถึงได้เห็นดีเห็นงามไปเลือกกลุ่มการเมืองที่มิได้มีผลงานอะไรชัดเจนนอกเหนือจากวลีเด็ดที่กำลังฮิตไปทั้งบ้านทั้งเมืองว่า “ดีแต่พูด”
ดร.พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ อดีต ส.ส.ร.ปี 2550 วิเคราะห์ความพ่ายแพ้และชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดมากที่พรรคเพื่อไทยซึ่งมีปัญหาในอดีตเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน แต่เหตุใดผลสำรวจกลับนำมาเป็นอันดับ 1 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลงานรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ไม่เข้าตาประชาชน ไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆ ได้
“คนส่วนใหญ่ที่ตอบคำถามโพลไม่ได้รักเพื่อไทย แต่ไม่ชอบใจการบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงได้หันมาเลือก ซึ่งคนกลุ่มนี้มีไม่น้อยกว่า 20-30%”
**ประเทศฉิบหาย ประชาชนตายเห็นๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง “พรรคประชาธิปัตย์” หรือ “พรรคเพื่อไทย” บ้านเมืองก็จะปรับเข้าสู่ “โหมดสงคราม” เพื่อแย่งชิงชัยชนะให้กลับมาสู่ฝ่ายตนเองในทุกวิถีทาง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องเอาด้วยคาถา
และสุดท้าย “สงครามประชาชน” ที่เต็มรูปแบบจากคำสั่งการของฝ่ายการเมืองก็จะบังเกิดขึ้น
สมมติว่า ประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง หรือหากไม่ชนะการเลือกตั้งแต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งดูเหมือนว่า ประเด็นหลังจะมีภาษีมากกว่า คนเสื้อแดงที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรรคเพื่อไทยก็จะถูกปลุกจากนายใหญ่ให้เคลื่อนทัพลงสู่ท้องถนน พร้อมกับปฏิบัติการพกขวดเปล่าและมาหา “น้ำมัน” เอาข้างหน้าอีกครั้ง
เพราะพวกเขาสามารถอ้างสิทธิได้โดยชอบธรรมว่า ได้รับฉันทามติจากประชาชนผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ดังนั้น เขาจึงสมควรที่จะก้าวขึ้นเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ ขณะเดียวกันการที่ประชาธิปัตย์แพ้แต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ก็มิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า มี “พลังพิเศษ” หรือ “มือที่มองไม่เห็น” คอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ความชอบธรรมในการลงสู่ท้องถนนของพลพรรคเสื้อแดงเกิดขึ้นในทันที
และแน่นอนว่า บ้านเมืองก็วุ่นวายมิรู้จบ
ที่สำคัญคือ คนไทยจะมั่นใจได้ว่า การหวนคืนสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์อีกครั้งจะมีอะไรดีกว่า 2 ปีกว่าที่ผ่านมา และจะมีผลงานที่เป็นรูปธรรมมากกว่า “ดีแต่พูด” หรือไม่
แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ตลอดรวมถึงนายใหญ่ก็จะมีความฮึกเหิมถึงขีดสุด เพราะมั่นใจในขุมกำลังของตนเอง จากนั้นก็จะใช้เสียงที่ประชาชนมอบให้กระทำการต่างๆ ตามอำเภอใจ อาทิ นิรโทษกรรมให้ นช.ทักษิณ ไม่สนใจในระบบ “นิติรัฐ” ของประเทศไทยอีกต่อไป
แน่นอนแม้นายหญิงของเพื่อไทยอย่างเจ๊ปูแดงจะออกมาปฏิเสธเรื่องนิรโทษกรรมให้พี่ชายของตนเอง แต่ใครจะไปเชื่อว่า คนที่มี “ความแค้น” เป็น “ต้นทุนของชีวิต” จะยอมเสียเงินเสียทอง และเปลืองกำลังความคิด-มันสมองโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไรจากการนี้เลย
สุดท้ายประชาชนที่รักความเป็นธรรมก็จะทนไม่ไหวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น การเคลื่อนทัพออกสู่ท้องถนนเพื่อสำแดงพลังก็จะตามมา ยิ่งถ้ามีการนิรโทษกรรม มีการแก้รัฐธรรมนูญ หรือแก้มาตรา 112 ด้วยแล้ว เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คราวนี้สถานการณ์จะหนักหนาสาหัสถึงขั้นติดดาบปลายปืนทีเดียว
ขณะเดียวกันแม้ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยและนช.ทักษิณในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ จะรักษาชัยชนะนั้นเอาไว้ได้อย่างไร เพราะต้องไม่ลืมว่า ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่ออำนาจของพวกเขายังยืนทะมึนคุมอยู่เบื้องหลัง นั่นก็คือกองทัพ ซึ่งเป็นสถาบันที่คนเสื้อแดงจะต้องบริหารและรักษาจุดสมดุลให้ดี มิฉะนั้นแล้ว อาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ดังนั้น หลัง 3 ก.ค.ใครชนะการเลือกตั้ง บ้านเมืองหนีไม่พ้นที่จะเกิดความวุ่นวาย ดังเช่นที่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง 3 ก.ค.โดยอ้างคำพูดของพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน จากมหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่เอาไว้ว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้จะนำไปสู่ความรุนแรง และเหตุจลาจลมากขึ้น เนื่องจากไม่ว่าใครได้จัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไป จะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือ ประชาธิปัตย์ ก็จะต้องมีผู้ออกมาชุมนุมประท้วงตามท้องถนนคัดค้านพรรคเหล่านั้นอยู่ดี นั่นหมายถึงว่า ไม่มีพรรคใดที่จะสามารถอ้างความชอบธรรม หรืออำนาจจากประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้จริง”