“โค้งสุดท้าย” ของการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ ต้องเรียกว่า “โค้งสุดท้ายจริง!” ที่การเลือกตั้งล่วงหน้าได้ปรากฏเกิดขึ้นแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีการเข้าร่วมใช้สิทธิการเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศไปแล้วหลายล้านคน หรือคิดประมาณร้อยละ 65 ของกลุ่มประชากรที่มีสิทธิเลือกตั้ง
นัยสำคัญของการใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งล่วงหน้าและในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2554 คือ “กลุ่มคนรุ่นใหม่” ที่มีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไปจำนวนประมาณ 10 กว่าล้านคน ที่ค่อนข้างมีแนวโน้มที่เป็นของตนเอง และน่าเชื่อว่า “มีอุดมคติ” ที่มีความรู้ และความเข้าใจ ตลอดจน “ตื่นตัว” กับการเลือกตั้งครั้งสำคัญนี้
ความหวังสำคัญสำหรับการเลือกตั้งในอีกเพียง 5 วันเท่านั้น คือ “การพิจารณาศึกษา” อย่างถ่องแท้ ของบรรดากลุ่มบุคคลที่ยังมิได้เป็น “แฟนพันธุ์แท้” ไม่ว่าจะอยู่ขั้วใด สีใด ซึ่งยังพิจารณาอยู่ว่า “จะเลือกใครดี” และ “เลือกพรรคไหนดี” สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขต (ส.ส.เขต) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ (ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์) ที่ขอฟันธงได้เลยว่า น่าจะมีจำนวนสูงถึงร้อยละ 30 กว่า ที่ส่งผลสำคัญสำหรับพรรคใหญ่สองพรรค
ประเด็นสำคัญสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ น่าจะส่งผลต่อ “การพัฒนาการเมืองการปกครอง” ตลอดจน “การบริหาร” ของ “บริบทสังคมยุคใหม่” ที่เราน่าจะเบื่อหน่ายกับ “ความขัดแย้ง” จนเลยเถิดสู่ “การแตกแยก” ของสังคมไทย
จริงๆ แล้ว มีหลากหลายกลุ่มบุคคล ที่น่าจะยังคงยึดติดอยู่กับ “ตัวบุคคล” ที่ว่าต้องได้รับ “การสนับสนุนจากกลุ่มประชาชน” ที่อาจคิดว่าเป็น “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง ทั้งนี้ กลุ่มบุคคลนี้เป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นทั้งแฟนคลับ และประกอบกับ “การรับเงินทอง“ จากมหาเศรษฐีทางการเมืองที่น่าจะมี “ความเคียดแค้น” ในการ “ตกจากอำนาจ” จนเพียรพยายามล้มล้างสถาบันเดิม ที่มีบทบาทและอิทธิพลสูงต่อระบอบการเมืองการปกครองไทย
แต่ในขณะเดียวกัน ยังคงมีอีกหลากหลายกลุ่มบุคคลที่ยึดมั่นใน “ความถูกต้องและเป็นธรรม” โดยน่าจะรู้ลึกซึ้งถึงความเป็นมาเป็นไปของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มที่สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมือง และอาจจะเลยเถิดถึง “วาระซ่อนเร้น” ที่พรรคการเมืองและองค์คณะคิดก้าวไกลถึง “การเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครอง” ก็น่าจะเป็นได้
ปัญหาของการเลือกตั้งครั้งนี้ น่าจะมีประชาชนจำนวนมากพอสมควรที่อาจเข็ดขยาดกับปัญหาการก่อความขัดแย้ง และมิอาจก้าวข้ามไปได้ ซึ่งหลายๆ คนน่าจะเอือมระอา และพร้อมในการศึกษาและพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองเรา
จริงๆ แล้ว ถ้าผลการเลือกตั้งสรุปออกมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม หลังการทำงานของ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)” สมมติว่า “พรรคเพื่อไทย” ได้คะแนนแบบถล่มทลาย (Landslide) สูงมากถึง 250 ที่นั่งขึ้นไป เราก็ต้องยอมรับในความเป็นจริงที่ “เขา” ต้องมาจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ ขอย้ำว่า “เราต้องยอมรับ” โดยแม้กระทั่ง “กองทัพบก” เองก็ประกาศชัดแจ้งไปแล้วว่า “ยอมรับ!”
ประเด็นสำคัญของการยอมรับในครั้งนี้ แน่นอนว่า “ไม่มีเอกภาพ” อย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ผลปรากฏออกมาเช่นนั้น สำหรับฝ่ายที่ไม่ยอมรับ คงต้องก้มหน้ารับกันต่อไป ทั้งนี้ “คุณปู : ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นั้น น่าจะเด็กเกินไปกับ “ความรอบรู้ปัญหา” จากรอบด้านทั้ง “ภายในประเทศ-ต่างประเทศ” ที่ปัจจุบันสังคมยุคใหม่จะมารู้ภายในประเทศคงไม่ได้แล้ว!
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องยอมรับกันไปโดยที่คุณปูจำต้องนำคณะที่ปรึกษาและผู้รอบรู้ทั้งหลายมารายรอบตัว มิเช่นนั้น อาจจะบริหารประเทศชาติผิดพลาดได้ โดยที่แน่นอน พี่ชายจะต้องคอยบงการอยู่ข้างหลังในการพิจารณาแต่ละวัน ซึ่งจะทำได้หรือไม่นั้น คงเสียค่าใช้จ่ายน่าดูกับการติดต่อสื่อสาร
และถ้า “พรรคประชาธิปัตย์” กลับพลิกโผสารพัดสำรวจ (โพล) คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง ถามว่า “คนไทยเบื่อหรือไม่” คำตอบสามารถตอบได้เลยว่า “เบื่อ” เนื่องด้วยคุณอภิสิทธิ์นั้นช่วงระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ยังมิได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากมายนัก แต่ถ้าถามว่า “เก่งกว่า” คุณปูหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “เก่งกว่าแน่นอน” ในกรณีของ “ความรู้-ความคิด” และ “ประสบการณ์-วาทศิลป์”
จริงๆ แล้ว เราคนไทย ไม่น่าจะมีทางเลือกมากมายนักกับ “การเลือกผู้นำ” ที่จะมาบริหารประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “เราคงได้คนหน้าเดิม” ที่ “เขี้ยวลากดิน” กับ “คนหน้าใหม่” ชนิดที่เรียกว่า “อาโนเนะ!”
คำถามสำคัญที่ทุกคนถามว่า “แล้วเราจะได้อะไรดีขึ้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้” คำตอบที่แทบทุกฝ่ายตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เออ! ดีนะ เลือกตั้งทีไร ได้เงินใช้ทุกที” หรือ “ก็คนเดิมๆ บริหารประเทศแบบเดิมๆ แถมรวยขึ้นอีก” หรือ “มันจะมีการประท้วง ปะทะกันอีกหรือไม่!” หรือ “อีกไม่นานทหารก็ต้องออกมายึดอำนาจอีก”
นั่นคือคำถามที่ต่างคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า “การเมืองไทยยังไงๆ ก็คงหนีไม่พ้น วงจรอุบาทว์อยู่วันยังค่ำ!?!” ดังนั้น เราทุกคนที่มีสิทธิเลือกตั้งต้องพินิจพิจารณาให้ดีๆ มิใช่ปล่อยให้เป็นไปตาม “คำสั่ง” กับ “เงินแจก” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ปล่อยตามยถากรรม” ชาติบ้านเมืองให้ “คุ้มดีคุ้มร้าย” กันอย่างนี้ตลอดไป
ต้องคิดดีๆ นะ!
นัยสำคัญของการใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งล่วงหน้าและในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2554 คือ “กลุ่มคนรุ่นใหม่” ที่มีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไปจำนวนประมาณ 10 กว่าล้านคน ที่ค่อนข้างมีแนวโน้มที่เป็นของตนเอง และน่าเชื่อว่า “มีอุดมคติ” ที่มีความรู้ และความเข้าใจ ตลอดจน “ตื่นตัว” กับการเลือกตั้งครั้งสำคัญนี้
ความหวังสำคัญสำหรับการเลือกตั้งในอีกเพียง 5 วันเท่านั้น คือ “การพิจารณาศึกษา” อย่างถ่องแท้ ของบรรดากลุ่มบุคคลที่ยังมิได้เป็น “แฟนพันธุ์แท้” ไม่ว่าจะอยู่ขั้วใด สีใด ซึ่งยังพิจารณาอยู่ว่า “จะเลือกใครดี” และ “เลือกพรรคไหนดี” สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขต (ส.ส.เขต) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ (ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์) ที่ขอฟันธงได้เลยว่า น่าจะมีจำนวนสูงถึงร้อยละ 30 กว่า ที่ส่งผลสำคัญสำหรับพรรคใหญ่สองพรรค
ประเด็นสำคัญสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ น่าจะส่งผลต่อ “การพัฒนาการเมืองการปกครอง” ตลอดจน “การบริหาร” ของ “บริบทสังคมยุคใหม่” ที่เราน่าจะเบื่อหน่ายกับ “ความขัดแย้ง” จนเลยเถิดสู่ “การแตกแยก” ของสังคมไทย
จริงๆ แล้ว มีหลากหลายกลุ่มบุคคล ที่น่าจะยังคงยึดติดอยู่กับ “ตัวบุคคล” ที่ว่าต้องได้รับ “การสนับสนุนจากกลุ่มประชาชน” ที่อาจคิดว่าเป็น “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง ทั้งนี้ กลุ่มบุคคลนี้เป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นทั้งแฟนคลับ และประกอบกับ “การรับเงินทอง“ จากมหาเศรษฐีทางการเมืองที่น่าจะมี “ความเคียดแค้น” ในการ “ตกจากอำนาจ” จนเพียรพยายามล้มล้างสถาบันเดิม ที่มีบทบาทและอิทธิพลสูงต่อระบอบการเมืองการปกครองไทย
แต่ในขณะเดียวกัน ยังคงมีอีกหลากหลายกลุ่มบุคคลที่ยึดมั่นใน “ความถูกต้องและเป็นธรรม” โดยน่าจะรู้ลึกซึ้งถึงความเป็นมาเป็นไปของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มที่สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมือง และอาจจะเลยเถิดถึง “วาระซ่อนเร้น” ที่พรรคการเมืองและองค์คณะคิดก้าวไกลถึง “การเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครอง” ก็น่าจะเป็นได้
ปัญหาของการเลือกตั้งครั้งนี้ น่าจะมีประชาชนจำนวนมากพอสมควรที่อาจเข็ดขยาดกับปัญหาการก่อความขัดแย้ง และมิอาจก้าวข้ามไปได้ ซึ่งหลายๆ คนน่าจะเอือมระอา และพร้อมในการศึกษาและพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองเรา
จริงๆ แล้ว ถ้าผลการเลือกตั้งสรุปออกมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม หลังการทำงานของ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)” สมมติว่า “พรรคเพื่อไทย” ได้คะแนนแบบถล่มทลาย (Landslide) สูงมากถึง 250 ที่นั่งขึ้นไป เราก็ต้องยอมรับในความเป็นจริงที่ “เขา” ต้องมาจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ ขอย้ำว่า “เราต้องยอมรับ” โดยแม้กระทั่ง “กองทัพบก” เองก็ประกาศชัดแจ้งไปแล้วว่า “ยอมรับ!”
ประเด็นสำคัญของการยอมรับในครั้งนี้ แน่นอนว่า “ไม่มีเอกภาพ” อย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ผลปรากฏออกมาเช่นนั้น สำหรับฝ่ายที่ไม่ยอมรับ คงต้องก้มหน้ารับกันต่อไป ทั้งนี้ “คุณปู : ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นั้น น่าจะเด็กเกินไปกับ “ความรอบรู้ปัญหา” จากรอบด้านทั้ง “ภายในประเทศ-ต่างประเทศ” ที่ปัจจุบันสังคมยุคใหม่จะมารู้ภายในประเทศคงไม่ได้แล้ว!
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องยอมรับกันไปโดยที่คุณปูจำต้องนำคณะที่ปรึกษาและผู้รอบรู้ทั้งหลายมารายรอบตัว มิเช่นนั้น อาจจะบริหารประเทศชาติผิดพลาดได้ โดยที่แน่นอน พี่ชายจะต้องคอยบงการอยู่ข้างหลังในการพิจารณาแต่ละวัน ซึ่งจะทำได้หรือไม่นั้น คงเสียค่าใช้จ่ายน่าดูกับการติดต่อสื่อสาร
และถ้า “พรรคประชาธิปัตย์” กลับพลิกโผสารพัดสำรวจ (โพล) คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง ถามว่า “คนไทยเบื่อหรือไม่” คำตอบสามารถตอบได้เลยว่า “เบื่อ” เนื่องด้วยคุณอภิสิทธิ์นั้นช่วงระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ยังมิได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากมายนัก แต่ถ้าถามว่า “เก่งกว่า” คุณปูหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “เก่งกว่าแน่นอน” ในกรณีของ “ความรู้-ความคิด” และ “ประสบการณ์-วาทศิลป์”
จริงๆ แล้ว เราคนไทย ไม่น่าจะมีทางเลือกมากมายนักกับ “การเลือกผู้นำ” ที่จะมาบริหารประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “เราคงได้คนหน้าเดิม” ที่ “เขี้ยวลากดิน” กับ “คนหน้าใหม่” ชนิดที่เรียกว่า “อาโนเนะ!”
คำถามสำคัญที่ทุกคนถามว่า “แล้วเราจะได้อะไรดีขึ้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้” คำตอบที่แทบทุกฝ่ายตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เออ! ดีนะ เลือกตั้งทีไร ได้เงินใช้ทุกที” หรือ “ก็คนเดิมๆ บริหารประเทศแบบเดิมๆ แถมรวยขึ้นอีก” หรือ “มันจะมีการประท้วง ปะทะกันอีกหรือไม่!” หรือ “อีกไม่นานทหารก็ต้องออกมายึดอำนาจอีก”
นั่นคือคำถามที่ต่างคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า “การเมืองไทยยังไงๆ ก็คงหนีไม่พ้น วงจรอุบาทว์อยู่วันยังค่ำ!?!” ดังนั้น เราทุกคนที่มีสิทธิเลือกตั้งต้องพินิจพิจารณาให้ดีๆ มิใช่ปล่อยให้เป็นไปตาม “คำสั่ง” กับ “เงินแจก” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ปล่อยตามยถากรรม” ชาติบ้านเมืองให้ “คุ้มดีคุ้มร้าย” กันอย่างนี้ตลอดไป
ต้องคิดดีๆ นะ!