เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้เขียนเพื่อเตือนสติผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และลิ่วล้อพรรคเพื่อไทย ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาหาเสียงไป อย่าได้รบกวนขัดขว้างการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจ 315 ที่กำลังใช้โมเมนตัมปราบปรามยาเสพติด แต่วันนี้ นายไพโรจน์ อิสรเสรีพงษ์ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ถูกเจ้าหน้าที่ทหารเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ฉก.315 ขณะที่กำลังประชาสัมพันธ์ ขณะนำแบบฟอร์มสำรวจยาเสพติดไปแจกจ่ายในบ้านถนนเรียบวารี เขตหนองจอก กทม. เพื่อช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติดมาบำบัด
คำถามสำคัญที่ว่า ทำไมนายไพโรจน์ จึงต้องเดือดร้อนกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก. 315 ปฏิบัติหน้าที่ต่อต้านยาเสพติดซึ่งกำลังระบาดอย่างรุนแรงโดยหวังเปิดหนทางให้ผู้ติดยาซึ่งไม่มีเว้นวรรคแม้ในช่วงเวลาหาเสียงของนักการเมือง เพราะอาการลงแดงไม่ได้หายไปไหน หรือคนขายยาจะหยุดชั่วคราวเพื่อเปิดโอกาสให้นักการเมืองหาเสียงได้อย่างปลอดเจ้าหน้าที่รัฐปราบปรามยาเสพติด
ในกรณีนี้สังคมคนไทยต่อต้านยาเสพติด อาจตั้งสมมติฐานหาแนววิเคราะห์ว่า นักการเมืองท้องถิ่น หรือนายทุนย่อยท้องถิ่นบางคน อาจได้รับสัญญาณจากขาใหญ่ส่งยาเสพติดให้กดดันเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยอาชญากรประจำถิ่นจะรวบรวมฐานเสียงสนับสนุนตอบแทน และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าอัตราส่วนของสังคมฐานล่างเสพยาบ้ามากที่สุด เพราะถูกที่สุด ติดง่าย และหาง่ายที่สุดซึ่งพิสูจน์มาแล้ว จึงเป็นโอกาสหาเงินและหาเสียง
ทำไมนายไพโรจน์ จึงต้องกินปูนร้อนท้อง หากเขาเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารหน่วย ฉก. 315 ขัดขวางการรณรงค์หาเสียงของตนแล้ว ก็สามารถร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และ กกต.ก็ได้ ทหารย่อมมีความผิดฐานขัดขวางขบวนการเลือกตั้ง ทหารหน่วยนั้นต้องมีโทษอย่างแน่นอน
การใช้กลยุทธ์ว่า “ถูกทหารรังแก” นั้น ควรจะเลิกใช้ได้แล้ว เพราะว่ากลยุทธ์นี้ถูกใช้ซ้ำซาก จนกลายเป็นเรื่องจำใจของสังคมไทยไปแล้ว แม้ว่า นายไพโรจน์ อาจจะถูกข้อหาพกพาอาวุธในที่สาธารณะ นายโพโรจน์ ก็อาจจะแก้ต่างได้ว่ามีปืนไว้ป้องกันตัว ก็ต้องไปแก้ตัวในชั้นศาล
แต่ที่สำคัญเมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.สัดส่วนบัญชีรายชื่ออันดับหนึ่งของพรรคเพื่อไทย กินปูนร้อนท้องไปด้วยอีกคนหนึ่ง สังคมควรจะต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมตอบสนองนี้ เพราะผู้นำที่ดีต้องอดกลั้นและพิจารณาข้อมูลที่เป็นจริงเสียก่อน แล้วจึงควรออกมาวิจารณ์การปฏิบัติการของทหาร ว่าขัดขวางการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยหรือไม่อย่างไร แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับพิพากษาว่า นาย ไพโรจน์ ไม่ได้กระทำอย่างที่ถูกกล่าวหา กรณีนี้เสมือนหนึ่งว่ากองทัพบกโดยรวมพูดเท็จ
การรายงานทางทหารนั้นมีความชัดเจนมากในเรื่องการนำเสนอหนังสือฝ่ายอำนวยการ หรือ Executive Summary Report ที่มีการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ ทั้งมีข้ออ้างอิงพิสูจน์ได้ ทำให้การรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรจึงมีความชัดเจน และได้ผ่านการตรวจสอบตามสายการบังคับบัญชา และระบบสารบรรณ จนถึงผู้บัญชาการทหารบก ที่สั่งการให้แจ้งความ เพราะเป็นเรื่องของกองทัพ และเรื่องนี้สาธารณชนต้องการเห็นกระบวนการยุติธรรม จนมีคำพิพากษาตามครรลองของกฎหมายเพื่อให้ทหารสามารถปฏิบัติงานนี้ได้อย่างอิสระภายใต้กรอบกฎหมายและมีประสิทธิภาพ
นี่น่าจะเป็นเรื่องหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ที่สามารถยับยั้งอันธพาลมิให้เข้าสภาผู้แทนราษฎร บัญญัติกฎหมาย และก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยที่มีการศึกษาสูงๆจะเป็นผู้วิไล มีความเจริญทางวัยวุฒิและธรรมวุฒิดังเช่นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเตือนสติคนไทย คือ
“ฝูงชนกำเนิดคล้ายคลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณแผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทันกันหมด เว้นแต่ชั่วดีกระด้าง ห่อนแก้ฤาไหว”
เหตุการณ์นี้เป็นอีกจุดหมุนหนึ่งของสังคมไทย ที่จะต้องพิจารณาทางเลือกการเมืองไทย เพราะหากการเมืองไทยอยู่บนพื้นฐานความคิดเชิงอันธพาลแล้ว อนาคตของชาติย่อมมืดมนดับสูญแน่นอน
ข้อคิดเหล่านี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงข้อคิดนโยบายของพรรคการเมือง หรือของนักการเมือง เช่น การปรองดองและนิรโทษกรรมทักษิณ หรือประชานิยมที่จะเป็นต้นเหตุเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และแต่ละนโยบายนั้นมิได้ส่งผลให้เกิดความรุ่งเรืองในชาติเลย รังแต่จะดึงให้ประเทศชาติลงเหว
เรื่องปรองดองนั้น ในโลกนี้มีตัวอย่างของการสงครามของเผ่าพันธุ์และศาสนา หรือสงครามกลางเมืองของกลุ่มต่างอุดมการณ์และผลประโยชน์รบพุ่งกัน ล้มตายนับล้านๆ มาแล้ว ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเองก็สัมผัสการต่อสู้รบพุ่งกันเองมาก่อนแล้วหลายสงคราม และหลังยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองก็รบพุ่งกันหลายกรณีกบฏ แต่ในที่สุดทุกฝ่ายก็ปรองดองกันได้เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่ทำให้เกิดสันติสุขในกลุ่มปวงชน หรือในยุคนี้ทุกคนในชาติมีแสงสว่างเมตตาธรรม ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้อย่างต่อเนื่อง ด้วยพระราชหฤทัย พระวรกาย และพระปัญญา ทำให้คนไทยสามารถอยู่รวมกันได้ รวมทั้งทำให้ทหารที่รบกันในหลายกรณี เช่น กบฏวังหลวง กบฏแมนฮัตตัน กบฏ 26 มีนาคม 2520 ที่พล.ต.สนั่น มีส่วนร่วม แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีการผูกใจเจ็บ พยาบาทกัน ต่างมีชีวิตร่วมกัน ลูกหลานเป็นมิตรกัน
แม้กระทั่งการปรองดองระหว่าง นายเสนาะ เทียนทอง กับทักษิณ ซึ่งครั้งหนึ่งเกิดสงครามน้ำลายต่อกัน เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองขัดกัน เมื่ออำนาจบารมีของ นายเสนาะถูกทักษิณทำลาย แต่บัดนี้ นายเสนาะกลับมาใกล้ชิดและจงรักภักดีกับทักษิณอีกครั้ง เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตเป็นบำเหน็จรางวัล
ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อปัญหาสังคมถูกขจัดไป หากความเป็นลัทธิอัตตานิยมเฉพาะบุคคลยังคงปรากฏอยู่เมื่อใด ประเทศนี้ก็ยังคงความขัดแย้ง จึงเกิดคำถามว่าทำไม นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตข้าราชการมีประวัติการทำงานทั้งในระบบราชการ การเมือง รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน และภาคองค์กรอิสระ และการศึกษาในยุคทักษิณครองเมือง และเชื่อว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ระดับหนึ่งจึงยังคงเชื่อมั่นในลัทธินี้
ในการรักษาตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยของเขา มีวาระซ่อนเร้น มีวัตถุประสงค์เฉพาะบางอย่าง ได้ลาออกไปตามบทแล้วรับเลือกเข้ามาใหม่ เพื่อให้มีการปรับโครงสร้างพรรคใหม่ อันเป็นกลการเมืองระดับครูที่จะเรียกเอกภาพให้ตกเป็นของตน เพราะว่าทักษิณไม่ไว้ใจใครนอกจากนายยงยุทธที่เคยเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยยุครุ่งเรืองของทักษิณ และเข้าวงการเมืองหลังเกษียณอายุราชการทันที มีหน้าที่ มีตำแหน่งที่ทางการเมืองและรัฐวิสาหกิจที่ควบคุมผลประโยชน์อันมีค่าตอบแทนสูง
ทำไม นายยงยุทธไม่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี ตามทฤษฎีของ ดร.อับราฮัม มาสโลว์ ที่ว่าด้วยความปรารถนาสูงสุดของมนุษย์ หรือนายยงยุทธต้องการเป็นเพียงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ก็ถือว่าจบวิถีอำนาจและบารมีของตนเองแล้ว หรือตนเองไม่มีบารมีเพียงพอบริหารประเทศ
เราคงต้องตั้งสมมติฐานว่า นายยงยุทธพอใจแล้ว หรือได้รับอะไรมากมายจนเพียงพอแล้ว หรือเป็นเพียง “ผู้รักษา” Keeper เพราะต้องคืนหนี้ ด้วยการทำให้วัตถุประสงค์ของทักษิณบรรลุที่จะกลับมาล้างบางศัตรู ล้างมลทิน ล้างละลายอุปสรรคขวากหนามที่เขาเผชิญอยู่สู่อำนาจการเมืองสูงสุด
หากใช้ข้อสมมติฐานหลังว่า นายยงยุทธดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ไม่ลงบัญชีรายชื่อ ส.ส.สัดส่วนอันดับหนึ่ง และไม่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวในไส้ของทักษิณ ให้มีความหวังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและจะเสนอกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมให้ทักษิณทันที
สันติสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการออกจากอำนาจของทักษิณก็เพราะว่ามีคนจำนวนมากเคลื่อนไหวขับไล่ให้ลาออก หรือให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ พ.ศ.2547 มีเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้นมากมายถึงขั้นฆ่าฟันล้มตายกันในประเทศจนถึงปัจจุบัน
เรื่องเหล่านี้จะสลายไปจากความคิดของคนกลุ่มนี้ที่ต่อต้านทักษิณได้อย่างไร การคุ้ยเขี่ยก็คงจะเริ่มขึ้นอีก เช่น กรณีที่นายแก้วสรร และนายแพทย์ตุลย์ เปิดประเด็นการเมืองอ้างอิงคดีซุกหุ้นของนางสาวยิ่งลักษณ์
การคุ้ยเขี่ยเปิดโปงเรื่องราวต่างๆ ของบุคคลสาธารณะ เป็นเรื่องปกติในโลกนี้ ไม่ว่าการเมืองระดับความเจริญ 5 ศตวรรษ หรือความเจริญเพียงแค่ 8 ทศวรรษ เพราะสาธารณชนต้องการรู้เรื่องชั่วๆ หรือเรื่องอื้อฉาว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักการเมืองจะโดนขุดคุ้ย ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ การแจ้งบัญชีทรัพย์สินก็เป็นการขุดคุ้ยตามกฎหมายอยู่แล้วและทักษิณก็โดนคดีซุกหุ้นมาแล้ว
คำถามสำคัญที่ว่า ทำไมนายไพโรจน์ จึงต้องเดือดร้อนกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก. 315 ปฏิบัติหน้าที่ต่อต้านยาเสพติดซึ่งกำลังระบาดอย่างรุนแรงโดยหวังเปิดหนทางให้ผู้ติดยาซึ่งไม่มีเว้นวรรคแม้ในช่วงเวลาหาเสียงของนักการเมือง เพราะอาการลงแดงไม่ได้หายไปไหน หรือคนขายยาจะหยุดชั่วคราวเพื่อเปิดโอกาสให้นักการเมืองหาเสียงได้อย่างปลอดเจ้าหน้าที่รัฐปราบปรามยาเสพติด
ในกรณีนี้สังคมคนไทยต่อต้านยาเสพติด อาจตั้งสมมติฐานหาแนววิเคราะห์ว่า นักการเมืองท้องถิ่น หรือนายทุนย่อยท้องถิ่นบางคน อาจได้รับสัญญาณจากขาใหญ่ส่งยาเสพติดให้กดดันเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยอาชญากรประจำถิ่นจะรวบรวมฐานเสียงสนับสนุนตอบแทน และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าอัตราส่วนของสังคมฐานล่างเสพยาบ้ามากที่สุด เพราะถูกที่สุด ติดง่าย และหาง่ายที่สุดซึ่งพิสูจน์มาแล้ว จึงเป็นโอกาสหาเงินและหาเสียง
ทำไมนายไพโรจน์ จึงต้องกินปูนร้อนท้อง หากเขาเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารหน่วย ฉก. 315 ขัดขวางการรณรงค์หาเสียงของตนแล้ว ก็สามารถร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และ กกต.ก็ได้ ทหารย่อมมีความผิดฐานขัดขวางขบวนการเลือกตั้ง ทหารหน่วยนั้นต้องมีโทษอย่างแน่นอน
การใช้กลยุทธ์ว่า “ถูกทหารรังแก” นั้น ควรจะเลิกใช้ได้แล้ว เพราะว่ากลยุทธ์นี้ถูกใช้ซ้ำซาก จนกลายเป็นเรื่องจำใจของสังคมไทยไปแล้ว แม้ว่า นายไพโรจน์ อาจจะถูกข้อหาพกพาอาวุธในที่สาธารณะ นายโพโรจน์ ก็อาจจะแก้ต่างได้ว่ามีปืนไว้ป้องกันตัว ก็ต้องไปแก้ตัวในชั้นศาล
แต่ที่สำคัญเมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.สัดส่วนบัญชีรายชื่ออันดับหนึ่งของพรรคเพื่อไทย กินปูนร้อนท้องไปด้วยอีกคนหนึ่ง สังคมควรจะต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมตอบสนองนี้ เพราะผู้นำที่ดีต้องอดกลั้นและพิจารณาข้อมูลที่เป็นจริงเสียก่อน แล้วจึงควรออกมาวิจารณ์การปฏิบัติการของทหาร ว่าขัดขวางการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยหรือไม่อย่างไร แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับพิพากษาว่า นาย ไพโรจน์ ไม่ได้กระทำอย่างที่ถูกกล่าวหา กรณีนี้เสมือนหนึ่งว่ากองทัพบกโดยรวมพูดเท็จ
การรายงานทางทหารนั้นมีความชัดเจนมากในเรื่องการนำเสนอหนังสือฝ่ายอำนวยการ หรือ Executive Summary Report ที่มีการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ ทั้งมีข้ออ้างอิงพิสูจน์ได้ ทำให้การรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรจึงมีความชัดเจน และได้ผ่านการตรวจสอบตามสายการบังคับบัญชา และระบบสารบรรณ จนถึงผู้บัญชาการทหารบก ที่สั่งการให้แจ้งความ เพราะเป็นเรื่องของกองทัพ และเรื่องนี้สาธารณชนต้องการเห็นกระบวนการยุติธรรม จนมีคำพิพากษาตามครรลองของกฎหมายเพื่อให้ทหารสามารถปฏิบัติงานนี้ได้อย่างอิสระภายใต้กรอบกฎหมายและมีประสิทธิภาพ
นี่น่าจะเป็นเรื่องหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ที่สามารถยับยั้งอันธพาลมิให้เข้าสภาผู้แทนราษฎร บัญญัติกฎหมาย และก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยที่มีการศึกษาสูงๆจะเป็นผู้วิไล มีความเจริญทางวัยวุฒิและธรรมวุฒิดังเช่นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเตือนสติคนไทย คือ
“ฝูงชนกำเนิดคล้ายคลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณแผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทันกันหมด เว้นแต่ชั่วดีกระด้าง ห่อนแก้ฤาไหว”
เหตุการณ์นี้เป็นอีกจุดหมุนหนึ่งของสังคมไทย ที่จะต้องพิจารณาทางเลือกการเมืองไทย เพราะหากการเมืองไทยอยู่บนพื้นฐานความคิดเชิงอันธพาลแล้ว อนาคตของชาติย่อมมืดมนดับสูญแน่นอน
ข้อคิดเหล่านี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงข้อคิดนโยบายของพรรคการเมือง หรือของนักการเมือง เช่น การปรองดองและนิรโทษกรรมทักษิณ หรือประชานิยมที่จะเป็นต้นเหตุเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และแต่ละนโยบายนั้นมิได้ส่งผลให้เกิดความรุ่งเรืองในชาติเลย รังแต่จะดึงให้ประเทศชาติลงเหว
เรื่องปรองดองนั้น ในโลกนี้มีตัวอย่างของการสงครามของเผ่าพันธุ์และศาสนา หรือสงครามกลางเมืองของกลุ่มต่างอุดมการณ์และผลประโยชน์รบพุ่งกัน ล้มตายนับล้านๆ มาแล้ว ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเองก็สัมผัสการต่อสู้รบพุ่งกันเองมาก่อนแล้วหลายสงคราม และหลังยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองก็รบพุ่งกันหลายกรณีกบฏ แต่ในที่สุดทุกฝ่ายก็ปรองดองกันได้เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่ทำให้เกิดสันติสุขในกลุ่มปวงชน หรือในยุคนี้ทุกคนในชาติมีแสงสว่างเมตตาธรรม ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้อย่างต่อเนื่อง ด้วยพระราชหฤทัย พระวรกาย และพระปัญญา ทำให้คนไทยสามารถอยู่รวมกันได้ รวมทั้งทำให้ทหารที่รบกันในหลายกรณี เช่น กบฏวังหลวง กบฏแมนฮัตตัน กบฏ 26 มีนาคม 2520 ที่พล.ต.สนั่น มีส่วนร่วม แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีการผูกใจเจ็บ พยาบาทกัน ต่างมีชีวิตร่วมกัน ลูกหลานเป็นมิตรกัน
แม้กระทั่งการปรองดองระหว่าง นายเสนาะ เทียนทอง กับทักษิณ ซึ่งครั้งหนึ่งเกิดสงครามน้ำลายต่อกัน เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองขัดกัน เมื่ออำนาจบารมีของ นายเสนาะถูกทักษิณทำลาย แต่บัดนี้ นายเสนาะกลับมาใกล้ชิดและจงรักภักดีกับทักษิณอีกครั้ง เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตเป็นบำเหน็จรางวัล
ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อปัญหาสังคมถูกขจัดไป หากความเป็นลัทธิอัตตานิยมเฉพาะบุคคลยังคงปรากฏอยู่เมื่อใด ประเทศนี้ก็ยังคงความขัดแย้ง จึงเกิดคำถามว่าทำไม นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตข้าราชการมีประวัติการทำงานทั้งในระบบราชการ การเมือง รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน และภาคองค์กรอิสระ และการศึกษาในยุคทักษิณครองเมือง และเชื่อว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ระดับหนึ่งจึงยังคงเชื่อมั่นในลัทธินี้
ในการรักษาตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยของเขา มีวาระซ่อนเร้น มีวัตถุประสงค์เฉพาะบางอย่าง ได้ลาออกไปตามบทแล้วรับเลือกเข้ามาใหม่ เพื่อให้มีการปรับโครงสร้างพรรคใหม่ อันเป็นกลการเมืองระดับครูที่จะเรียกเอกภาพให้ตกเป็นของตน เพราะว่าทักษิณไม่ไว้ใจใครนอกจากนายยงยุทธที่เคยเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยยุครุ่งเรืองของทักษิณ และเข้าวงการเมืองหลังเกษียณอายุราชการทันที มีหน้าที่ มีตำแหน่งที่ทางการเมืองและรัฐวิสาหกิจที่ควบคุมผลประโยชน์อันมีค่าตอบแทนสูง
ทำไม นายยงยุทธไม่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี ตามทฤษฎีของ ดร.อับราฮัม มาสโลว์ ที่ว่าด้วยความปรารถนาสูงสุดของมนุษย์ หรือนายยงยุทธต้องการเป็นเพียงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ก็ถือว่าจบวิถีอำนาจและบารมีของตนเองแล้ว หรือตนเองไม่มีบารมีเพียงพอบริหารประเทศ
เราคงต้องตั้งสมมติฐานว่า นายยงยุทธพอใจแล้ว หรือได้รับอะไรมากมายจนเพียงพอแล้ว หรือเป็นเพียง “ผู้รักษา” Keeper เพราะต้องคืนหนี้ ด้วยการทำให้วัตถุประสงค์ของทักษิณบรรลุที่จะกลับมาล้างบางศัตรู ล้างมลทิน ล้างละลายอุปสรรคขวากหนามที่เขาเผชิญอยู่สู่อำนาจการเมืองสูงสุด
หากใช้ข้อสมมติฐานหลังว่า นายยงยุทธดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ไม่ลงบัญชีรายชื่อ ส.ส.สัดส่วนอันดับหนึ่ง และไม่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวในไส้ของทักษิณ ให้มีความหวังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและจะเสนอกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมให้ทักษิณทันที
สันติสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการออกจากอำนาจของทักษิณก็เพราะว่ามีคนจำนวนมากเคลื่อนไหวขับไล่ให้ลาออก หรือให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ พ.ศ.2547 มีเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้นมากมายถึงขั้นฆ่าฟันล้มตายกันในประเทศจนถึงปัจจุบัน
เรื่องเหล่านี้จะสลายไปจากความคิดของคนกลุ่มนี้ที่ต่อต้านทักษิณได้อย่างไร การคุ้ยเขี่ยก็คงจะเริ่มขึ้นอีก เช่น กรณีที่นายแก้วสรร และนายแพทย์ตุลย์ เปิดประเด็นการเมืองอ้างอิงคดีซุกหุ้นของนางสาวยิ่งลักษณ์
การคุ้ยเขี่ยเปิดโปงเรื่องราวต่างๆ ของบุคคลสาธารณะ เป็นเรื่องปกติในโลกนี้ ไม่ว่าการเมืองระดับความเจริญ 5 ศตวรรษ หรือความเจริญเพียงแค่ 8 ทศวรรษ เพราะสาธารณชนต้องการรู้เรื่องชั่วๆ หรือเรื่องอื้อฉาว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักการเมืองจะโดนขุดคุ้ย ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ การแจ้งบัญชีทรัพย์สินก็เป็นการขุดคุ้ยตามกฎหมายอยู่แล้วและทักษิณก็โดนคดีซุกหุ้นมาแล้ว