ASTVผู้จัดการรายวัน - สตช.ตั้งดรีมทีมดึงมือดีตำรวจสืบสวนกลางกับตำรวจเศรษฐกิจ ไล่ล่าดีแทคผิดกฎหมายต่างด้าวหรือไม่ เผยซับซ้อนมากกว่ากุหลาบแก้ว
พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าทีมพนักงานสอบสวนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ให้รับคำกล่าวโทษของบริษัท ทรูมูฟ ที่เคยแจ้งความต่อตำรวจปราบปรามมาดำเนินการตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของดีแทคที่ได้รับการร้องเรียนว่าไม่ได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มาตรา 4 ที่ห้ามคนต่างด้าวถือหุ้นเกิน 49%
เรื่องกล่าวโทษดีแทคที่หลีกเลี่ยงพ.ร.บ.ต่างด้าวนั้นเคยมีผู้ดำเนินการกล่าวโทษ โดยอ้างอิงเอกผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียน กรณีปัญหาการถือหุ้นการครอบงำกิจการและการถือสิทธิ์ในที่ดินโดยคนต่างด้าวที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโทรคมนาคมของคณะกรรมาธิการสื่อสารและโทรคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ประกาศ ณ วันที่ 21 เม.ย.2554 และทาง ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาสอบสวนเรื่องนี้ โดยได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้นมา 1 ชุด เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา
'การตรวจสอบครั้งนี้ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีการเพิ่มทีมสืบสวนเพิ่มขึ้นอีก 12 คนรวมกับทีมสืบสวนเดิมที่ตั้งขึ้นมาแล้วเป็น 30 คน'
ก่อนหน้านี้มีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวไปแล้วซึ่งเป็นคดีเดียวกับที่ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปรามเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. จึงรวมเป็นคดีเดียวกัน เนื่องจากทรูได้ยื่นฟ้องผิดหน่วยงาน และกองปราบปรามไม่ได้มีอำนาจในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ทางทรูจึงต้องให้ปากคำต่อทีมสอบสวนในเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา
พล.ต.ต. ปัญญา กล่าวว่า ขณะนี้ได้เริ่มกระบวนการสอบปากคำผู้ที่ถูกร้องเรียนไปก่อนหน้านี้ 10 ปาก อาทิ ตั๊ก วู โฮลดิ้ง นางสาวสุนิภา ธนาเตชะพัฒน์ นางสาวสุกัญญา รังสิดุล ผู้เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นของดีแทคทั้งหมด กระบวนการรวบรวมหลักฐานมีเวลาในการดำเนินการอย่างน้อย 1 ปี ส่วนกรณีที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่จะสรุปผลในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยตรง แต่ก็สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบได้
พ.ต.อ.ชัยณรงค์ เจริญชัยเนาว์ รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กล่าวว่า แม้ว่าผลสอบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะสรุปผลว่าดีแทคผิดหรือไม่ผิดก็ตาม ทางทีมสอบสวนก็ยังต้องดำเนินต่อไป เพราะต้องตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นทุกชั้นว่าไม่ใช่นอมินีจริง โดยบริษัทที่ต้องเข้าไปตรวจสอบอย่างละอียด คือ ตั้ก ฮู โฮลดิ้ง ไทย เทลโค โฮลดิ้ง บริษัท โบเลโร เนื่องจากข้อมูลที่พบเบื้องต้น คือ เทเลนอร์ เอเชีย ถือหุ้นอยู่ในทุกบริษัท
'คดีนี้คล้ายๆ กับคดีกุหลาบแก้ว ที่มีความซับซ้อนเพียงแค่ 3 ขั้น ซึ่งใช้เวลา 3-4 ปี แต่คดีนี้เท่าที่เห็นโครงสร้างมีความซับซ้อนถึง 6-7 ขั้น'
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลสอบจะเป็นอย่างไร ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานของลูกค้าดีแทค เพราะหากผลสอบพบว่าผิดแล้วส่งเรื่องให้ศาลพิจารณา ศาลจะสั่งให้เปลี่ยนผู้ถือหุ้นให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งหากดีแทคไม่ทำตาม ก็จะถูกปรับวันละ 1-5 หมื่นบาท ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับสัมปทานหรือใบอนุญาตต่างๆ เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. ที่ต้องเข้ามาดูแลในเรื่องนี้
'เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเอกสารของกมธ.ที่ตำรวจไม่สามารถละเลยได้ และตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาใครจนกว่าจะสอบปากคำและพิจารณาข้อมูลทั้งหมด' พ.ต.อ.ชัยณรงค์กล่าว.
พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าทีมพนักงานสอบสวนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ให้รับคำกล่าวโทษของบริษัท ทรูมูฟ ที่เคยแจ้งความต่อตำรวจปราบปรามมาดำเนินการตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของดีแทคที่ได้รับการร้องเรียนว่าไม่ได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มาตรา 4 ที่ห้ามคนต่างด้าวถือหุ้นเกิน 49%
เรื่องกล่าวโทษดีแทคที่หลีกเลี่ยงพ.ร.บ.ต่างด้าวนั้นเคยมีผู้ดำเนินการกล่าวโทษ โดยอ้างอิงเอกผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียน กรณีปัญหาการถือหุ้นการครอบงำกิจการและการถือสิทธิ์ในที่ดินโดยคนต่างด้าวที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโทรคมนาคมของคณะกรรมาธิการสื่อสารและโทรคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ประกาศ ณ วันที่ 21 เม.ย.2554 และทาง ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาสอบสวนเรื่องนี้ โดยได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้นมา 1 ชุด เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา
'การตรวจสอบครั้งนี้ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีการเพิ่มทีมสืบสวนเพิ่มขึ้นอีก 12 คนรวมกับทีมสืบสวนเดิมที่ตั้งขึ้นมาแล้วเป็น 30 คน'
ก่อนหน้านี้มีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวไปแล้วซึ่งเป็นคดีเดียวกับที่ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปรามเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. จึงรวมเป็นคดีเดียวกัน เนื่องจากทรูได้ยื่นฟ้องผิดหน่วยงาน และกองปราบปรามไม่ได้มีอำนาจในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ทางทรูจึงต้องให้ปากคำต่อทีมสอบสวนในเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา
พล.ต.ต. ปัญญา กล่าวว่า ขณะนี้ได้เริ่มกระบวนการสอบปากคำผู้ที่ถูกร้องเรียนไปก่อนหน้านี้ 10 ปาก อาทิ ตั๊ก วู โฮลดิ้ง นางสาวสุนิภา ธนาเตชะพัฒน์ นางสาวสุกัญญา รังสิดุล ผู้เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นของดีแทคทั้งหมด กระบวนการรวบรวมหลักฐานมีเวลาในการดำเนินการอย่างน้อย 1 ปี ส่วนกรณีที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่จะสรุปผลในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยตรง แต่ก็สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบได้
พ.ต.อ.ชัยณรงค์ เจริญชัยเนาว์ รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กล่าวว่า แม้ว่าผลสอบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะสรุปผลว่าดีแทคผิดหรือไม่ผิดก็ตาม ทางทีมสอบสวนก็ยังต้องดำเนินต่อไป เพราะต้องตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นทุกชั้นว่าไม่ใช่นอมินีจริง โดยบริษัทที่ต้องเข้าไปตรวจสอบอย่างละอียด คือ ตั้ก ฮู โฮลดิ้ง ไทย เทลโค โฮลดิ้ง บริษัท โบเลโร เนื่องจากข้อมูลที่พบเบื้องต้น คือ เทเลนอร์ เอเชีย ถือหุ้นอยู่ในทุกบริษัท
'คดีนี้คล้ายๆ กับคดีกุหลาบแก้ว ที่มีความซับซ้อนเพียงแค่ 3 ขั้น ซึ่งใช้เวลา 3-4 ปี แต่คดีนี้เท่าที่เห็นโครงสร้างมีความซับซ้อนถึง 6-7 ขั้น'
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลสอบจะเป็นอย่างไร ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานของลูกค้าดีแทค เพราะหากผลสอบพบว่าผิดแล้วส่งเรื่องให้ศาลพิจารณา ศาลจะสั่งให้เปลี่ยนผู้ถือหุ้นให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งหากดีแทคไม่ทำตาม ก็จะถูกปรับวันละ 1-5 หมื่นบาท ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับสัมปทานหรือใบอนุญาตต่างๆ เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. ที่ต้องเข้ามาดูแลในเรื่องนี้
'เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเอกสารของกมธ.ที่ตำรวจไม่สามารถละเลยได้ และตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาใครจนกว่าจะสอบปากคำและพิจารณาข้อมูลทั้งหมด' พ.ต.อ.ชัยณรงค์กล่าว.
