xs
xsm
sm
md
lg

วาระซ่อนเร้นของทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: ว.ร. ฤทธาคนี

ทันทีที่ทักษิณถูกคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข-คปช. ทำการรัฐประหารโค่นอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ขณะที่เขาไปประชุมสหประชาชาติ แต่ต่อมา เดินทางกลับเข้ามาราชอาณาจักรในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ยังไม่สามารถดำเนินคดีกับเขาได้ แต่เขาต้องการหยั่งความรู้สึกและท่าทีของสาธารณชน คปช.ในขณะนั้น ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ- คมช. และรัฐบาลเนื่องจากรู้ชัดว่าไม่มีใครสามารถจับกุมเขาได้หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาลตัดสินลงโทษเขาโดยไม่ผ่านขบวนการยุติธรรมในรูปแบบอะไรก็ตาม หากเขาไม่ผ่านขบวนการยุติธรรม รัฐบาลในขณะนั้นก็จะถูกประณามจากประชาคมโลกเพราะว่าทักษิณในช่วงนั้นได้ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ ในสหรัฐฯ ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้กับเขา ทั้งยังได้ซื้อทีมฟุตบอลแมนเชตเตอร์ ซิตี้ ในอังกฤษไว้เป็นฉากบังหน้าเชิงธุรกิจ

จนกระทั่ง คตส.เริ่มที่จะได้รูปแบบพิจารณาคดีความผิดของทักษิณฐานทุจริตคอร์รัปชันชาติบ้านเมืองจนสามารถส่งฟ้องศาลเอาความผิดกับทักษิณได้อย่างแน่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีการซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งในที่สุดเขาและภรรยาได้ถูกพิพากษาจำคุกสองปี โดยศาลฎีกา แต่ด้วยอำนาจอิทธิพลของเขาและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมทั้งข้าราชการระดับสูงอื่นๆ ที่เป็นหนี้บุญคุณเขาในหลายกระทรวงที่ยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ต่างออกมาเตือนทักษิณว่าผิดแน่ ทำให้เขาต้องหนีคำพิพากษาโดยมีการวางแผนให้คณะกรรมการโอลิมปิกจีนเชิญเข้าร่วมพิธีเปิดมหกรรมกีฬาโลกโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง โดยมีคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยเป็นผู้ประสานงาน

ช่วงแห่งการสูญเสียอำนาจของทักษิณก็เป็นช่วงเวลาแห่งการช่วงชิงอำนาจคืนกลับของเขาเช่นกัน และในบรรดานักยุทธศาสตร์ปฏิวัติคอมมิวนิสต์หลายคนที่เคยเป็นแนวร่วมและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่สวามิภักดิ์กับทักษิณส่วนใหญ่มีแนวคิดเชิงอนาธิปไตยเป็นพื้นอยู่แล้ว และมีอำนาจฝ่ายบริหารเมื่อทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีช่วงปี 2544-2548 ได้สร้างยุทธศาสตร์ปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเอาไว้แล้ว เพราะมีฐานเสียงในสภาผู้แทนราษฎรของอดีตพรรคไทยรักไทยมากพอที่สามารถจะออกกฎหมายปฏิรูปรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีมากขึ้นและพยายามที่จะหาหนทางลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ล้มเหลวเพราะมีผู้รู้เห็นความคิดนี้โดยเฉพาะนายประมวล รุจนเสรี อดีตที่ปรึกษาของทักษิณเอง โดยเขาได้เขียนหนังสือเรื่องพระราชอำนาจ ซึ่งเป็นหนังสือที่เขาจะใช้ตักเตือนทักษิณและพวก

แผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของทักษิณในการแย่งอำนาจรัฐคืนได้แก่ ยุทธศาสตร์แยกชนชั้นเพื่อใช้เป็นฐานเสียงระดับล่างที่เป็นพลังในการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรมาตั้งแต่ครั้ง คมช.มีอำนาจแต่เขาและบรรดาที่ปรึกษาทางการเมืองรู้ดีว่า คมช.ไม่กล้าครองอำนาจเผด็จการและให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของ คมช.เอง และพรรคนอมินีของทักษิณพร้อมเข้าสนามเลือกตั้ง หลังพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไป 2550 พรรคพลังประชาชนของทักษิณชนะการเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลสองครั้ง มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับกลายเป็นปลาตายน้ำตื้น เพราะกระทำผิดกฎหมายคดีรับค่าจ้างรายการโทรทัศน์ชิมไปบ่นไป ขณะยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ประสบเคราะห์กรรมผิดกฎหมายเลือกตั้งเมื่อนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนโกงการเลือกตั้ง จนเกิดพลิกผันเป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะนายเนวิน ชิดชอบ นำ ส.ส.ในอาณัติ 44 คน เลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งกรณีนี้ทักษิณโกรธนายเนวินมากจนกลายเป็นความแค้นส่วนตัว

การแบ่งแยกชนชั้นเห็นได้ชัดจากการที่นักปลุกระดมมวลชนของทักษิณใช้คำว่ารากหญ้าเป็นศัพท์เฉพาะของประชากรระดับล่าง อันเป็นยุทธศาสตร์ของทักษิณที่จะเอาใจ ตามใจ และสร้างลัทธิประชานิยมด้วยการมอมเมาให้ประชาชนส่วนนี้ใช้เงินในอนาคตจนกลุ่มอนุรักษนิยมเกิดความกลัวว่า ประชาชนส่วนนี้จะเป็นหนี้ไม่รู้จบ แต่กลุ่มนายทุนชอบเพราะทุกคนมีความสุข มีความมั่งคั่ง และเป็นการสร้างภาพลักษณะธุรกิจในสายตาของนักธุรกิจข้ามชาติว่าเศรษฐกิจไทยดีเลิศ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ Retail ซึ่งมีนักวิชาการและตัวแทนองค์กรอิสระต่อต้านทุนนิยมออกมาทักท้วง เรียกระบบนี้ว่า ระบบทุนนิยมอุบาทว์ ขณะที่นักวิชาการนิยมทักษิณเรียกว่า ทักษิโณมิกส์ ดูเก๋ไก๋ไม่น้อย

ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจทุนนิยมคล้ายทักษิโณมิกส์ระบาดในหลายประเทศ เช่น กรีก ซึ่งในปัจจุบันก็ประสบปัญหาหนี้สินล้นพ้น เนื่องจากการใช้เงินในอนาคตเกินตัว เกิดผลกระทบไปทั่วยุโรปและสหภาพยุโรป IMF ต้องออกมาอุ้มกรีกไว้ มิฉะนั้น เศรษฐกิจสหภาพยุโรปก็อาจจะล้มตามกันไปด้วยเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งของไทยในปี พ.ศ. 2539

พื้นฐานการแตกแยกชนชั้นเป็นพื้นฐานของลัทธิมาร์กซิสต์ และแองเกิลนิยม ที่แบ่งสังคมนุษย์เป็น 5 ชั้น โดยหวังว่าในที่สุดโลกจะไม่มีชนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่จอมเผด็จการสตาลินแห่งรัฐเซียนำมาประยุกต์ใช้ในรัสเซียช่วงปี 1950 และเกิดโศกนาฏกรรมประชากรรัสเซียล้มตามกันมากกว่า 8 ล้านคน ด้วยเหตุข้าวยากหมากแพง นำสู่การล่มสลาย เพราะการผลิตไม่สมดุลกับผู้บริโภค รวมทั้งไม่มีปัจจัยกระตุ้นการผลิตอันเป็นจุดอ่อนของลัทธิคอมมิวนิสต์ในรัสเซีย ซึ่งในที่สุดก็ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1990

แผนยุทธศาสตร์แยกชนชั้นของทักษิณถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสังคมไทย มีการทดลองใช้งาน โดยนำมาเป็นเครื่องมือก่อการปฏิวัติประชาชน 2 ครั้ง เมื่อเมษายน 2552 และไตรมาสหฤโหด มีนาคม เมษายน และพฤษภาคม 2553

ขบวนการเสื้อแดง หรือ นปช. สร้างภาพลักษณ์เชิงลบที่นำเอาอำมาตยาธิปไตย เป็นเครื่องมือต่อต้านสถาบันโดยสร้างพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีเป็นตัวแทนสถาบัน และเกิดการจาบจ้วงสถาบันมากมายมหาศาลแต่เน้นเชิงรัฐศาสตร์ที่ว่าสถาบันอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 2549 จนขั้นสุดท้ายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปรามประชาชนในพฤษภาคม 2553 ข้อพิสูจน์นี้เห็นได้จากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยได้ปราศรัยในการชุมนุม และใช้วลีว่ากระสุนพระราชทานขบวนการต่อต้านสถาบันมีตัวตน เพราะบุคคลหลายคนที่แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนมากมาย เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข ที่กล่าวให้ร้ายบิดเบือนความจริงต่อสถาบันมาตลอด จนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ออกมาเตือนนายจักรภพ และยังมีแนวร่วมขบวนการนี้อีกมาก พวกเขาเชื่อว่า ฐานเสียงต่อต้านสถาบันเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอแล้ว และสามารถเป็นหัวน้ำเชื้อสร้างแรงต่อต้านสถาบันต่อไป

นอกจากขบวนการนี้สร้างภาพและตัวละครต่อต้านสถาบันแล้วยังทำลายความเชื่อถือของกองทัพอย่างต่อเนื่อง อันเป็นเป้าหมายหลักของขบวนการนี้ เพราะหลายครั้งพวกเขาหวังให้ทหารใช้ความรุนแรงและก่อรัฐประหาร แต่ทหารรู้ถึงแผนนี้ ทั้งยังตอบโต้อย่างมีระบบ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เชื่อถือในข้อเท็จจริงเหล่านั้น ความมุ่งหวังยุทธศาสตร์แยกชนชั้นของทักษิณและพวกต้องการเพียงอย่างเดียว คือ ปฏิรูปการปกครองโดยคาดหวังที่จะใช้สภาเป็นองค์กรในการปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และต้องการลดพระราชอำนาจในทางการเมือง แต่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีมากขึ้น

ส่วนผลพลอยได้ของทักษิณ คือ การขอนิรโทษกรรมและเอาเงินจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท ที่ถูกพิพากษายึดไปคืนมา และเงินจำนวนนี้สามารถเป็นทุนให้กับพวกต่อต้านสถาบันได้ในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น