ASTVผู้จัดการรายวัน-"พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น"มอบตัวคดีขับรถชน"หมอมุก"ให้การสู้เหยื่อกระโดดชนรถเอง ขณะที่ตำรวจไม่เชื่อ เหตุขัดแย้งพยานหลักฐาน โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดพบพุ่งชน หลังสอบปากคำเสร็จปล่อยตัวกลับ โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ด้าน พฐ.ยันผลตรวจรถต้องสงสัย เป็นรถคันก่อเหตุจริง ขณะที่อาการหมอมุกยังโคม่า แต่ไข้เริ่มลดลง แม่เผยดีใจที่ลูกตอบสนองได้ "ประยุทธ์-ประวิตร"ไฟเขียวจัดการ
วานนี้ (21 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. พล.ต.พิสุทธิ์ เปาอินทร์ รองปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมนายทหารพระธรรมนูญ ได้นำตัว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น อายุ 51 ปี ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ผู้ต้องหาขับรถยนต์ชน พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา อายุ 34 ปี แพทย์ประจำคลินิกผู้สูงอายุ รพ.พระมงกุฎเกล้า หรือหมอมุก จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้เดินทางเข้ามอบตัวต่อ พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า (สบ 2) สน.พญาไท โดยมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ร่วมสอบปากคำ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น มีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมปฏิเสธขอให้การต่อพนักงานสอบสวน
พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ให้การเบื้องต้นโดยปฏิเสธว่าไม่ได้ขับรถชน หมอมุก แต่หมอมุก กระโดดชนรถเอง พร้อมกับกล่าวว่า วันนั้น ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านสามเสนวิลล่า พร้อมครอบครัว จากนั้นได้เดินทางมาที่รถเพื่อเดินทางกลับ แต่ไม่สามารถนำรถออกไปได้ เนื่องจากมีรถจอดปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ประกอบกับด้านข้างมีรถของหมอมุกจอดปิดอยู่ จึงมีปากเสียงกัน เนื่องจากลูกสาวของตนเองได้ไปเขียนที่กระจกรถว่า “จอดรถไม่มีมารยาท” ส่วนภรรยาก็บอกว่าเป็นที่สาธารณะ จากนั้นก็ได้ขับรถเคลื่อนออก แต่หมอมุกได้ใช้มือทุบท้ายกระโปรงรถ ตนจึงขับรถเคลื่อนออกมาและพยายามโทร.แจ้งตำรวจ 191 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่หมอมุกเดินมาหน้ารถ ตนจึงเกรงว่าจะมีเรื่องจึงได้เคลื่อนรถไปด้านหน้า แต่หมอมุกกับกระโดดขึ้นกระโปรงหน้าพร้อมกับคว้าที่ปัดน้ำฝน ตนจึงได้หยุดรถและถอยกลับเกรงว่าจะชนและหักรถหลบออกมา
**ตำรวจไม่เชื่อคำให้การ
พล.ต.ต.อำนวยเปิดเผยภายหลังการสอบปากคำ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพียงผู้มาให้ถ้อยคำ ถึงแม้จะมอบตัวโดยให้การว่า ตนเองเป็นคนขับรถชนหมอมุกเอง ซึ่งจากการสอบสวนพร้อมกับพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มา ยังไม่สามารถเชื่อตามคำกล่าวอ้างของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะจากพยานหลักฐานที่ปรากฏ โดยเฉพาะภาพจากกล้องวงจรปิด ก็ยังขัดแย้งกับคำให้การของพ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ โดยจะต้องรวบรวพยานหลักฐานให้ครบถ้วน ละเอียดรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่ว่าใครมามอบตัวก็เชื่อเลย ถ้าคดีขึ้นสู่ชั้นศาล ถ้ามีการปฏิเสธและการพิสูจน์พยานหลักฐานของศาลไม่ตรงกัน คดีก็จะหลุด ศาลจะยกฟ้อง ทางตำรวจต้องทำงานอย่างหนักและตรงไปตรงมา โดยตนและพล.ต.ต.วิชัย จะลงมาดูคดีด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นหน้าที่ของทางพนักงานสอบสวนจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ก่อเหตุจริงหรือไม่
ด้านพล.ต.ต.วิชัยกล่าวว่า จากคำให้การของผู้ต้องสงสัย ยังไม่สามารถเชื่อถือได้ ซึ่งจากพยานหลักฐานเบื้องต้นที่มียังไม่ตรง เพราะวันที่ 20 มิ.ย. พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางมาที่ สน.พญาไท พร้อมทั้งบอกเพียงว่า ตนเป็นเพียงคนครอบครองรถ แต่เมื่อมอบตัว กลับมาให้การว่าเป็นผู้กระทำผิด จึงทำให้คำให้การขัดแย้ง ไม่น่าเชื่อถือ และต้องรอผลจากการตรวจพิสูจน์หลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องของหม้อน้ำ ซึ่งเมื่อทางผู้ต้องสงสัยให้การว่า หม้อน้ำรั่วอยู่แล้ว ซึ่งทางพฐ.สามารถตรวจได้อย่างละเอียดว่ารั่วจากอะไร
**ปล่อยตัวยังไม่แจ้งข้อหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการสอบปากคำเสร็จ ตำรวจได้ปล่อยตัว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ไป โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่หากตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานได้ชัดเจนว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนขับรถคันที่เกิดเหตุ และมีเจตนาพุ่งชน พ.ต.พญ.หทัยพร จริง ก็จะดำเนินการแจ้งข้อหาพยายามฆ่าต่อไป
**พฐ.ยันรถนิสสันชนหมอมุก
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผบช.สพฐ.ตร.กล่าวถึงผลการตรวจรถเก๋งยี่ห้อนิสสัน รุ่นซันนี่ นีโอ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน วค 1355 กรุงเทพมหานคร รถต้องสงสัยขับพุ่งชน หมอมุก ว่า จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ชัดเจนว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถที่ชนหมอมุก แต่จะขับมารวดเร็วขนาดไหนนั้น ไม่สามารถบอกได้ เพราะไม่ได้มีการไปตรวจสอบรอบเบรกในที่เกิดเหตุ ส่วนที่ผู้ต้องหาระบุว่า หมอมุก กระโดดใส่รถเองนั้น จากการตรวจสอบไม่พบว่ารถมีรอยบุบที่บริเวณหน้ารถ พบเพียงรอบกะเทาะจุดเล็กๆ ในบางจุดเท่านั้น และจากการตรวจสอบก็ไม่พบว่ารถบุบบริเวณไหน ไม่มีการทำสีมาใหม่ ซึ่งก็สัมพันธ์กับที่ร่างกายของหมอมุกไม่ได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลที่บริเวณอื่นของร่างกายที่กระทบกระแทก กลับพบมีเพียงบาดเจ็บที่ศีรษะ เท่านั้น
**นายกแพทยสภาเข้าเยี่ยม
ขณะเดียวกัน เวลา 12.00 น. นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา พร้อมคณะเดินทางเข้าเยี่ยมอาการ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ หมอมุก ที่ห้องไอซียู รพ.พระมงกุฎเกล้า โดยใช้เวลาพูดคุยกับ พญ.พรรณพร อิ่มวิทยา อายุ 70 ปี ผู้เป็นมารดา และ นพ.บุญโชติ เคียงกิติวรรณ แพทย์ศัลยกรรมประสาทซึ่งเป็นเจ้าของไข้ นานประมาณ 15 นาที จึงเดินทางกลับ
ศ.คลีนิก นพ.อำนาจ กล่าวว่า มาตรการความช่วยเหลือทางคดีนั้น ทางแพทยสภาจะติดตามดำเนินการด้วยการทำหนังสือนำไปยื่นให้กับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. กองพิสูจน์หลักฐานไล่ลงมาจนถึงพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี โดยจะมีการยื่นหนังสือและเดินทางไปพบด้วยตัวเอง และจะทำทั้งสองอย่างเพื่อให้ทางตำรวจดูแลและให้ความเป็นธรรมกับหมอมุกอย่างเต็มที่ เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนต่างก็รู้สึกว่าสมควรจะแสวงหาความเป็นธรรมให้ แก่หมอมุกกับครอบครัว
**"หมอมุก"ยังโคม่าแต่ไข้เริ่มลด
นพ.บุญโชติ เจ้าของไข้ กล่าวว่า ขณะนี้อาการด้านความดันสมองอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นปกติแล้ว แต่ยังถือว่าโคม่าอยู่ ไข้เริ่มลดลง และกำลังให้ยาปฏิชีวนะทางกระแสเลือด เบื้องต้นก็กำลังรอคอยผลการเพาะเชื้อจากห้องปฏิบัติการ ส่วนเรื่องที่คณะแพทย์ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคืออาการแทรกซ้อนจากภาวะการติดเชื้อ ภาวะชักจากเกลือแร่ต่ำ เพราะจะทำให้สมองขาดเลือดเกิดบวมขึ้นมาอีก แม้คุณหมอมุก จะลืมตาและขยับแขนได้บ้างในตอนนี้ ซึ่งถือว่ามีปฏิกิริยาขึ้นมา บ้างแต่ยังไม่รู้สึกตัวคงต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิดต่อไปแต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะ ออกจากห้องไอซียูได้เมื่อไหร่และจะกลับมาหายเป็นปกติหรือไม่
**แม่เผยดีใจที่ลูกตอบรับ
พญ.พรรณกร ผู้เป็นมารดา กล่าวว่า เป็นวันแรกที่ได้เข้ามาเยี่ยมลูกสาวถึงในห้องไอซียู รู้สึกดีใจที่ได้จับมือลูกและลูกตอบรับโดยการบีบมือตอบประกอบกับอาการไข้ก็ ลดลงแล้วเหลือเพียง 37.5 องศา ทำให้ตนรู้สึกมีความสุขมากๆ ส่วนทางคู่กรณีที่เข้ามอบตัวแล้วนั้นตนจะไม่ถือโทษโกรธกันแต่อย่างใดเพราะตน ก็อายุมากแล้วยังไงก็ขอให้ปล่อยเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายจะไม่เดินทางไป โรงพักเพราะต้องการจะอยู่กับลูกเนื่องจากคงมีความสุขมากกว่า
**กองทัพส่งกระเช้าเยี่ยม
พล.อ.พิเชษฐ์ วิสัยจร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้นำกระเช้าเข้าเยี่ยมอาการ พ.ต.พญ.หทัยพร โดยได้พูดคุยกับแพทย์หญิงพรรณกร มารดาของ หมอมุก พร้อมให้ความมั่นใจในเรื่องคดีที่เกิดขึ้นโดยจะให้ความเป็นธรรมต่อครอบครัวของหมอมุกมากที่สุด พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวหมอมุกด้วย
**"ประยุทธ์"ไฟเขียวจัดการคนก่อเหตุ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผู้เสียหายเป็นกำลังพลของกองทัพบก ซึ่งกองทัพบกจะดูแลอย่างเต็มที่ และจะไม่มีใครมาทำร้ายแพทย์หญิงคนดังกล่าวอีก เพราะทำไม่ได้อยู่แล้ว โดยได้ติดตามเหตุการณ์ตามลำดับ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนพยานหลักฐานต่างๆ ให้ชัดเจน ที่สำคัญ หลักฐานทางวัตถุพยานก็มีอยู่ ไม่ต้องกลัวว่า จะตรวจไม่พบ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
**"กองทัพตั้งกรรมการสอบซ้ำ
พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้แสดงความห่วงใย พร้อมกำชับไปยังพล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้อำนวยความสะดวกต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกกรณี หากมีการร้องขอหรือประสานงานมา และสั่งการให้ทางกองทัพตั้งชุดสืบหาพยานหลักฐานต่างๆ สนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังได้สั่งการยังผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ให้ดูแล พ.ต.พญ.หทัยพร อย่างใกล้ชิดและเป็นคนไข้พิเศษ เพราะเป็นบุคลากรทรงคุณค่า ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้ประเทศอย่างใหญ่หลวง และเป็นแพทย์ในโครงการพระราชดำริฯ
สำหรับการตั้งคณะกรรมการสอบสวนของกองทัพไทยนั้น ต้องรอให้กองทัพไทยชี้แจง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องสะเทือนขวัญต่อสังคม ไม่ว่าจะใครก็ตามทั้งทหาร พลเรือน ต้องถูกดำเนินคดีและรับโทษถึงที่สุด ซึ่งผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นไม่มีนโยบายในการช่วยเหลือคนกระทำความผิดทุกกรณี คนเจ็บเป็นกลังพลของกองทัพเหมือนกัน คงไม่มีการปกป้อง เพราะกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดีที่พนักงานสอบสวนจะได้ทำงานอย่างถูกต้องยุติธรรม ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย กองทัพยืนอยู่บนความยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตาสีตาสา ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฏหมายบ้านเมือง หมดสมัยที่กองทัพจะมีอิทธิพลหรือสิทธิประโยชน์ ซึ่งน่าจะใช้เวลา 15 วันในการสอบสวน
วานนี้ (21 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. พล.ต.พิสุทธิ์ เปาอินทร์ รองปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมนายทหารพระธรรมนูญ ได้นำตัว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น อายุ 51 ปี ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ผู้ต้องหาขับรถยนต์ชน พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา อายุ 34 ปี แพทย์ประจำคลินิกผู้สูงอายุ รพ.พระมงกุฎเกล้า หรือหมอมุก จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้เดินทางเข้ามอบตัวต่อ พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า (สบ 2) สน.พญาไท โดยมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ร่วมสอบปากคำ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น มีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมปฏิเสธขอให้การต่อพนักงานสอบสวน
พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ให้การเบื้องต้นโดยปฏิเสธว่าไม่ได้ขับรถชน หมอมุก แต่หมอมุก กระโดดชนรถเอง พร้อมกับกล่าวว่า วันนั้น ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านสามเสนวิลล่า พร้อมครอบครัว จากนั้นได้เดินทางมาที่รถเพื่อเดินทางกลับ แต่ไม่สามารถนำรถออกไปได้ เนื่องจากมีรถจอดปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ประกอบกับด้านข้างมีรถของหมอมุกจอดปิดอยู่ จึงมีปากเสียงกัน เนื่องจากลูกสาวของตนเองได้ไปเขียนที่กระจกรถว่า “จอดรถไม่มีมารยาท” ส่วนภรรยาก็บอกว่าเป็นที่สาธารณะ จากนั้นก็ได้ขับรถเคลื่อนออก แต่หมอมุกได้ใช้มือทุบท้ายกระโปรงรถ ตนจึงขับรถเคลื่อนออกมาและพยายามโทร.แจ้งตำรวจ 191 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่หมอมุกเดินมาหน้ารถ ตนจึงเกรงว่าจะมีเรื่องจึงได้เคลื่อนรถไปด้านหน้า แต่หมอมุกกับกระโดดขึ้นกระโปรงหน้าพร้อมกับคว้าที่ปัดน้ำฝน ตนจึงได้หยุดรถและถอยกลับเกรงว่าจะชนและหักรถหลบออกมา
**ตำรวจไม่เชื่อคำให้การ
พล.ต.ต.อำนวยเปิดเผยภายหลังการสอบปากคำ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพียงผู้มาให้ถ้อยคำ ถึงแม้จะมอบตัวโดยให้การว่า ตนเองเป็นคนขับรถชนหมอมุกเอง ซึ่งจากการสอบสวนพร้อมกับพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มา ยังไม่สามารถเชื่อตามคำกล่าวอ้างของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะจากพยานหลักฐานที่ปรากฏ โดยเฉพาะภาพจากกล้องวงจรปิด ก็ยังขัดแย้งกับคำให้การของพ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ โดยจะต้องรวบรวพยานหลักฐานให้ครบถ้วน ละเอียดรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่ว่าใครมามอบตัวก็เชื่อเลย ถ้าคดีขึ้นสู่ชั้นศาล ถ้ามีการปฏิเสธและการพิสูจน์พยานหลักฐานของศาลไม่ตรงกัน คดีก็จะหลุด ศาลจะยกฟ้อง ทางตำรวจต้องทำงานอย่างหนักและตรงไปตรงมา โดยตนและพล.ต.ต.วิชัย จะลงมาดูคดีด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นหน้าที่ของทางพนักงานสอบสวนจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ก่อเหตุจริงหรือไม่
ด้านพล.ต.ต.วิชัยกล่าวว่า จากคำให้การของผู้ต้องสงสัย ยังไม่สามารถเชื่อถือได้ ซึ่งจากพยานหลักฐานเบื้องต้นที่มียังไม่ตรง เพราะวันที่ 20 มิ.ย. พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางมาที่ สน.พญาไท พร้อมทั้งบอกเพียงว่า ตนเป็นเพียงคนครอบครองรถ แต่เมื่อมอบตัว กลับมาให้การว่าเป็นผู้กระทำผิด จึงทำให้คำให้การขัดแย้ง ไม่น่าเชื่อถือ และต้องรอผลจากการตรวจพิสูจน์หลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องของหม้อน้ำ ซึ่งเมื่อทางผู้ต้องสงสัยให้การว่า หม้อน้ำรั่วอยู่แล้ว ซึ่งทางพฐ.สามารถตรวจได้อย่างละเอียดว่ารั่วจากอะไร
**ปล่อยตัวยังไม่แจ้งข้อหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการสอบปากคำเสร็จ ตำรวจได้ปล่อยตัว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ไป โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่หากตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานได้ชัดเจนว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนขับรถคันที่เกิดเหตุ และมีเจตนาพุ่งชน พ.ต.พญ.หทัยพร จริง ก็จะดำเนินการแจ้งข้อหาพยายามฆ่าต่อไป
**พฐ.ยันรถนิสสันชนหมอมุก
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผบช.สพฐ.ตร.กล่าวถึงผลการตรวจรถเก๋งยี่ห้อนิสสัน รุ่นซันนี่ นีโอ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน วค 1355 กรุงเทพมหานคร รถต้องสงสัยขับพุ่งชน หมอมุก ว่า จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ชัดเจนว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถที่ชนหมอมุก แต่จะขับมารวดเร็วขนาดไหนนั้น ไม่สามารถบอกได้ เพราะไม่ได้มีการไปตรวจสอบรอบเบรกในที่เกิดเหตุ ส่วนที่ผู้ต้องหาระบุว่า หมอมุก กระโดดใส่รถเองนั้น จากการตรวจสอบไม่พบว่ารถมีรอยบุบที่บริเวณหน้ารถ พบเพียงรอบกะเทาะจุดเล็กๆ ในบางจุดเท่านั้น และจากการตรวจสอบก็ไม่พบว่ารถบุบบริเวณไหน ไม่มีการทำสีมาใหม่ ซึ่งก็สัมพันธ์กับที่ร่างกายของหมอมุกไม่ได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลที่บริเวณอื่นของร่างกายที่กระทบกระแทก กลับพบมีเพียงบาดเจ็บที่ศีรษะ เท่านั้น
**นายกแพทยสภาเข้าเยี่ยม
ขณะเดียวกัน เวลา 12.00 น. นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา พร้อมคณะเดินทางเข้าเยี่ยมอาการ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ หมอมุก ที่ห้องไอซียู รพ.พระมงกุฎเกล้า โดยใช้เวลาพูดคุยกับ พญ.พรรณพร อิ่มวิทยา อายุ 70 ปี ผู้เป็นมารดา และ นพ.บุญโชติ เคียงกิติวรรณ แพทย์ศัลยกรรมประสาทซึ่งเป็นเจ้าของไข้ นานประมาณ 15 นาที จึงเดินทางกลับ
ศ.คลีนิก นพ.อำนาจ กล่าวว่า มาตรการความช่วยเหลือทางคดีนั้น ทางแพทยสภาจะติดตามดำเนินการด้วยการทำหนังสือนำไปยื่นให้กับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. กองพิสูจน์หลักฐานไล่ลงมาจนถึงพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี โดยจะมีการยื่นหนังสือและเดินทางไปพบด้วยตัวเอง และจะทำทั้งสองอย่างเพื่อให้ทางตำรวจดูแลและให้ความเป็นธรรมกับหมอมุกอย่างเต็มที่ เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนต่างก็รู้สึกว่าสมควรจะแสวงหาความเป็นธรรมให้ แก่หมอมุกกับครอบครัว
**"หมอมุก"ยังโคม่าแต่ไข้เริ่มลด
นพ.บุญโชติ เจ้าของไข้ กล่าวว่า ขณะนี้อาการด้านความดันสมองอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นปกติแล้ว แต่ยังถือว่าโคม่าอยู่ ไข้เริ่มลดลง และกำลังให้ยาปฏิชีวนะทางกระแสเลือด เบื้องต้นก็กำลังรอคอยผลการเพาะเชื้อจากห้องปฏิบัติการ ส่วนเรื่องที่คณะแพทย์ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคืออาการแทรกซ้อนจากภาวะการติดเชื้อ ภาวะชักจากเกลือแร่ต่ำ เพราะจะทำให้สมองขาดเลือดเกิดบวมขึ้นมาอีก แม้คุณหมอมุก จะลืมตาและขยับแขนได้บ้างในตอนนี้ ซึ่งถือว่ามีปฏิกิริยาขึ้นมา บ้างแต่ยังไม่รู้สึกตัวคงต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิดต่อไปแต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะ ออกจากห้องไอซียูได้เมื่อไหร่และจะกลับมาหายเป็นปกติหรือไม่
**แม่เผยดีใจที่ลูกตอบรับ
พญ.พรรณกร ผู้เป็นมารดา กล่าวว่า เป็นวันแรกที่ได้เข้ามาเยี่ยมลูกสาวถึงในห้องไอซียู รู้สึกดีใจที่ได้จับมือลูกและลูกตอบรับโดยการบีบมือตอบประกอบกับอาการไข้ก็ ลดลงแล้วเหลือเพียง 37.5 องศา ทำให้ตนรู้สึกมีความสุขมากๆ ส่วนทางคู่กรณีที่เข้ามอบตัวแล้วนั้นตนจะไม่ถือโทษโกรธกันแต่อย่างใดเพราะตน ก็อายุมากแล้วยังไงก็ขอให้ปล่อยเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายจะไม่เดินทางไป โรงพักเพราะต้องการจะอยู่กับลูกเนื่องจากคงมีความสุขมากกว่า
**กองทัพส่งกระเช้าเยี่ยม
พล.อ.พิเชษฐ์ วิสัยจร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้นำกระเช้าเข้าเยี่ยมอาการ พ.ต.พญ.หทัยพร โดยได้พูดคุยกับแพทย์หญิงพรรณกร มารดาของ หมอมุก พร้อมให้ความมั่นใจในเรื่องคดีที่เกิดขึ้นโดยจะให้ความเป็นธรรมต่อครอบครัวของหมอมุกมากที่สุด พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวหมอมุกด้วย
**"ประยุทธ์"ไฟเขียวจัดการคนก่อเหตุ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผู้เสียหายเป็นกำลังพลของกองทัพบก ซึ่งกองทัพบกจะดูแลอย่างเต็มที่ และจะไม่มีใครมาทำร้ายแพทย์หญิงคนดังกล่าวอีก เพราะทำไม่ได้อยู่แล้ว โดยได้ติดตามเหตุการณ์ตามลำดับ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนพยานหลักฐานต่างๆ ให้ชัดเจน ที่สำคัญ หลักฐานทางวัตถุพยานก็มีอยู่ ไม่ต้องกลัวว่า จะตรวจไม่พบ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
**"กองทัพตั้งกรรมการสอบซ้ำ
พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้แสดงความห่วงใย พร้อมกำชับไปยังพล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้อำนวยความสะดวกต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกกรณี หากมีการร้องขอหรือประสานงานมา และสั่งการให้ทางกองทัพตั้งชุดสืบหาพยานหลักฐานต่างๆ สนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังได้สั่งการยังผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ให้ดูแล พ.ต.พญ.หทัยพร อย่างใกล้ชิดและเป็นคนไข้พิเศษ เพราะเป็นบุคลากรทรงคุณค่า ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้ประเทศอย่างใหญ่หลวง และเป็นแพทย์ในโครงการพระราชดำริฯ
สำหรับการตั้งคณะกรรมการสอบสวนของกองทัพไทยนั้น ต้องรอให้กองทัพไทยชี้แจง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องสะเทือนขวัญต่อสังคม ไม่ว่าจะใครก็ตามทั้งทหาร พลเรือน ต้องถูกดำเนินคดีและรับโทษถึงที่สุด ซึ่งผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นไม่มีนโยบายในการช่วยเหลือคนกระทำความผิดทุกกรณี คนเจ็บเป็นกลังพลของกองทัพเหมือนกัน คงไม่มีการปกป้อง เพราะกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดีที่พนักงานสอบสวนจะได้ทำงานอย่างถูกต้องยุติธรรม ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย กองทัพยืนอยู่บนความยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตาสีตาสา ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฏหมายบ้านเมือง หมดสมัยที่กองทัพจะมีอิทธิพลหรือสิทธิประโยชน์ ซึ่งน่าจะใช้เวลา 15 วันในการสอบสวน