ASTVผู้จัดการรายวัน - ปานเทพ ชี้ “แม้ว” กลับไทยได้ แต่ต้องติดคุกก่อน ลั่นนิรโทษเมื่อไหร่กลียุคแน่ เตือน “พิณทองทา” จะไม่มีความสุข ซัดเรียกร้องความสนใจช่วงเดือนมหามงคล ฟันธงการเมือง “เพื่อไทย” ตั้งรัฐบาล ล้างบาง “ดีเอสไอ” แน่ ย้ำทางแก้ปัญหาต้องร่วม “โหวตโน” แฉโกงเลือกตั้งเพียบแต่ กกต.บ่มิไก๊ จี้ลาออก “จำลอง” จี้ปฏิรูปการเมือง ซัด กกต.ไปดูงานไม่คุ้มค่า แถมหนีเที่ยวช่วงมีงานน่าขายหน้า
วานนี้ (19 มิ.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจะกลับมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมงานแต่งงานของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่นอกประเทศ ตัดสินใจหนีจากประเทศไทยเพื่อหลบหนีการตัดสินคดีความของศาลยุติธรรม ซึ่งศาลตัดสินให้มีโทษจำคุกคดีที่ดินรัชดา 2 ปี หมายความว่าตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีสถานะเป็นนักโทษชายที่หนีคดีความอยู่ หรือนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน
ทั้งนี้ การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมมีสิทธิ์กลับมาได้ และเป็นสิ่งที่ควรต้องกลับมาด้วย แต่การกลับมาควรต้องถูกจำคุกในสิ่งที่ศาลตัดสินไปแล้ว และเป็นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่กระทำในพระปรมาภิไธย ดังนั้นถ้า พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาได้ ก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายเสียก่อน เรายินดีต้อนรับให้กลับเข้ามาสู่ประเทศไทย เพื่อเข้าสู่การลงโทษตามคำสั่งและคำพิพากษาของศาล
ส่วนการกลับมาเพื่อหวังว่าจะมาในงานแต่งงานของ น.ส.พิณทองทา ลูกสาวตัวเองนั้น ถ้าจะกลับมาในฐานะบิดาของลูกสาวอย่างปกติ ก็ไม่น่าจะเข้ามาในงานแต่งงานได้ ก็น่าจะอยู่ในเรือนจำเสียก่อน เว้นเสียแต่ว่าจะมีกระบวนการในการพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ขอย้ำว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่จะต้องเกิดกลียุคเกิดขึ้นทันที เพราะจะมีประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างแน่นอน และการนิรโทษกรรมนั้น แม้ว่าพันธมิตรฯ จะได้ประโยชน์อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามใส่ความ แต่ขอยืนยันว่า พันธมิตรฯ คัดค้านการนิรโทษกรรมแน่นอน เพราะถือว่าการทำลายหลักนิติรัฐด้วยระบบยกมือในสภา เท่ากับว่าผู้ชนะการเลือกตั้งไม่มีวันทำอะไรผิด หรือทำอะไรผิดไม่มีวันได้รับโทษตลอดไป เป็นอันตรายต่อแผ่นดินและระบบหลักนิติรัฐอย่างร้ายแรง
“แม้พันธมิตรฯ จะได้ประโยชน์แต่เราไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยเห็นด้วย และคัดค้านอย่างสุดตัว เหตุผลก็เพราะว่า เชื่อมั่นว่าตัวเองมีความบริสุทธิ์ และจะต้องได้รับการพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม และถึงแม้ถูกลงโทษในท้ายที่สุดก็พร้อมรับโทษ เพื่อรักษาระบบหลักนิติรัฐ เพราะฉะนั้นการที่หวังว่าจะอาศัยมือในสภานิรโทษกรรมนั้น เราจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ในการเชิญชวนประชาชนโหวตโน เพื่อคัดค้านการเลือกตั้งที่ทุจริตมโหฬาร คัดค้านการนิรโทษกรรม เป็นอำนาจต่อรองถ่วงดุลต่ออำนาจทางการเมืองในสภา และพร้อมเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงด้วยการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ ยังออกมาเตือนว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาได้ แต่ถ้ากลับมาเช่นนั้น งานแต่งงานของบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่มี และไม่ได้รับความสุข ความสงบเลย ซึ่งพันธมิตรฯ ไม่ได้ขู่ว่าจะทำอะไร แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่าจะมางานแต่งงานเพื่อสร้างความสุขให้กับบุตรสาวแล้ว ถ้าการกลับมาด้วยการนิรโทษกรรม บุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่มีทางมีความสุขในงานแต่งงานครั้งนั้น เพราะจะมีประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน มีแต่ความเกลียดชัง
นอกจากนี้ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าจะกลับมาในเดือนธันวาคม 2554 ทั้งๆ ที่เดือนธันวาคมนั้นเป็นเดือนมหามงคล ที่คนไทยนั้นน้อมใจกันในการถวายพระพรชัย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับถือโอกาสเข้ามาเรียกร้องความน่าสนใจของตัวเอง ว่าจะกลับมาในเดือนธันวาคมเช่นเดียวกัน ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจุดยืนของพันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม หาก พ.ต.ท.ทักษิณอยากกลับมาประเทศไทย ก็กลับมาได้ทันที แต่ต้องรับโทษจำคุก 2 ปีเสียก่อน
***ฟันธง “DSI” เหยื่อ รบ.เผาไทย
นายปานเทพยังแถลงด้วยว่า โพลล์ล่าสุดทั้งนิด้าโพลล์ และสวนดุสิตโพลล์ ต่างให้ความเห็นตรงกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยกำลังจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งๆ ที่มีการชุมนุมที่รุนแรงมากที่สุด และมีขบวนการที่เกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์แฝงตัวอยู่บางส่วนในการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ที่สำคัญมุ่งเน้นที่จะทำลายหลักนิติรัฐด้วยการจะให้มีการลบล้างความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีทั้งหมด แน่นอนว่า กรณีดังกล่าวนั้นเองมีการประกาศจากคนเสื้อแดงบางกลุ่มว่า พร้อมที่จะต่อสู้ในคดีความก่อการร้าย หรือว่าชายชุดดำทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหามาจากการที่รัฐบาลไม่ดำเนินการให้คดีเหล่านั้นได้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะยุบสภา ทำให้ภายใต้การตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ถ้าได้จัดตั้งรัฐบาลแล้วก็คงจะมีการโยกย้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษกันครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซ้ำรอยเดิมเหมือนเมื่อปี 2551 ทุกประการ
“ดังนั้นเราจึงเห็นว่า ถ้าประชาชนไปเลือกขั้วใดขั้วหนึ่ง โดยเฉพาะขั้วที่จะแพ้อยู่แล้ว ก็จะยิ่งสร้างความชอบธรรมในการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ และทิศทางของคนเสื้อแดง และว่าที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในอนาคต ด้วยการอาศัยมือในสภา ยิ่งมีคนลงคะแนนในพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งมากๆ ที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย ก็ยิ่งสร้างความชอบธรรมในชัยชนะของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น ทางพันธมิตรฯ จึงยืนยันว่าคะแนนโหวตโนเท่านั้นที่จะเป็นสัญญาณและสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่ยอมรับกับระบบที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เต็มไปด้วยการทุจริตอย่างมโหฬาร มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงหัวละ 1,000-1,500 บาท และมีการแจกจ่ายผ้านวมไปยังหน่วยราชการบางแห่ง พร้อมติดป้ายเบอร์ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยเฉพาะภาคอีสาน แต่ กกต.ไม่มีความสามารถ ไม่มีประสิทธิภาพในการที่จะจัดการทุจริตการเลือกตั้งได้เลยแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันเองก็ยังมีการใช้มือปืน ใช้อาวุธสงครามยิงใส่หัวคะแนน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีการทำลายป้ายหาเสียงกันอย่างอุกอาจ จึงถือว่าไม่ใช่การเลือกตั้งตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย นี่คือการเลือกตั้งที่ใช้เงินนำหน้า ใช้อิทธิพลนำหน้า เป็นการเลือกตั้งที่ล้มเหลวที่สุด ดังนั้นหากฝืนให้มีการเลือกตั้งเช่นนี้ต่อไป จะเกิดกลียุคเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ดังนั้นเราเห็นว่าเมื่อ กกต.ไร้ความสามารถที่จะจับการทุจริต การโกงการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.ควรต้องลาออกจากตำแหน่งตั้งแต่ตอนนี้เลย
นายปานเทพยังได้กล่าววิเคราะห์ว่า สาเหตุที่พรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ ตามโพลล์ที่สำรวจหลายครั้งก็ยังเป็นเช่นนี้ มีเหตุผลอย่างน้อย 5 ประการ คือ ประการแรก ไม่สะสางคดีให้ชัดเจนกรณีชายชุดดำที่ออกมายิงอาวุธสงครามใส่ทหารและประชาชนก่อนยุบสภา กรณีนี้ทำให้คนเสื้อแดงจำนวนมากหลงเข้าใจในการโฆษณาชวนเชื่อว่าทหารฆ่าประชาชน ทั้งๆ ที่กรณีดังกล่าวนี้เกิดจากการที่รัฐบาลไม่สามารถสะสางคดีนี้ให้ถึงในชั้นศาลอย่างชัดเจน จับตัวคนร้ายมาให้ได้แล้วถึงค่อยยุบสภา ปรากฏว่ายุบสภาก่อน ทำให้ฝ่ายการเมืองตรงกันข้ามสามารถไปโฆษณาชวนเชื่อว่าเขาบริสุทธิ์ และพร้อมกลับเข้ามาโดยการโยกย้ายคนที่อยู่ในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าตำรวจหรือว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ
ประการที่สอง ไม่จัดการกับขบวนการล้มเจ้าให้ชัดเจนก่อนยุบสภา กลับไปดำเนินการในช่วงใกล้การเลือกตั้งซึ่งไร้ประโยชน์ ในที่สุดพรรคเพื่อไทยถ้าเข้าสู่อำนาจก็จะโยกย้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ ครั้งใหญ่ ไม่มีใครผิดในท้ายที่สุด จับใครไม่ได้ นี่คือความเสี่ยงที่รัฐบาลไม่จัดการเรื่องนี้ ให้มีความชัดเจนเสียก่อนตั้งแต่ตอนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ประชาชนไม่สามารถจะไว้วางใจได้ว่า ขบวนการดังกล่าวเป็นกระบวนการใส่ร้ายหรือมีจริง เพราะรัฐบาลไม่ทำให้ชัดเจน จึงเกิดการโฆษณาชวนเชื่อในลักษณะดังนี้ขยายในหมู่คนเสื้อแดงเป็นจำนวนมาก
ส่วนประการที่สาม รัฐบาลยุบสภาทั้งๆ ที่ไม่ทวงคืนแผ่นดินไทยกลับคืนมาให้เรียบร้อยเสียก่อน ทำให้ประชาชนที่ห่วงใยบ้านเมือง หวงแหนแผ่นดินได้เดินหน้าต่อสู้ และทำให้ไม่มีความไว้วางใจต่อนักการเมืองแม้แต่ฝ่ายเดียว
ประการถัดมาก็คือ ไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ซ้ำร้ายกลับมีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลชุดนี้หนักไม่แพ้กับรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ จนเป็นที่มาของการสำรวจของหอการค้าไทยว่า รัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตคอรัปชั่นมากกว่ารัฐบาลชุดก่อนหน้าเสียอีก ไม่ดำเนินการปฏิรูปการเมืองก่อนที่จะมีการยุบสภา ซึ่งภาคประชาชนก็มีความมุ่งหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจให้เรียบร้อยเสียก่อน ก่อนที่จะมีการยุบสภา แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย ได้แต่ตั้งคณะกรรมการมาหนึ่งชุด เพื่อแสดงให้ดูว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพรรคร่วมรัฐบาลและรัฐบาลเอง ทั้ง 5 ประการจึงเป็นเหตุที่ทำให้พรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะต่อพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์จะล้มเหลวต่อการที่จะดำเนินการชนะพรรคเพื่อไทยได้
โดยเฉพาะประเด็นสุดท้ายก็คือ หลังจากคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ของครอบครัวชินวัตร รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่สะสางคดีความในการยื่นฟ้องคดีต่อเนื่องจากคดีดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการกระทำความผิดในการฮั้ว หรือว่า พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เป็นธรรม หรือว่ากรณีการที่รัฐบาลไม่ดำเนินการในกรณีที่ต้องยกเลิกสัมปทานในหลายกรณี ที่มีการฉ้อโกงต่อแผ่นดินไทยไป หรือไม่ดำเนินการในการที่จะปรับในค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ถูกทุจริตไป จากคดีที่ต่อเนื่องจากการยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท
นายปานเทพกล่าวว่า นี่เป็นผลหลักสำคัญว่ารัฐบาลไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง จึงทำให้ไม่สามารถทานอำนาจของระบอบทักษิณได้ ดังนั้นประชาชนไม่ควรจะหย่อนบัตรไปผิดซ้ำที่เดิม ด้วยการไปฝากความหวังนักการเมืองที่อ่อนแอ ที่จะไปแก้ไขปัญหา และถ้าปล่อยให้กลับเข้ามาปัญหาก็จะยิ่งบานปลายมากกว่านี้ เพราะอ่อนแอเกินไปที่จะทำให้เกิดการคลี่คลายปัญหานี้ได้
“ดังนั้นประชาชนอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงเห็นว่าทางออกทางเดียวในเวลาตอนนี้คือ เร่งสร้างอำนาจต่อรองให้กับประชาชนเสียตั้งแต่วันนี้ ก่อนการกลับมาของทักษิณ เพื่อดำเนินการเป็นพลังอำนาจต่อรองในการคัดค้านนิรโทษกรรมของทักษิณ คัดค้านการฉีกรัฐธรรมนูญ คัดค้านการทำลายหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ นี่คืออำนาจต่อรองที่สามารถทำได้ทันทีตั้งแต่วันนี้ ดีกว่าไปเป็นเสียงข้างน้อยที่ต้องยอมจำนนต่อระบบในสภาผู้แทนราษฎร” นายปานเทพกล่าว
“จำลอง” อัดกกต.ขายหน้าหนีเที่ยว
ด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การฆ่าหัวคะแนนมีอยู่ทุกอาทิตย์ และยิ่งใกล้วันเลือกตั้งออกไปก็ยิ่งต้องมีการฆ่ากันมากขึ้น เป็นไปตามที่ กกต.ท่านหนึ่งได้ออกมาพูดไว้นานแล้วว่า การเลือกตั้งคราวนี้จะดุเดือด รุนแรงที่สุด ไม่ใช่แต่เฉพาะการฆ่ากันเท่านั้น ยังมีการแสดงบางสิ่งบางอย่างที่ต่ำทราม เช่นการตะโกนด่าหยาบคายต่อพรรคที่ออกมาหาเสียง ออกมารณรงค์ทางการเมือง และมีการกระโดดถีบผู้ที่ติดตามนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ก็ยังเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่าถึงคราวที่จะต้องมีการปฏิรูปการเมือง ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไปยิ่งจะหนักกว่านี้อีก
นอกจากนี้ การที่ กกต. 4 คนไปดูงานที่ต่างประเทศ ตนขอยืนยันว่าการดูงานของคนไทยในเมืองนอกนั้นส่วนใหญ่ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป และเงินที่จ่ายไป ไม่ว่าใครจะออกเงินก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเงินภาษีของประชาชนยิ่งไม่คุ้มใหญ่ ดังนั้นการที่ กกต. ไปในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่ กกต.จะต้องทำหน้าที่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการป้องกันไม่ให้มีการโกงและทุจริตการเลือกตั้ง กกต.กลับหนีไปเที่ยวเสีย เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าอย่างยิ่ง
พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า มีผู้ที่ติดตามข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตส่งข่าวมาบอกว่า วานนี้ (18 มิ.ย.) มีการส่งข้อความเข้าไปในอินเตอร์เน็ตเผยแพร่ทั่วไป ซึ่งข้อความที่กล่าวนี้ไม่ใช่เพียงแค่การจาบจ้วง แต่ยังเป็นการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องบนอย่างรุนแรงที่สุด ที่ไม่เคยปรากฏมาในอินเตอร์เน็ต แสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองแย่ลงทุกวัน แต่ก็ไม่มีใครที่ออกมาช่วยปกป้องชาติและราชบัลลังก์อย่างเพียงพอ
**เถื่อน!ปาหินถล่มบ้าน พธม.โคราช
ที่จ.นครราชสีมา ได้เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายใช้ก้อนหินขนาดใหญ่ปาถล่มเข้าใส่บ้านนายสมชาย ลิขิตวรสิริ หรือ“ชัย โคราช”อายุ 53 ปี แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จังหวัดนครราชสีมา เลขที่ 183 ถ.สรรพสิทธิ์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตรงข้าม สภ.เมืองนครราชสีมา ซึ่งเปิดเป็นโรงเรียนสอนขับรถยนต์ “ชิตชัย สอนขับรถ”ได้รับความเสียหายกระจกประตูด้านหน้าบ้านแตกตกกระจายเกลื่อน โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดช่วงเวลาประมาณ 03.00 น.ของวานนี้
ต่อมานายสมชาย เจ้าของบ้านได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท.ลักษณ์ ด้วงลำพันธ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อให้ติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็ว
ทั้งนี้ เมื่อเช้ามืดวานนี้ได้มีกลุ่มคนร้ายนำก้อนหินขนาดมาปาใส่บ้านพักของตนจำนวนหลายก้อนดังกล่าว โดยจากการสอบปากคำคนเก็บขยะของเทศบาลนครนครราชสีมาผู้เห็นเหตุการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเบื้องต้นทราบว่า เห็นชายฉกรรจ์นั่งรถยนต์กระบะมาด้วยกันประมาณ 4 คนทุกคนสวมหมวกไอ้โม่งคลุมหน้าไว้ และได้เก็บก้อนหินหรือ เศษก้อนปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ก่อนขับรถยนต์มาบริเวณหน้าบ้านของตนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนกับ สภ.เมืองนครราชสีมา
จากนั้นคนร้าย 3 คน ได้นำก้อนหินหรือก้อนปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่ ประมาณ 4 ก้อน ลงจากรถมาทำการรุมปาเข้าใส่บ้านของตน จนกระจกประตูด้านหน้าแตกกระจายเสียหายทั้งหมด ก่อนรีบวิ่งขึ้นรถยนต์ขับหลบหนีอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนขับรถเก็บขยะเทศบาลฯ พยายามขับรถตามกลุ่มคนร้ายแต่ไม่ทัน
อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ในสถานีตำรวจฝั่งตรงข้ามใกล้กับบ้านของตนได้ยินเสียงกระจกแตกแต่ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไร โดยหลังเกิดเหตุประมาณ 3-5 นาทีหลังได้ยินเสียง ตนก็รีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ เห็นรถยนต์กระบะโตโยต้า รุ่นวีโก้ แบบแค็บ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนขับออกไปอย่างรวดเร็ว จึงรีบวิ่งไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสกัดจัดกลุ่มคนร้าย แต่ตำรวจก็ไม่ดำเนินการอะไร
นายชัย กล่าวอีกว่า ทราบว่าป้ายโหวตโนของกลุ่ม พธม.ที่นำไปติดตามเสาไฟตามจุดต่างๆ ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ขณะนี้ได้ถูกกลุ่มคนร้ายขับรถยนต์ตระเวนเก็บไปทำลายเป็นจำนวนมากกว่า 20 ป้าย ฉะนั้น จึงมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองแน่นอน
ต่อมานายสุพจน์ พิริยะเกียรติสกุล ประธาน พธม.นครราชสีมา ได้เดินทางมาดูเหตุการณ์พร้อมให้กำลังใจนายสมชาย
โดยในวันที่ 28 มิ.ย. จะมีการเดินรณรงค์โหวตโนครั้งใหญ่ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งจริง 3 ก.ค. ไปทั่วเมืองโคราช พร้อมเปิดเวทีปราศรัยที่บริเวณด้านข้างลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ซึ่งถือเป็นเวทีใหญ่ส่งท้ายรณรงค์โหวตโนของจังหวัดนครราชสีมา
**บิ๊กไบค์ร่วม พธม.สงขลารณรงค์ “โหวตโน
พันธมิตรฯสงขลา นัดรวมตัวหน้าหอนาฬิกาหาดใหญ่ เพื่อออกรณรงค์ขบวนโหวตโนไปยังพื้นที่รอบนอกของ อ.หาดใหญ่ โดยเดินทางไปยัง อ.รัตภูมิ และควนเนียง ในการทำความเข้าใจทำไมต้องโหวตโนผ่านสื่อเครื่องขยายเสียง แผ่นปลิว ซึ่งจะเน้นในแหล่งชุมชน ตลาดสด หน้าสถานที่ราชการตลอดเส้นทางที่ขบวนรถวิ่งผ่าน ซึ่งบรรยากาศในวันนี้ดูแปลกตากว่าทุกครั้ง เนื่องจากมีกลุ่มบิ๊กไบค์มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ การเลือกตั้งของปี 2554 นี้ 14 จังหวัดของภาคใต้จะมี ส.ส.ระบบเขตได้ 53 ที่นั่ง ลดลงจากเดิม แต่สำหรับคะแนน “โหวตโน” มีได้ไม่จำกัด และยิ่งมีมากยิ่งดี
**พธม.ลำพูนรวมตัวโหวตโนทั่วเมือง
ที่ จ.ลำพูน กลุ่มกองทัพธรรมร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯเชียงใหม่และลำพูน และ นายแก้วลูน รวมชัย ผู้สมัคร ส.ส.ลำพูนเขต 1 พรรคเพื่อฟ้าดิน และนายสุเมธ พรหมรักษา ผู้สมัคร ส.ส.ลำพูน เขต 2 พรรคเพื่อฟ้าดิน นายสุเมธ พรหมรักษา พร้อมแกนนำ รวมตัวประมาณ 100 คนเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว 20 คัน เดินทางด้วยเท้ารอบเขตเทศบาลเมืองลำพูน แวะสักการะอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ต่อด้วยตลาดสดหนองดอกและสิ้นสุดที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน
ส่วนในช่วงภาคบ่ายได้ไปต่อกันที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ หมู่ 4 ต.บ้านกลาง อ.เมือง ตามด้วย อ.บ้านธิ อ.ป่าซาง อ.บ้านโฮ่ง โดยการรณรงค์โหวตโนในพื้นที่ จ.ลำฑุนครั้งนี้ไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาต่อต้านหรือประชันหน้า มีแต่เพียงสังเกตการณ์รอบนอก ส่วนป้ายโหวตโนที่ถูกนำมาติดตั้งตามแยกต่างๆ ปรากฏว่า เริ่มมีคนนำสเปรย์สีดำพ่นทับแต่ยังไม่ถึงกับฉีกทำลายป้าย.
วานนี้ (19 มิ.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจะกลับมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมงานแต่งงานของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่นอกประเทศ ตัดสินใจหนีจากประเทศไทยเพื่อหลบหนีการตัดสินคดีความของศาลยุติธรรม ซึ่งศาลตัดสินให้มีโทษจำคุกคดีที่ดินรัชดา 2 ปี หมายความว่าตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีสถานะเป็นนักโทษชายที่หนีคดีความอยู่ หรือนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน
ทั้งนี้ การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมมีสิทธิ์กลับมาได้ และเป็นสิ่งที่ควรต้องกลับมาด้วย แต่การกลับมาควรต้องถูกจำคุกในสิ่งที่ศาลตัดสินไปแล้ว และเป็นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่กระทำในพระปรมาภิไธย ดังนั้นถ้า พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาได้ ก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายเสียก่อน เรายินดีต้อนรับให้กลับเข้ามาสู่ประเทศไทย เพื่อเข้าสู่การลงโทษตามคำสั่งและคำพิพากษาของศาล
ส่วนการกลับมาเพื่อหวังว่าจะมาในงานแต่งงานของ น.ส.พิณทองทา ลูกสาวตัวเองนั้น ถ้าจะกลับมาในฐานะบิดาของลูกสาวอย่างปกติ ก็ไม่น่าจะเข้ามาในงานแต่งงานได้ ก็น่าจะอยู่ในเรือนจำเสียก่อน เว้นเสียแต่ว่าจะมีกระบวนการในการพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ขอย้ำว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่จะต้องเกิดกลียุคเกิดขึ้นทันที เพราะจะมีประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างแน่นอน และการนิรโทษกรรมนั้น แม้ว่าพันธมิตรฯ จะได้ประโยชน์อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามใส่ความ แต่ขอยืนยันว่า พันธมิตรฯ คัดค้านการนิรโทษกรรมแน่นอน เพราะถือว่าการทำลายหลักนิติรัฐด้วยระบบยกมือในสภา เท่ากับว่าผู้ชนะการเลือกตั้งไม่มีวันทำอะไรผิด หรือทำอะไรผิดไม่มีวันได้รับโทษตลอดไป เป็นอันตรายต่อแผ่นดินและระบบหลักนิติรัฐอย่างร้ายแรง
“แม้พันธมิตรฯ จะได้ประโยชน์แต่เราไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยเห็นด้วย และคัดค้านอย่างสุดตัว เหตุผลก็เพราะว่า เชื่อมั่นว่าตัวเองมีความบริสุทธิ์ และจะต้องได้รับการพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม และถึงแม้ถูกลงโทษในท้ายที่สุดก็พร้อมรับโทษ เพื่อรักษาระบบหลักนิติรัฐ เพราะฉะนั้นการที่หวังว่าจะอาศัยมือในสภานิรโทษกรรมนั้น เราจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ในการเชิญชวนประชาชนโหวตโน เพื่อคัดค้านการเลือกตั้งที่ทุจริตมโหฬาร คัดค้านการนิรโทษกรรม เป็นอำนาจต่อรองถ่วงดุลต่ออำนาจทางการเมืองในสภา และพร้อมเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงด้วยการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ ยังออกมาเตือนว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาได้ แต่ถ้ากลับมาเช่นนั้น งานแต่งงานของบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่มี และไม่ได้รับความสุข ความสงบเลย ซึ่งพันธมิตรฯ ไม่ได้ขู่ว่าจะทำอะไร แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่าจะมางานแต่งงานเพื่อสร้างความสุขให้กับบุตรสาวแล้ว ถ้าการกลับมาด้วยการนิรโทษกรรม บุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่มีทางมีความสุขในงานแต่งงานครั้งนั้น เพราะจะมีประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน มีแต่ความเกลียดชัง
นอกจากนี้ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าจะกลับมาในเดือนธันวาคม 2554 ทั้งๆ ที่เดือนธันวาคมนั้นเป็นเดือนมหามงคล ที่คนไทยนั้นน้อมใจกันในการถวายพระพรชัย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับถือโอกาสเข้ามาเรียกร้องความน่าสนใจของตัวเอง ว่าจะกลับมาในเดือนธันวาคมเช่นเดียวกัน ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจุดยืนของพันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม หาก พ.ต.ท.ทักษิณอยากกลับมาประเทศไทย ก็กลับมาได้ทันที แต่ต้องรับโทษจำคุก 2 ปีเสียก่อน
***ฟันธง “DSI” เหยื่อ รบ.เผาไทย
นายปานเทพยังแถลงด้วยว่า โพลล์ล่าสุดทั้งนิด้าโพลล์ และสวนดุสิตโพลล์ ต่างให้ความเห็นตรงกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยกำลังจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งๆ ที่มีการชุมนุมที่รุนแรงมากที่สุด และมีขบวนการที่เกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์แฝงตัวอยู่บางส่วนในการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ที่สำคัญมุ่งเน้นที่จะทำลายหลักนิติรัฐด้วยการจะให้มีการลบล้างความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีทั้งหมด แน่นอนว่า กรณีดังกล่าวนั้นเองมีการประกาศจากคนเสื้อแดงบางกลุ่มว่า พร้อมที่จะต่อสู้ในคดีความก่อการร้าย หรือว่าชายชุดดำทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหามาจากการที่รัฐบาลไม่ดำเนินการให้คดีเหล่านั้นได้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะยุบสภา ทำให้ภายใต้การตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ถ้าได้จัดตั้งรัฐบาลแล้วก็คงจะมีการโยกย้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษกันครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซ้ำรอยเดิมเหมือนเมื่อปี 2551 ทุกประการ
“ดังนั้นเราจึงเห็นว่า ถ้าประชาชนไปเลือกขั้วใดขั้วหนึ่ง โดยเฉพาะขั้วที่จะแพ้อยู่แล้ว ก็จะยิ่งสร้างความชอบธรรมในการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ และทิศทางของคนเสื้อแดง และว่าที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในอนาคต ด้วยการอาศัยมือในสภา ยิ่งมีคนลงคะแนนในพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งมากๆ ที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย ก็ยิ่งสร้างความชอบธรรมในชัยชนะของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น ทางพันธมิตรฯ จึงยืนยันว่าคะแนนโหวตโนเท่านั้นที่จะเป็นสัญญาณและสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่ยอมรับกับระบบที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เต็มไปด้วยการทุจริตอย่างมโหฬาร มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงหัวละ 1,000-1,500 บาท และมีการแจกจ่ายผ้านวมไปยังหน่วยราชการบางแห่ง พร้อมติดป้ายเบอร์ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยเฉพาะภาคอีสาน แต่ กกต.ไม่มีความสามารถ ไม่มีประสิทธิภาพในการที่จะจัดการทุจริตการเลือกตั้งได้เลยแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันเองก็ยังมีการใช้มือปืน ใช้อาวุธสงครามยิงใส่หัวคะแนน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีการทำลายป้ายหาเสียงกันอย่างอุกอาจ จึงถือว่าไม่ใช่การเลือกตั้งตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย นี่คือการเลือกตั้งที่ใช้เงินนำหน้า ใช้อิทธิพลนำหน้า เป็นการเลือกตั้งที่ล้มเหลวที่สุด ดังนั้นหากฝืนให้มีการเลือกตั้งเช่นนี้ต่อไป จะเกิดกลียุคเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ดังนั้นเราเห็นว่าเมื่อ กกต.ไร้ความสามารถที่จะจับการทุจริต การโกงการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.ควรต้องลาออกจากตำแหน่งตั้งแต่ตอนนี้เลย
นายปานเทพยังได้กล่าววิเคราะห์ว่า สาเหตุที่พรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ ตามโพลล์ที่สำรวจหลายครั้งก็ยังเป็นเช่นนี้ มีเหตุผลอย่างน้อย 5 ประการ คือ ประการแรก ไม่สะสางคดีให้ชัดเจนกรณีชายชุดดำที่ออกมายิงอาวุธสงครามใส่ทหารและประชาชนก่อนยุบสภา กรณีนี้ทำให้คนเสื้อแดงจำนวนมากหลงเข้าใจในการโฆษณาชวนเชื่อว่าทหารฆ่าประชาชน ทั้งๆ ที่กรณีดังกล่าวนี้เกิดจากการที่รัฐบาลไม่สามารถสะสางคดีนี้ให้ถึงในชั้นศาลอย่างชัดเจน จับตัวคนร้ายมาให้ได้แล้วถึงค่อยยุบสภา ปรากฏว่ายุบสภาก่อน ทำให้ฝ่ายการเมืองตรงกันข้ามสามารถไปโฆษณาชวนเชื่อว่าเขาบริสุทธิ์ และพร้อมกลับเข้ามาโดยการโยกย้ายคนที่อยู่ในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าตำรวจหรือว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ
ประการที่สอง ไม่จัดการกับขบวนการล้มเจ้าให้ชัดเจนก่อนยุบสภา กลับไปดำเนินการในช่วงใกล้การเลือกตั้งซึ่งไร้ประโยชน์ ในที่สุดพรรคเพื่อไทยถ้าเข้าสู่อำนาจก็จะโยกย้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ ครั้งใหญ่ ไม่มีใครผิดในท้ายที่สุด จับใครไม่ได้ นี่คือความเสี่ยงที่รัฐบาลไม่จัดการเรื่องนี้ ให้มีความชัดเจนเสียก่อนตั้งแต่ตอนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ประชาชนไม่สามารถจะไว้วางใจได้ว่า ขบวนการดังกล่าวเป็นกระบวนการใส่ร้ายหรือมีจริง เพราะรัฐบาลไม่ทำให้ชัดเจน จึงเกิดการโฆษณาชวนเชื่อในลักษณะดังนี้ขยายในหมู่คนเสื้อแดงเป็นจำนวนมาก
ส่วนประการที่สาม รัฐบาลยุบสภาทั้งๆ ที่ไม่ทวงคืนแผ่นดินไทยกลับคืนมาให้เรียบร้อยเสียก่อน ทำให้ประชาชนที่ห่วงใยบ้านเมือง หวงแหนแผ่นดินได้เดินหน้าต่อสู้ และทำให้ไม่มีความไว้วางใจต่อนักการเมืองแม้แต่ฝ่ายเดียว
ประการถัดมาก็คือ ไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ซ้ำร้ายกลับมีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลชุดนี้หนักไม่แพ้กับรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ จนเป็นที่มาของการสำรวจของหอการค้าไทยว่า รัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตคอรัปชั่นมากกว่ารัฐบาลชุดก่อนหน้าเสียอีก ไม่ดำเนินการปฏิรูปการเมืองก่อนที่จะมีการยุบสภา ซึ่งภาคประชาชนก็มีความมุ่งหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจให้เรียบร้อยเสียก่อน ก่อนที่จะมีการยุบสภา แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย ได้แต่ตั้งคณะกรรมการมาหนึ่งชุด เพื่อแสดงให้ดูว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพรรคร่วมรัฐบาลและรัฐบาลเอง ทั้ง 5 ประการจึงเป็นเหตุที่ทำให้พรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะต่อพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์จะล้มเหลวต่อการที่จะดำเนินการชนะพรรคเพื่อไทยได้
โดยเฉพาะประเด็นสุดท้ายก็คือ หลังจากคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ของครอบครัวชินวัตร รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่สะสางคดีความในการยื่นฟ้องคดีต่อเนื่องจากคดีดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการกระทำความผิดในการฮั้ว หรือว่า พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เป็นธรรม หรือว่ากรณีการที่รัฐบาลไม่ดำเนินการในกรณีที่ต้องยกเลิกสัมปทานในหลายกรณี ที่มีการฉ้อโกงต่อแผ่นดินไทยไป หรือไม่ดำเนินการในการที่จะปรับในค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ถูกทุจริตไป จากคดีที่ต่อเนื่องจากการยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท
นายปานเทพกล่าวว่า นี่เป็นผลหลักสำคัญว่ารัฐบาลไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง จึงทำให้ไม่สามารถทานอำนาจของระบอบทักษิณได้ ดังนั้นประชาชนไม่ควรจะหย่อนบัตรไปผิดซ้ำที่เดิม ด้วยการไปฝากความหวังนักการเมืองที่อ่อนแอ ที่จะไปแก้ไขปัญหา และถ้าปล่อยให้กลับเข้ามาปัญหาก็จะยิ่งบานปลายมากกว่านี้ เพราะอ่อนแอเกินไปที่จะทำให้เกิดการคลี่คลายปัญหานี้ได้
“ดังนั้นประชาชนอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงเห็นว่าทางออกทางเดียวในเวลาตอนนี้คือ เร่งสร้างอำนาจต่อรองให้กับประชาชนเสียตั้งแต่วันนี้ ก่อนการกลับมาของทักษิณ เพื่อดำเนินการเป็นพลังอำนาจต่อรองในการคัดค้านนิรโทษกรรมของทักษิณ คัดค้านการฉีกรัฐธรรมนูญ คัดค้านการทำลายหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ นี่คืออำนาจต่อรองที่สามารถทำได้ทันทีตั้งแต่วันนี้ ดีกว่าไปเป็นเสียงข้างน้อยที่ต้องยอมจำนนต่อระบบในสภาผู้แทนราษฎร” นายปานเทพกล่าว
“จำลอง” อัดกกต.ขายหน้าหนีเที่ยว
ด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การฆ่าหัวคะแนนมีอยู่ทุกอาทิตย์ และยิ่งใกล้วันเลือกตั้งออกไปก็ยิ่งต้องมีการฆ่ากันมากขึ้น เป็นไปตามที่ กกต.ท่านหนึ่งได้ออกมาพูดไว้นานแล้วว่า การเลือกตั้งคราวนี้จะดุเดือด รุนแรงที่สุด ไม่ใช่แต่เฉพาะการฆ่ากันเท่านั้น ยังมีการแสดงบางสิ่งบางอย่างที่ต่ำทราม เช่นการตะโกนด่าหยาบคายต่อพรรคที่ออกมาหาเสียง ออกมารณรงค์ทางการเมือง และมีการกระโดดถีบผู้ที่ติดตามนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ก็ยังเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่าถึงคราวที่จะต้องมีการปฏิรูปการเมือง ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไปยิ่งจะหนักกว่านี้อีก
นอกจากนี้ การที่ กกต. 4 คนไปดูงานที่ต่างประเทศ ตนขอยืนยันว่าการดูงานของคนไทยในเมืองนอกนั้นส่วนใหญ่ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป และเงินที่จ่ายไป ไม่ว่าใครจะออกเงินก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเงินภาษีของประชาชนยิ่งไม่คุ้มใหญ่ ดังนั้นการที่ กกต. ไปในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่ กกต.จะต้องทำหน้าที่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการป้องกันไม่ให้มีการโกงและทุจริตการเลือกตั้ง กกต.กลับหนีไปเที่ยวเสีย เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าอย่างยิ่ง
พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า มีผู้ที่ติดตามข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตส่งข่าวมาบอกว่า วานนี้ (18 มิ.ย.) มีการส่งข้อความเข้าไปในอินเตอร์เน็ตเผยแพร่ทั่วไป ซึ่งข้อความที่กล่าวนี้ไม่ใช่เพียงแค่การจาบจ้วง แต่ยังเป็นการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องบนอย่างรุนแรงที่สุด ที่ไม่เคยปรากฏมาในอินเตอร์เน็ต แสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองแย่ลงทุกวัน แต่ก็ไม่มีใครที่ออกมาช่วยปกป้องชาติและราชบัลลังก์อย่างเพียงพอ
**เถื่อน!ปาหินถล่มบ้าน พธม.โคราช
ที่จ.นครราชสีมา ได้เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายใช้ก้อนหินขนาดใหญ่ปาถล่มเข้าใส่บ้านนายสมชาย ลิขิตวรสิริ หรือ“ชัย โคราช”อายุ 53 ปี แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จังหวัดนครราชสีมา เลขที่ 183 ถ.สรรพสิทธิ์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตรงข้าม สภ.เมืองนครราชสีมา ซึ่งเปิดเป็นโรงเรียนสอนขับรถยนต์ “ชิตชัย สอนขับรถ”ได้รับความเสียหายกระจกประตูด้านหน้าบ้านแตกตกกระจายเกลื่อน โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดช่วงเวลาประมาณ 03.00 น.ของวานนี้
ต่อมานายสมชาย เจ้าของบ้านได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท.ลักษณ์ ด้วงลำพันธ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อให้ติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็ว
ทั้งนี้ เมื่อเช้ามืดวานนี้ได้มีกลุ่มคนร้ายนำก้อนหินขนาดมาปาใส่บ้านพักของตนจำนวนหลายก้อนดังกล่าว โดยจากการสอบปากคำคนเก็บขยะของเทศบาลนครนครราชสีมาผู้เห็นเหตุการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเบื้องต้นทราบว่า เห็นชายฉกรรจ์นั่งรถยนต์กระบะมาด้วยกันประมาณ 4 คนทุกคนสวมหมวกไอ้โม่งคลุมหน้าไว้ และได้เก็บก้อนหินหรือ เศษก้อนปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ก่อนขับรถยนต์มาบริเวณหน้าบ้านของตนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนกับ สภ.เมืองนครราชสีมา
จากนั้นคนร้าย 3 คน ได้นำก้อนหินหรือก้อนปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่ ประมาณ 4 ก้อน ลงจากรถมาทำการรุมปาเข้าใส่บ้านของตน จนกระจกประตูด้านหน้าแตกกระจายเสียหายทั้งหมด ก่อนรีบวิ่งขึ้นรถยนต์ขับหลบหนีอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนขับรถเก็บขยะเทศบาลฯ พยายามขับรถตามกลุ่มคนร้ายแต่ไม่ทัน
อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ในสถานีตำรวจฝั่งตรงข้ามใกล้กับบ้านของตนได้ยินเสียงกระจกแตกแต่ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไร โดยหลังเกิดเหตุประมาณ 3-5 นาทีหลังได้ยินเสียง ตนก็รีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ เห็นรถยนต์กระบะโตโยต้า รุ่นวีโก้ แบบแค็บ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนขับออกไปอย่างรวดเร็ว จึงรีบวิ่งไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสกัดจัดกลุ่มคนร้าย แต่ตำรวจก็ไม่ดำเนินการอะไร
นายชัย กล่าวอีกว่า ทราบว่าป้ายโหวตโนของกลุ่ม พธม.ที่นำไปติดตามเสาไฟตามจุดต่างๆ ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ขณะนี้ได้ถูกกลุ่มคนร้ายขับรถยนต์ตระเวนเก็บไปทำลายเป็นจำนวนมากกว่า 20 ป้าย ฉะนั้น จึงมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองแน่นอน
ต่อมานายสุพจน์ พิริยะเกียรติสกุล ประธาน พธม.นครราชสีมา ได้เดินทางมาดูเหตุการณ์พร้อมให้กำลังใจนายสมชาย
โดยในวันที่ 28 มิ.ย. จะมีการเดินรณรงค์โหวตโนครั้งใหญ่ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งจริง 3 ก.ค. ไปทั่วเมืองโคราช พร้อมเปิดเวทีปราศรัยที่บริเวณด้านข้างลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ซึ่งถือเป็นเวทีใหญ่ส่งท้ายรณรงค์โหวตโนของจังหวัดนครราชสีมา
**บิ๊กไบค์ร่วม พธม.สงขลารณรงค์ “โหวตโน
พันธมิตรฯสงขลา นัดรวมตัวหน้าหอนาฬิกาหาดใหญ่ เพื่อออกรณรงค์ขบวนโหวตโนไปยังพื้นที่รอบนอกของ อ.หาดใหญ่ โดยเดินทางไปยัง อ.รัตภูมิ และควนเนียง ในการทำความเข้าใจทำไมต้องโหวตโนผ่านสื่อเครื่องขยายเสียง แผ่นปลิว ซึ่งจะเน้นในแหล่งชุมชน ตลาดสด หน้าสถานที่ราชการตลอดเส้นทางที่ขบวนรถวิ่งผ่าน ซึ่งบรรยากาศในวันนี้ดูแปลกตากว่าทุกครั้ง เนื่องจากมีกลุ่มบิ๊กไบค์มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ การเลือกตั้งของปี 2554 นี้ 14 จังหวัดของภาคใต้จะมี ส.ส.ระบบเขตได้ 53 ที่นั่ง ลดลงจากเดิม แต่สำหรับคะแนน “โหวตโน” มีได้ไม่จำกัด และยิ่งมีมากยิ่งดี
**พธม.ลำพูนรวมตัวโหวตโนทั่วเมือง
ที่ จ.ลำพูน กลุ่มกองทัพธรรมร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯเชียงใหม่และลำพูน และ นายแก้วลูน รวมชัย ผู้สมัคร ส.ส.ลำพูนเขต 1 พรรคเพื่อฟ้าดิน และนายสุเมธ พรหมรักษา ผู้สมัคร ส.ส.ลำพูน เขต 2 พรรคเพื่อฟ้าดิน นายสุเมธ พรหมรักษา พร้อมแกนนำ รวมตัวประมาณ 100 คนเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว 20 คัน เดินทางด้วยเท้ารอบเขตเทศบาลเมืองลำพูน แวะสักการะอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ต่อด้วยตลาดสดหนองดอกและสิ้นสุดที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน
ส่วนในช่วงภาคบ่ายได้ไปต่อกันที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ หมู่ 4 ต.บ้านกลาง อ.เมือง ตามด้วย อ.บ้านธิ อ.ป่าซาง อ.บ้านโฮ่ง โดยการรณรงค์โหวตโนในพื้นที่ จ.ลำฑุนครั้งนี้ไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาต่อต้านหรือประชันหน้า มีแต่เพียงสังเกตการณ์รอบนอก ส่วนป้ายโหวตโนที่ถูกนำมาติดตั้งตามแยกต่างๆ ปรากฏว่า เริ่มมีคนนำสเปรย์สีดำพ่นทับแต่ยังไม่ถึงกับฉีกทำลายป้าย.