http://twitter.com/indexthai
indexthai@yahoo.com
การมาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ถือว่าโชคดี เพราะเป็นช่วงของการฟื้นตัวของตลาดทุน แต่ความโชคดีก็นำมาซึ่งการบริหารจัดการเศรษฐกิจที่เบี่ยงเบน
แม้ว่าปี 2551 ทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศจะตกลงทั้งปีก็ตาม แต่ก็ถือว่าอยู่ระดับสูง โดยที่ทุนสำรองสุทธิวันที่นายกฯ อภิสิทธิ์มารับตำแหน่ง อยู่ที่ระดับ 118 พันล้านเหรียญสหรัฐ คงจำได้วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า ซึ่งแสดงว่าสภาพคล่องท่วมระบบแล้ว วันนั้นทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐ แสดงว่าช่วงการมาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ สภาพคล่องท่วมระบบแล้ว 44 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปลายเดือนเมษายน 2554 ก่อนประกาศยุบสภา ทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 211 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือสภาพคล่องท่วมระบบเป็น 137 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยกว่า 4 ล้านล้านบาท
สภาพคล่องท่วมระบบ เป็นที่มาของการระบายสภาพคล่องทุกวิถีทาง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนในระบบเศรษฐกิจตามมาในอนาคต มาตรการ 2 สูง คือ ขึ้นเงินเดือนและเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐ โครงการต้นกล้าอาชีพ เรียนฟรีอีก 15 ปี เช็คช่วยชาติ 2,000 บาทแก่ผู้มีรายได้ไม่ถึง 15,000 บาท จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาท รถเมล์-รถไฟฟรี ธนาคารไปรษณีย์ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ปรับขึ้นเงินข้าราชการเต็มเพดาน ขึ้นเดือน ส.ส.และ ส.ว.14.3-14.7 เปอร์เซ็นต์ และสวัสดีปีใหม่ 2554 ด้วยโครงการประชาวิวัฒน์
การประกาศขึ้นเงินเดือน รวมทั้งการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำล่วงหน้า 25 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น 3.5-4.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากติดลบเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ แล้วรัฐบาลก็ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุดเมื่อกลางปี 2553 ที่ระดับ 1.25 เปอร์เซ็นต์ ได้มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 และขึ้นมาอีก 6 ครั้ง ครั้งละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ยท้ายสุดขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน แต่ก็ตามไม่ทันอัตราเงินเฟ้ออยู่ดี ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว ทำให้เงินทุนไหลเข้ามากขึ้น จนทุนสำรองขึ้นถึงระดับ 211 พันล้านเหรียญสหรัฐดังกล่าว
สภาพคล่องเป็นปัญหาหนัก ธปท.อนุมัติให้ ก.ล.ต.เพิ่มเงินลงทุนต่างประเทศจากระดับ 3 มาเป็น 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ งบประมาณบางโครงการขอไว้ 1.3 แสนล้านบาท รัฐบาลเพิ่มให้เป็น 1.5 แสนล้านบาท งบประมาณปี 2544 เป็นงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 2.07 ล้านล้านบาท และเป็นงบประมาณที่ขาดดุลสูงถึง 4.2 แสนล้านบาท ก็มีความคิดมาจากการระบายสภาพคล่อง
การเปิดตลาดอนุพันธ์ที่ตลาดทุน เช่น ดัชนีหุ้น-ราคาหุ้นล่วงหน้า ราคาทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุนและตลาดเงินเพิ่มขึ้น และวันที่ 20 มิถุนายนนี้ จะเปิดให้มีการซื้อขายเงินล่วงหน้าอีก (Silver Futures) รวมทั้งจะขยายเวลาการซื้อขายราคาทองคำและราคาเงินล่วงหน้าภาคกลางคืนอีก 3 ชั่วโมง คือระหว่างเวลา 19.30-22.30 น.
ตลาดทุนกับตลาดเงินมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างแนบแน่น เหมือนเมื่อครั้งที่รัฐบาลชวน 1 นำระบบ Maintenance margin & Forced sell มาใช้เมื่อปลายปี 2536 ทำให้ตลาดหุ้นเริ่มพังทลายในต้นปี 2537 ทำให้ค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อเสียหายรุนแรง ทำให้ภาคการผลิตจริงและภาคการเงินล้มลง และมีปัญหามาจนถึงทุกวันนี้
วันเข้ารับตำแหน่งของรัฐบาลอภิสิทธิ์-กรณ์ปลายปี 2551 SET ปิดที่ 446 จุด แล้ว SET ก็สูงขึ้นมาตลอด และมีจุดสูงสุดที่ 1,107 จุดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เพิ่มขึ้น 148 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นตลาดหุ้นก็ตกลงโดยตลอด และตกมาประมาณ 2 เดือนแล้ว
indexthai@yahoo.com
การมาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ถือว่าโชคดี เพราะเป็นช่วงของการฟื้นตัวของตลาดทุน แต่ความโชคดีก็นำมาซึ่งการบริหารจัดการเศรษฐกิจที่เบี่ยงเบน
แม้ว่าปี 2551 ทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศจะตกลงทั้งปีก็ตาม แต่ก็ถือว่าอยู่ระดับสูง โดยที่ทุนสำรองสุทธิวันที่นายกฯ อภิสิทธิ์มารับตำแหน่ง อยู่ที่ระดับ 118 พันล้านเหรียญสหรัฐ คงจำได้วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า ซึ่งแสดงว่าสภาพคล่องท่วมระบบแล้ว วันนั้นทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐ แสดงว่าช่วงการมาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ สภาพคล่องท่วมระบบแล้ว 44 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปลายเดือนเมษายน 2554 ก่อนประกาศยุบสภา ทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 211 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือสภาพคล่องท่วมระบบเป็น 137 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยกว่า 4 ล้านล้านบาท
สภาพคล่องท่วมระบบ เป็นที่มาของการระบายสภาพคล่องทุกวิถีทาง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนในระบบเศรษฐกิจตามมาในอนาคต มาตรการ 2 สูง คือ ขึ้นเงินเดือนและเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐ โครงการต้นกล้าอาชีพ เรียนฟรีอีก 15 ปี เช็คช่วยชาติ 2,000 บาทแก่ผู้มีรายได้ไม่ถึง 15,000 บาท จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาท รถเมล์-รถไฟฟรี ธนาคารไปรษณีย์ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ปรับขึ้นเงินข้าราชการเต็มเพดาน ขึ้นเดือน ส.ส.และ ส.ว.14.3-14.7 เปอร์เซ็นต์ และสวัสดีปีใหม่ 2554 ด้วยโครงการประชาวิวัฒน์
การประกาศขึ้นเงินเดือน รวมทั้งการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำล่วงหน้า 25 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น 3.5-4.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากติดลบเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ แล้วรัฐบาลก็ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุดเมื่อกลางปี 2553 ที่ระดับ 1.25 เปอร์เซ็นต์ ได้มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 และขึ้นมาอีก 6 ครั้ง ครั้งละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ยท้ายสุดขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน แต่ก็ตามไม่ทันอัตราเงินเฟ้ออยู่ดี ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว ทำให้เงินทุนไหลเข้ามากขึ้น จนทุนสำรองขึ้นถึงระดับ 211 พันล้านเหรียญสหรัฐดังกล่าว
สภาพคล่องเป็นปัญหาหนัก ธปท.อนุมัติให้ ก.ล.ต.เพิ่มเงินลงทุนต่างประเทศจากระดับ 3 มาเป็น 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ งบประมาณบางโครงการขอไว้ 1.3 แสนล้านบาท รัฐบาลเพิ่มให้เป็น 1.5 แสนล้านบาท งบประมาณปี 2544 เป็นงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 2.07 ล้านล้านบาท และเป็นงบประมาณที่ขาดดุลสูงถึง 4.2 แสนล้านบาท ก็มีความคิดมาจากการระบายสภาพคล่อง
การเปิดตลาดอนุพันธ์ที่ตลาดทุน เช่น ดัชนีหุ้น-ราคาหุ้นล่วงหน้า ราคาทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุนและตลาดเงินเพิ่มขึ้น และวันที่ 20 มิถุนายนนี้ จะเปิดให้มีการซื้อขายเงินล่วงหน้าอีก (Silver Futures) รวมทั้งจะขยายเวลาการซื้อขายราคาทองคำและราคาเงินล่วงหน้าภาคกลางคืนอีก 3 ชั่วโมง คือระหว่างเวลา 19.30-22.30 น.
ตลาดทุนกับตลาดเงินมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างแนบแน่น เหมือนเมื่อครั้งที่รัฐบาลชวน 1 นำระบบ Maintenance margin & Forced sell มาใช้เมื่อปลายปี 2536 ทำให้ตลาดหุ้นเริ่มพังทลายในต้นปี 2537 ทำให้ค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อเสียหายรุนแรง ทำให้ภาคการผลิตจริงและภาคการเงินล้มลง และมีปัญหามาจนถึงทุกวันนี้
วันเข้ารับตำแหน่งของรัฐบาลอภิสิทธิ์-กรณ์ปลายปี 2551 SET ปิดที่ 446 จุด แล้ว SET ก็สูงขึ้นมาตลอด และมีจุดสูงสุดที่ 1,107 จุดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เพิ่มขึ้น 148 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นตลาดหุ้นก็ตกลงโดยตลอด และตกมาประมาณ 2 เดือนแล้ว
