ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลัง “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตัดสินใจปล่อยของผ่านเฟซบุ๊ก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” มาแล้ว 2 ตอน โดยตอนแรกใช้ชื่อว่า “การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี” ส่วนตอนที่สองใช้ชื่อว่า “กฎเหล็ก 9 ข้อ : สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง”
ไม่มีใครรู้ว่า กระแสตอบรับในข้อเขียนดังกล่าวจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ดีขึ้นหรือเลวลง แต่ที่แน่ๆ คือสร้างความไม่พอใจให้กับ “นายชุมพล ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นอย่างมาก จนมีการตอบโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน
และเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.นายอภิสิทธิ์ก็ตัดสินใจส่งผ่านข้อเขียนชิ้นที่ 3 ออกมาทาง เฟซบุ๊กอีกครั้ง โดยคราวนี้นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อเรื่องที่จะเขียนใหม่จากเดิมที่ตั้งใจจะเขียนเรื่องการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชัน พร้อมให้เหตุผลว่า “มีความพยายามสร้างกระแสเกี่ยวกับเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 2 ปีที่ผ่านมา โดยอ้างอิงถึงความสูญเสีย 91 ศพ(ซึ่งรวมทหาร-ตำรวจ ประชรชนที่เป็นเหยื่อ M-79 ที่ยิงออกมาจากที่ชุมนุมด้วย) ผมจึงต้องขอเสนอความจริงเรื่องนี้ก่อน”
คำถามที่เกิดขึ้นคือ อะไรทำให้นายอภิสิทธิ์เปลี่ยนม้ากลางศึกเยี่ยงนี้
ทั้งนี้ เมื่ออ่านข้อเขียนตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว จะเห็นได้ว่า “สาร” ที่นายอภิสิทธิ์ต้องการสื่อออกไปมิได้มีเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มคนเสื้อแดง หากเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า น่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่การอธิบายให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจทางการเมือง หรือคนที่เทคะแนนเสียงให้กับ “โหวตโน” เปลี่ยนใจกลับมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์
เพราะยิ่งนานวัน สัญญาณที่ออกมาก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์จะพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งต่อพรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบ ไม่ว่าจะเป็นจากสารพัดโพลหรือการลงสำรวจพื้นที่จริง ซึ่งถ้าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะริบหรี่ลงไปทุกที
นายอภิสิทธิ์เริ่มต้นบทความด้วยการแสดงให้เห็นถึงความหฤโหดของคนเสื้อแดงออกมาให้เห็นทีละข้อ ๆ ด้วยภาพคนเสื้อแดงทุบรถในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา ตามต่อด้วยการไล่ล่าที่กระทรวงมหาดไทย การก่อจลาจนในช่วงสงกรานต์เลือดปี 52 และชีวิตของชาวบ้านนางเลิ้ง 2 ศพที่จากไป พร้อมทั้งเชื่อมโยงให้เห็นว่า “คุณทักษิณ” คือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยการตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ ว่า ตัวเขาเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ก็ฉลาดพอที่จะขยายความต่อในเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในปี 2553 โดยเริ่มจากการแสดงให้เห็นว่า “คุณทักษิณ” ไม่เคารพคำพิพากษาของ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ด้วยการแสดงตัวอย่างให้เห็นจากวิดีโอลิงก์ที่เขาตอบโต้ทันทีที่มีคำพิพากษา ด้วยการเลือกถ้อยคำสำคัญในท่อนที่ว่า “วันนี้การเมืองตอนนี้ดุมาก ใจดำมาก แต่ขอผมเป็นเหยื่อการเมืองคนสุดท้าย ถ้าเมื่อไรประเทศได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง และมีระบบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม คงจะไม่มีเหยื่ออย่างผมอีกเพราะวันนี้ดุลทั้งหมดไปอยู่อำมาตย์ที่สามารถกดปุ่มสั่งการให้ระบบหนึ่ง มีอำนาจเหนืออีกระบบหนึ่งอย่างง่ายดาย”
นายอภิสิทธิ์จงใจแสดงให้เห็นว่า “คุณทักษิณ” คือศัตรูของ “อำมาตย์”
และตามต่อด้วยการพร่ำพรรณนาถึงแผนการที่คนเสื้อแดงพยายามยัดเยียดให้ตัวเขาเป็น “ฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน” โดยเจตนาใช้ชุดถ้อยคำอย่างเช่น “หากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภาไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้ คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ต่อมาคนเหล่านี้ เผยธาตุแท้ตัวเองให้เห็น ภายหลังผ่านเหตุการณ์ไทยวิปโยคว่า ให้รัฐบาลอยู่ครบเทอมไปเลย ทั้งๆ ที่ในช่วงเหตุการณ์ เมษายน-พฤษภาคม 2553 เรียกร้องเอาเป็นเอาตายว่าต้องยุบสภาทันที จนเกิดเหตุสูญเสียขึ้นในที่สุด”
พร้อมทั้งทิ้งท้ายข้อเขียนตอนนี้เอาไว้ว่า “แกนนำเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”
นั่นคือสารที่นายอภิสิทธิ์ต้องการให้สังคมเห็นถึงตัวตนของคนเสื้อแดงและ “คุณทักษิณ” เพื่อเรียกคะแนนที่เสียไปให้กลับคืนมา
ทั้งนี้ สารที่นายอภิสิทธิ์ส่งออกมาสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวภายในของพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง กทม.ที่เรียกประชุมสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.) และสภาเขตกรุงเทพมหานคร(ส.ข.) พร้อมผู้เกี่ยวข้องราว 30 คนเข้าประชุมด่วนเพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่กระแสความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์เป็นรองพรรคเพื่อไทยอยู่หลายเขต พร้อมวิเคราะห์ว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นผลมาจากการณรงค์โหวตโนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ตัดคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ โดยที่ประชุมมีข้อสรุปร่วมกันว่า ให้เร่งชี้แจงกับประชาชนใหม่ว่า การโหวตโนเท่ากับช่วย นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงทางอ้อม และจะทำให้แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อและนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เพียงนายอภิสิทธิ์เท่านั้น เพราะถ้าหากมองป่าทั้งป่าก็จะเห็นความจริงประการหนึ่งว่า เกมการเมืองของนายอภิสิทธิ์ที่ถูกส่งผ่านเฟซบุ๊กครั้งนี้ สอดคล้องกับท่าทีของคีย์แมนคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นไปในท่วงทำนองเดียวกัน
ดังนั้น นี่จึงเป็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ในโค้งสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นเพื่อปลุกกระแส “ไม่เลือกประชาธิปัตย์ แดงเผาเมืองมาแน่”
เป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์นอกจากต้องการให้คนโหวตโนเปลี่ยนใจแล้ว ยังต้องการให้ตัวเลขที่สารพัดโพลบอกว่า คนร้อยละ 40-50 ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใดเปลี่ยนใจมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์
เริ่มจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือ พยายามสื่อสารให้สังคมเห็นถึงพฤติกรรมในอดีตและสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตภายใต้การบริหารงานของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย”
ยิ่งในระยะหลัง นายสุเทพยิ่งตอกย้ำถึงเหตุการณ์แดงเผาบ้านเผาเมืองมากขึ้นเป็นลำดับ
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.นายสุเทพกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ถ้าพรรคประชาธิปัตย์แพ้หลุดลุ่ยเหมือนที่เกจิหลายคนทำนายเราก็ไม่ทำอะไร ยกบ้านเมืองให้กลุ่มเสื้อแดงเป็นผู้บริหาร ทั้งหมดอยู่ที่ประชาชนพิจารณา ถ้าพรรคประชาธิปัตย์แพ้หลุดลุ่ยเหมือนที่เกจิหลายคนทำนายเราก็ไม่ทำอะไร ยกบ้านเมืองให้กลุ่มเสื้อแดงเป็นผู้บริหาร ทั้งหมดอยู่ที่ประชาชนพิจารณา ….คนที่ทำนายว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ก็ช่วยจารึกชื่อคนทำนาย และเขียนติดฝาบ้านเอาไว้จะส่งผลการเลือกตั้งไปให้ดู เพราะเชื่อว่าประชาชนไม่มีวันลืมว่าทั้งคนเสื้อแดง กองกำลังติดอาวุธ ทำร้ายประชาชนเผาบ้านเผาเมือง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้สั่งฆ่าประชาชน และสำหรับชาวบ้านที่ลืมเหตุการณ์ไปแล้ว หากถูกบิดเบือนข้อมูลก็อาจจะฟังจากคนพวกนั้น แต่สำหรับใครที่ติดตามข่าวตลอดคงพอจำได้ โดยเฉพาะคน กทม.ที่เป็นเสมือนฝันร้าย และถ้าคนเหล่านั้นมาบิดเบือนข้อมูลมากๆ ผมก็จะเอาข้อมูลมาเปิดเผยต่อไป” จนกลายเป็นพาดหัวตัวไม้ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
และนับจากวันนั้นมา ยุทธศาสตร์ปลุกผีความหวาดกลัวในคนเสื้อแดงก็ยิ่งโผล่ออกมาให้เห็นเป็นลำดับ
13 มิ.ย.นายสุเทพตอกย้ำประเด็นดังกล่าวอีกครั้งว่า “ผมเชื่อว่า คนกรุงเทพฯ จะไม่ลืมภาพเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองที่เป็นการกระทำของแกนนำคนเสื้อแดงและกองกำลังติดอาวุธที่มีความผูกพันกับพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน จึงเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ไม่เลือกพรรคเพื่อไทยแน่
และที่เด็ดที่สุดไม่แพ้กันก็คือ การสำแดงเดชของขุนคลังอย่าง “นายกรณ์ จาติกวณิช” ที่ลงทุนออกมาเตะตัดขาด้วยการอาศัยจังหวะที่ต่างชาติเทกระหนำขายหุ้นว่า เป็นเพราะต่างชาติมีความกังวลเรื่องการขึ้นมาเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย
“ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มสับสนและไม่มั่นใจเกี่ยวกับรัฐบาทที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ทำให้มีบทวิเคราะห์ออกมาในทำนองกังวลและแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพื่อลดความเสี่ยง เกิดจากเดิมทีเคยคาดการณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาเป็นรัฐบาลต่อ จะทำให้มีนโยบายที่ต่อเนื่องได้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจากสำนักต่างๆ ทำให้ความมั่นใจเดิมเริ่มสั่นคลอน”
“นักลงทุนไม่รู้ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร จากบทวิเคราะห์นักลงทุนหลายๆ ที่กังวลว่า หากไม่ใช่รัฐบาลชุดเดิม เป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่มี ส.ส.ในบัญชีรายชื่ออันดับต้นๆ เป็นแกนนำเสื้อแดงเข้ามาเป็นรัฐบาล การบริหารเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร”
นี่คือเกมที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเร่งพลิกยุทธศาสตร์โดยพร้อมเพรียงกัน
แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์หลงลืมไปก็คือ แท้ที่จริงแล้ว ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์มิได้เกิดขึ้นเพราะคนอื่น หากแต่เกิดขึ้นเพราะความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของพรรคประชาธิปัตย์เป็นสำคัญ