“อภิสิทธิ์” โอดครวญ 2 ปี ถูกกลั่นแกล้งตลอด อัด “นช.แม้ว” ตัวอันตรายใช้ ปชช.เป็นเครื่องมือ ชี้หากเสื้อแดง-แม้วต้องการแค่ยุบสภาไม่มุ่งล้างความผิด 91 คนจะไม่ตายแน่นอน ระบุช็อกคนตายเยอะทบทวนตัวเองหลายครั้ง แต่ ปชช.เข้าใจ ให้โอกาสบริหารประเทศต่อ เผยเตรียมพล่ามตอนต่อไป ตอกย้ำเสื้อแดงเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าปชช.
เมื่อเวลา 22.48 น.วันที่ 12 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เผยแพร่บทความ ผ่านเฟซบุ๊ก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ตอนที่ 3 โดยเล่าถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงบริหารประเทศ โดยเฉพาะเดือน เม.ย.-พ.ค. มีคนตาย 91 ศพว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวกพยายามใส่ร้ายว่ารัฐบาลฆ่าประชาชน ด้วยการตัดคลิปเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ จนเป็นคำพูด “ผมสั่งฆ่าประชาชน” เพื่อปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง ส่งผลให้คนเสื้อแดงฮึกเหิมใช้ความรุนแรงล้มการประชุมอา เซียนไล่ล่าผมที่กระทรวงมหาดไทย ก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ทั้งนี้แม้ตนจะอำนาจทางกฎหมายอยู่ในมือ แต่ได้ใช้ความอดทนอดกลั้น คลี่คลายปัญหาจนเหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยดี
นายอภิสิทธิ์บอกต่อว่าอันตรายอย่างยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้พี่น้องประชนที่ศรัทธาในตัวเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างโหดร้าย อะไรที่ได้ประโยชน์ถือว่าเป็นธรรม หากเสียประโยชน์จะกลายเป็นสองมาตรฐานทันที ดูได้จากกรณีศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ในข้อหาทุจริตเชิงนโยบาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์จากต่างประเทศโวยวาย อ้างศาลเป็นเครื่องมือทางการเมือง ถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์ แต่ไม่เคยพูดถึงวันที่ตัวเองชนะคดีซุกหุ้นซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเห็นต่างจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีการระดมมวลชนกดดัน สังคมให้ความเคารพคำตัดสินดังกล่าว และให้โอกาส พ.ต.ท.ทักษิณได้บริหารประเทศเป็นเวลานานกว่า5 ปี
“คำประกาศแดงทั้งแผ่นดิน การเทเลือดหน้าบ้าน ทำให้ผมเป็นห่วงชาติบ้านเมืองว่ากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นทะเลเลือดแดงฉานทั้งแผ่นดิน ผมได้หาทางประนีประนอม เจรจาแกนนำเสื้อแดง เสนอทางออกขอทำเศรษฐกิจให้มั่นคง และตกลงกติกาให้ชัดไม่ให้เป็นแบบอย่างให้เกิดการเรียกร้องโดยใช้มวลชนกดดัน แต่การเจรจาไร้ผล หากแกนนำคนเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ มีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภาไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้ จะไม่มีคนตาย 91 ศพ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
นายอภิสิทธิ์เขียนอีกว่า การปิดทั้งถนนราชดำเนิน สี่แยกราชประสงค์ ศาลได้ชี้ว่าเป็นการใช้สิทธิเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ เพิ่มความแตกแยก ท้าทายรัฐให้เข้าสลายด้วยการยิงปืน ยิง M 79 ในสถานที่ต่างๆ แต่เจ้าหน้าที่ได้ใช้ความอดทนมาโดยตลอด ในที่สุดวันที่ 10 เมษายน มีการขอคืนพื้นที่ ด้านเจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงหกโมงเย็นไม่มีการสูญเสีย พอเริ่มมืดก็เริ่มมีการเจรจาให้สองฝ่ายอยู่กับที่ แต่ไม่เป็นผลจนเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น มีชายชุดดำแฝงตัว ใช้คนเสื้อแดงที่บริสุทธิ์เป็นเกราะกำบังโจมตีทหารจนเกิดการสูญเสียชีวิต
ทั้งนี้ ตนติดตามเหตุการณ์ตลอดถึงกับช็อค คนไทยด้วยกันเองยังใช้ความรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ คืนวันนั้นจนถึงวันรุ่งขึ้นเป็นคืนที่ตนไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว เป็นวันที่สลดใจมากที่สุดตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี จนต้องพิจารณาทบทวนตัวเองหลายครั้ง จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่ด้วยสังคมรู้ว่าตนยึดหลักเจรจามาตลอด จนถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาด ประกอบกับคนเสื้อแดงมีอาวุธจริง อีกทั้งความสูญเสียไม่ได้เกิดจากรัฐ ทำให้สังคมให้โอกาสตนทำงานต่อ
“ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องคนไทย ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับประเทศและยังต้องร่วมฟันฝ่าเพื่อให้ความสูญเสียที่เกิดขึ้น” เป็นจุดต่ำสุดของวิกฤตการเมืองแล้ว และผมตั้งใจว่าเราจะก้าวพ้นความรุนแรงนี้ไปด้วยกัน กระนั้นก็ตามผมก็ยังมุ่งมั่นคิดถึงแผนปรองดองซึ่งผมจะเขียนถึงในตอนต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงว่าแกนนำเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม” นายอภิสิทธิ์เผยในเฟซบุ๊ก
ข้อความในเฟซบุ๊กฉบับเต็ม
เดิมทีตั้งใจจะเขียนเรื่องการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชัน แต่เมื่อมีความพยายามสร้างกระแสเกี่ยวกับเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.
2 ปีที่ผ่านมา โดยอ้างอิงถึงความสูญเสีย 91 ศพ (ซึ่งรวมทหาร-ตำรวจ ประชาชนที่เป็นเหยื่อ M 79 ที่ยิงออกมาจากที่ชุมนุมด้วย) ผมจึงต้องขอเสนอความจริงเรื่องนี้ก่อน
ทุกคนคงจำได้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงมีมาตั้งแต่ปี 2552 ที่มวลชนมาทุบรถผมที่พัทยา ล้มการประชุมอาเซียน ไล่ล่าผมที่กระทรวงมหาดไทยแล้วก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ผมมีหน้าที่รักษากฎหมาย ก็ได้คลี่คลายปัญหาด้วยความอดทนอดกลั้น
เราก็ผ่านเหตุการณ์มาได้โดยไม่มีการสูญเสีย ยกเว้นชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คนที่ตกเป็นเหยื่อของการชุมนุม ขณะที่ภาพลักษณ์เศรษฐกิจถูกซ้ำเติมอย่างรุนแรง
ในครั้งนั้นคุณทักษิณกับพวกพยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลฆ่าประชาชน ทั้งๆที่ไม่มีมูลความจริงลงทุนเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงผมจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ ร้อยเรียงคำพูดใหม่ให้กลายเป็นว่า “ผมสั่งฆ่าประชาชน” เพื่อปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง แต่เมื่อสังคมส่วนใหญ่รู้ความจริง จึงทำให้ประเด็นดังกล่าวจุดไม่ติด
ชนวนเหตุการณ์ปี 2553 เริ่มจากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์คุณทักษิณจากการทุจริตเชิงนโยบายจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท คุณทักษิณ วิดีโอลิงค์จากต่างประเทศทันทีที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาจบ มีเนื้อหาไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งคุณทักษิณใช้คำว่า “เป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม” ถึงขนาดกล่าวหาว่าศาลเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างวาทกรรมสองมาตรฐานปลุกปั่นพี่น้องเสื้อแดงให้เข้าใจว่าเขาถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์ แต่ไม่เคยพูดถึงวันที่ตัวเองชนะคดีซุกหุ้นซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเห็นต่างจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีการระดมมวลชนกดดันสังคมให้ความเคารพคำตัดสินดังกล่าวและให้โอกาสคุณทักษิณได้บริหารประเทศเป็นเวลานานกว่า5 ปี
เท่ากับว่าถ้าศาลตัดสินแล้วตัวเองได้ประโยชน์ถือว่าเป็นธรรม แต่ถ้าทำผิดหลักฐานมัดแน่นศาลตัดสินลงโทษกลายเป็นสองมาตรฐาน นี่คืออันตรายที่คุณทักษิณใช้พี่น้องประชนที่ศรัทธาคุณทักษิณด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างโหดร้าย
คุณทักษิณระบุในการวิดีโอลิงก์ครั้งนั้นว่า “วันนี้การเมืองตอนนี้ดุมาก ใจดำมาก แต่ขอผมเป็นเหยื่อการเมืองคนสุดท้าย ถ้าเมื่อไรประเทศได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง และมีระบบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม คงจะไม่มีเหยื่ออย่างผมอีกเพราะวันนี้ดุลทั้งหมดไปอยู่อำมาตย์ที่สามารถกดปุ่มสั่งการให้ระบบหนึ่ง มีอำนาจเหนืออีกระบบหนึ่งอย่างง่ายดาย”
ผมทราบทันทีว่าประเทศชาติกำลังตกอยู่ในอันตราย ประชาชนอยู่ในภาวะหวาดผวากลัวจะเกิดเหตุรุนแรง คำประกาศ “แดงทั้งแผ่นดิน” การเทเลือดหน้าบ้านทำให้ผมเป็นห่วงชาติบ้านเมืองว่ากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นทะเลเลือดแดงฉานทั้งแผ่นดิน
ผมพยายามอย่างที่สุดในการประนีประนอมบนหลักกฎหมายและความถูกต้อง พวกเขาเรียกร้องให้ผมยุบสภาทันที ผมก็ไปนั่งเจรจาคุยกับแกนนำเสื้อแดงสองวัน 6 ชั่วโมง เสนอทางออกด้วยการยุบสภาในช่วงปลายปี ไม่ใช่เพราะต้องการถ่วงเวลาอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดแต่ต้องการให้เศรษฐกิจมั่นคง การเมืองมาตกลงเรื่องกติกาให้ชัดและไม่ให้เป็นแบบอย่างให้เกิดการเรียกร้องโดยใช้มวลชนกดดันไม่จบไม่สิ้น
อย่างไรก็ตาม การเจรจาไร้ผล เพราะมีคนวางแผนเป็นขั้นตอนที่จะยัดเยียดให้ผมเป็น “ฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน” จึงไม่ยอมรับในวิธีการแก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมืองอย่างสันติ ซึ่งหากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภาไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้ คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ต่อมาคนเหล่านี้ ผยธาตุแท้ตัวเองให้เห็น ภายหลังผ่านเหตุการณ์ไทยวิปโยคว่า ให้รัฐบาลอยู่ครบเทอมไปเลย ทั้งๆ ที่ในช่วงเหตุการณ์ เมษายน-พฤษภาคม 2553 เรียกร้องเอาเป็นเอาตายว่าต้องยุบสภาทันที จนเกิดเหตุสูญเสียขึ้นในที่สุด
ความแตกต่างในการเคลื่อนไหวปี 2553 คือการเก็บเกี่ยวบทเรียนจากปี 2552 ที่การยั่วยุไม่ประสบความสำเร็จ มาคราวนี้ปิดจุดอ่อนคราวที่แล้ว ด้วยการเพิ่มกองกำลังติดอาวุธซึ่งคนที่ยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่มีแค่นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เพียงคนเดียว แต่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงก็เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนในทำนองเดียวกัน และก่อนเกิดเหตุรุนแรง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ประสานเสียงกับเสธ.แดงหลังพบคุณทักษิณที่ดูไบว่า จะมีการตั้งกองทัพประชาชน ซึ่งสื่อมวลชนเรียกขานว่า “กองทัพแดง”
เมื่อถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง ก็ทำให้ พล.อ.พัลลภยุติบทบาทไป การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ปิดทั้งถนนราชดำเนิน สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งศาลได้ชี้ว่าเป็นการใช้สิทธิเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ นอกจากจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเพิ่มความแตกแยกและแรงกดดันต่อรัฐบาลให้เข้าสลายการชุมนุมอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการยั่วยุด้วยการยิง M 79 ในสถานที่ต่างๆ และมีการเคลื่อนมวลชนไปหลายสถานที่ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมาก และยังมีการใช้มวลชนกดดันทหารที่อยู่ในที่ตั้ง ฮึกเหิมถึงขนาดประกาศไปยึดสถานีไทยคม
ตลอดเวลาเจ้าหน้าที่แสดงความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด มิฉะนั้นคงเกิดเหตุแบบที่เราเห็นอยู่ที่ตะวันออกกลาง และในวันที่ 10 เมษายน เมื่อมีการขอคืนพื้นที่ เจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงหกโมงเย็นไม่มีการสูญเสีย เมื่อเริ่มมืดก็เริ่มมีการเจรจาให้สองฝ่ายอยู่กับที่แต่ไม่เป็นผล จึงมีการสั่งการให้ถอนกำลังกลับ
จากนั้นสงครามเต็มรูปแบบก็เกิดขึ้นที่สี่แยกคอกวัว หลังคำประกาศบนเวทีราชประสงค์ของนายอริสมันต์ ไม่นาน มีชายชุดดำแฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุมใช้คนเสื้อแดงที่บริสุทธิ์เป็นเกราะกำบังโจมตีทหารจนเกิดการสูญเสียชีวิตทั้งทหารและประชาชน
ขณะที่ผมและผู้นำเหล่าทัพกับบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อยู่ในอาการช็อค กับการใช้ความรุนแรงกับคนไทยด้วยกันเองได้ถึงขนาดนี้ แต่บนเวทีกลับนำศพไปปลุกระดมให้ประชาชนเกิดความโกรธแค้นมากขึ้น พร้อมยื่นคำขาดให้ผมเดินทางออกนอกประเทศ
เมื่อมีการต่อสายระหว่างนักการเมืองผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายผู้ชุมนุมอ้างว่าไม่เกี่ยวกับผู้ใช้อาวุธ และบอกให้เจ้าหน้าที่จัดการกับคนกลุ่มนั้นได้ตามใจชอบ แต่เจ้าหน้าที่ขณะนั้นใช้กำลังเพียงแค่ปกป้องตนเอง และคุ้มครองการลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากสถานการณ์เลวร้ายดังกล่าว
คืนวันนั้นจนถึงวันรุ่งขึ้นเป็นคืนที่ผมไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว เป็นวันที่ผมสลดใจมากที่สุดในช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากการกดดันของผู้ชุมนุมและฝ่ายการเมืองรอบทิศ ผมต้องพิจารณาทบทวนตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะได้เกิดความสูญเสียขึ้น แต่เพราะความเข้มแข็งของสังคมไทยที่รับทราบข้อเท็จจริงว่า ความสูญเสียไม่ได้เกิดจากการก่ออาชญากรรมโดยรัฐ เพราะผมแสดงให้เห็นมาโดยตลอดที่จะใช้การเจรจาแก้ปัญหา จนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้ขลาดกลัวคนเสื้อแดง อีกทั้งยังปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีกองกำลังติดอาวุธจริงในกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้สังคมให้โอกาสผมทำงานต่อ
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องคนไทยในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับประเทศ และยังต้องร่วมฟันฝ่าเพื่อให้ความสูญเสียที่เกิดขึ้น “เป็นจุดต่ำสุดของวิกฤตการเมืองแล้วและผมตั้งใจว่าเราจะก้าวพ้นความรุนแรงนี้ไปด้วยกัน” กระนั้นก็ตามผมก็ยังมุ่งมั่นคิดถึงแผนปรองดอง ซึ่งผมจะเขียนถึงในตอนต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงว่า แกนนำเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”