“การเมืองไทย” กำลังเดินหน้าและก็ถอยหลัง ตามสภาพเดิมๆ ที่ปรากฏมาในอดีตและแม้กระทั่งปัจจุบัน เนื่องด้วย “โครงสร้างอำนาจ” ทาง “การเมือง-การปกครอง-การบริหาร” นั้น มีโครงสร้างและระบบที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก ซึ่งในอดีตเราคงไม่ได้นึกถึงความสลับซับซ้อนมากนัก จนในที่สุด เมื่อปี พ.ศ.2544-2549 เกิด “ระบอบทักษิณ” ขึ้น การจัดโครงสร้างและระบบจึงเริ่ม “ก่อตัว” และ “เขม็งเกลียว” กันใหม่หมด!
พูดภาษาชาวบ้านก็หมายความว่า “การเมือง-การปกครอง” ของไทยเรานั้น ดำเนินมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง โดยมีกระบวนการที่ล้มลุกคลุกคลาน ไม่ว่าจะเป็น “การยึดอำนาจ” มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว เสร็จแล้วมีการร่างรัฐธรรมนูญ ประกาศให้มีการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย จริงเท็จอย่างไรนั้น “ความเข้มข้น” ของ “ธุรกิจการเมือง” ไม่ค่อยมากมายซักเท่าใด จนมาถึงยุคที่มีการดำเนินธุรกิจการเมืองหนักข้อยิ่งขึ้น น่าจะเป็นยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา และแล้วก็ถูก “ยึดอำนาจ-รัฐประหาร” โดยทางกองทัพบกเดินเข้าสู่ “สนามการเมือง” ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
กระบวนการข้างต้นนั้นเป็น “วงจรอุบาทว์ (Vicious Circle)” ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากในอดีต โดยส่วนใหญ่เกิดกับกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทั่วโลก แต่บ้านเมืองเรานั้นเกิดประมาณ 17-18 ครั้ง ที่มีการเปลี่ยนแปลง “อำนาจทางการเมือง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอดีตนั้น เป็นการเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองของ “กลุ่มบุคคลทหาร” แต่ต่อมาเกิด “สภาวะทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง” อย่างน่าเกลียด โดย “นักธุรกิจการเมือง” เป็นผู้กระทำ จนทหารต้องเข้ามายึดอำนาจในที่สุด
“ความสลับซับซ้อน” ใน “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” นั้น ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นวันที่ประชาชนต่างออกมาแซ่ซ้องและมอบดอกไม้ให้แก่กองทัพอย่างถ้วนหน้า เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากข้อมูลทางกระบวนการยุติธรรมบางส่วนพิสูจน์ว่า คุณทักษิณนั้น “ลุแก่อำนาจ” จนคิดว่าตนเองคือ “พระเจ้า” และ/หรือ “ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด!” ในชาติบ้านเมือง จนเกิด “ระบอบทักษิณ” ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าวันเวลาจะผ่านพ้นมานับ 4 ปีกว่าเกือบจะ 5 ปีแล้ว “ระบอบทักษิณ” ยังคงอาละวาดอยู่ จนก่อให้เกิด “ขบวนการแดง” ที่น่าเชื่อว่ามีการจัดตั้ง พร้อมจัดรูปแบบให้เสมือนว่าเป็น “กองทัพประชาชน” โดยจัดแบ่ง “ภาคการเมือง” ด้วยการประกาศชัดแจ้งว่าอยู่เบื้องหลัง “พรรคเพื่อไทย” ด้วยต้องเรียนตามตรงว่า น่าจะเรียกขานว่า “พรรคชินวัตร” หลังจากประกาศศึกครั้งล่าสุด ด้วยการส่งน้องสาวสุดที่รัก คุณยิ่งลักษณ์ เป็นอันดับหนึ่งใน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
ต่อมาได้มีการจัดทัพสองด้วยการอยู่เบื้องหลัง “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” โดยใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ทั้งนี้ นปช.บวกกับเสื้อแดงที่สยายปีกสู่ “กองทัพแดง” ที่มีการนัดชุมนุมอยู่บ่อยครั้ง และแน่นอนต้องขอย้ำว่า คุณทักษิณ “โฟนอิน-วิดีโอลิงก์” บ่อยครั้ง จนใครๆ ต่างตระหนักดีว่า คุณทักษิณอยู่เบื้องหลัง ทั้ง “นปช.-กองทัพแดง”
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา “กิจกรรมการเมือง” ที่ทั้งสามส่วนของคุณทักษิณ กล่าวคือ “พรรคเพื่อไทย-นปช.-กองทัพแดง” ที่คุณทักษิณสนับสนุนเงินทุนก้อนโตนั้น ทุกฝ่ายตระหนักกรณีนี้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ “เพียรพยายาม” ที่จ้องจาบจ้วง “สถาบันเบื้องบน” อยู่ตลอดเวลา ทั้งลับหลังและเปิดเผย
จากกรณีข้างต้น ต้องกล่าวว่า “โครงสร้างและระบบการเมืองการปกครอง” ที่มิได้ “กระชับพื้นที่” โดยกลุ่มสนับสนุนหลักคือ “กองทัพ” ต้องหวนคิดถึงว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ต้อง “กระชับพื้นที่” ใหม่หมด เริ่มตั้งแต่ “ความสัมพันธ์ที่ต้องเริ่มใหม่” กับกระบวนการ “บน-ล่าง”
ซึ่งหมายถึง “การย้อน” สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง “สถาบันบน” กับ “ภาคประชาชน” เพื่อก่อให้เกิดความลึกซึ้ง และไม่สำคัญเท่ากับว่า “สถาบัน” นั้น ไม่เคยลืมประชาชนแต่ประการใด
ทั้งนี้ “ภาคประชาชน” วันนี้ “ตื่นตัว!” อย่างมาก เพราะสาเหตุสำคัญคือ “ยุคสังคมสารสนเทศ” ที่ข้อมูลข่าวสารกระจายได้ทั่วไปหมด จนไม่มีใครจะสกัดกั้นได้ จนก่อให้เกิด “การเมืองภาคประชาชน” ที่มีการจัดตั้ง มีการสนับสนุนสารพัดปัจจัย โดยเฉพาะ “งบประมาณ” ที่มากมายมหาศาล จนสามารถระดมสรรพกำลังได้ด้วยนับหลายหมื่นคนทีเดียว
แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า “การลาออก” ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” นั้น ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ไม่อยากเสียตัวตอนแก่” เพราะอายุน่าจะ 80 กว่าๆ ด้วยการประสานงานจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่า “3 ส่วน” ของคุณทักษิณนั้น กำลังห่ำหั่นกับสถาบัน แต่ที่สำคัญต่อมาคือ การที่ไม่สามารถให้พรรคก้าวข้าม “ระบอบทักษิณ” ได้ ที่คุณทักษิณประกาศชัดเจนกับทุกนโยบาย แม้กระทั่ง การจัดอันดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
การลาออกของ “พ่อใหญ่จิ๋ว” น่าจะเป็นการเอาเครดิตของพล.อ.ชวลิต เองบวกกับ “การไม่ให้ราคา” ของคุณทักษิณ ที่มีต่อพล.อ.ชวลิต จึงนำเสนอตนเองใหม่กับสังคม ทั้งนี้ ไม่ว่าในกรณีใดนั้น พล.อ.ชวลิต งานนี้เรียกว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!”
เพราะฉะนั้น “การเมืองการปกครองไทย” วันนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะไม่มีทางเห็นคุณทักษิณและคณะได้กลับมา “ลุแก่อำนาจ” ดังเดิมแน่นอน โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอีกภายใน 2 เดือนกว่าๆ นี้
ถ้าใครไม่เชื่อก็ค่อยพิสูจน์กัน!
พูดภาษาชาวบ้านก็หมายความว่า “การเมือง-การปกครอง” ของไทยเรานั้น ดำเนินมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง โดยมีกระบวนการที่ล้มลุกคลุกคลาน ไม่ว่าจะเป็น “การยึดอำนาจ” มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว เสร็จแล้วมีการร่างรัฐธรรมนูญ ประกาศให้มีการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย จริงเท็จอย่างไรนั้น “ความเข้มข้น” ของ “ธุรกิจการเมือง” ไม่ค่อยมากมายซักเท่าใด จนมาถึงยุคที่มีการดำเนินธุรกิจการเมืองหนักข้อยิ่งขึ้น น่าจะเป็นยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา และแล้วก็ถูก “ยึดอำนาจ-รัฐประหาร” โดยทางกองทัพบกเดินเข้าสู่ “สนามการเมือง” ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
กระบวนการข้างต้นนั้นเป็น “วงจรอุบาทว์ (Vicious Circle)” ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากในอดีต โดยส่วนใหญ่เกิดกับกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทั่วโลก แต่บ้านเมืองเรานั้นเกิดประมาณ 17-18 ครั้ง ที่มีการเปลี่ยนแปลง “อำนาจทางการเมือง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอดีตนั้น เป็นการเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองของ “กลุ่มบุคคลทหาร” แต่ต่อมาเกิด “สภาวะทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง” อย่างน่าเกลียด โดย “นักธุรกิจการเมือง” เป็นผู้กระทำ จนทหารต้องเข้ามายึดอำนาจในที่สุด
“ความสลับซับซ้อน” ใน “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” นั้น ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นวันที่ประชาชนต่างออกมาแซ่ซ้องและมอบดอกไม้ให้แก่กองทัพอย่างถ้วนหน้า เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากข้อมูลทางกระบวนการยุติธรรมบางส่วนพิสูจน์ว่า คุณทักษิณนั้น “ลุแก่อำนาจ” จนคิดว่าตนเองคือ “พระเจ้า” และ/หรือ “ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด!” ในชาติบ้านเมือง จนเกิด “ระบอบทักษิณ” ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าวันเวลาจะผ่านพ้นมานับ 4 ปีกว่าเกือบจะ 5 ปีแล้ว “ระบอบทักษิณ” ยังคงอาละวาดอยู่ จนก่อให้เกิด “ขบวนการแดง” ที่น่าเชื่อว่ามีการจัดตั้ง พร้อมจัดรูปแบบให้เสมือนว่าเป็น “กองทัพประชาชน” โดยจัดแบ่ง “ภาคการเมือง” ด้วยการประกาศชัดแจ้งว่าอยู่เบื้องหลัง “พรรคเพื่อไทย” ด้วยต้องเรียนตามตรงว่า น่าจะเรียกขานว่า “พรรคชินวัตร” หลังจากประกาศศึกครั้งล่าสุด ด้วยการส่งน้องสาวสุดที่รัก คุณยิ่งลักษณ์ เป็นอันดับหนึ่งใน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
ต่อมาได้มีการจัดทัพสองด้วยการอยู่เบื้องหลัง “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” โดยใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ทั้งนี้ นปช.บวกกับเสื้อแดงที่สยายปีกสู่ “กองทัพแดง” ที่มีการนัดชุมนุมอยู่บ่อยครั้ง และแน่นอนต้องขอย้ำว่า คุณทักษิณ “โฟนอิน-วิดีโอลิงก์” บ่อยครั้ง จนใครๆ ต่างตระหนักดีว่า คุณทักษิณอยู่เบื้องหลัง ทั้ง “นปช.-กองทัพแดง”
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา “กิจกรรมการเมือง” ที่ทั้งสามส่วนของคุณทักษิณ กล่าวคือ “พรรคเพื่อไทย-นปช.-กองทัพแดง” ที่คุณทักษิณสนับสนุนเงินทุนก้อนโตนั้น ทุกฝ่ายตระหนักกรณีนี้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ “เพียรพยายาม” ที่จ้องจาบจ้วง “สถาบันเบื้องบน” อยู่ตลอดเวลา ทั้งลับหลังและเปิดเผย
จากกรณีข้างต้น ต้องกล่าวว่า “โครงสร้างและระบบการเมืองการปกครอง” ที่มิได้ “กระชับพื้นที่” โดยกลุ่มสนับสนุนหลักคือ “กองทัพ” ต้องหวนคิดถึงว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ต้อง “กระชับพื้นที่” ใหม่หมด เริ่มตั้งแต่ “ความสัมพันธ์ที่ต้องเริ่มใหม่” กับกระบวนการ “บน-ล่าง”
ซึ่งหมายถึง “การย้อน” สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง “สถาบันบน” กับ “ภาคประชาชน” เพื่อก่อให้เกิดความลึกซึ้ง และไม่สำคัญเท่ากับว่า “สถาบัน” นั้น ไม่เคยลืมประชาชนแต่ประการใด
ทั้งนี้ “ภาคประชาชน” วันนี้ “ตื่นตัว!” อย่างมาก เพราะสาเหตุสำคัญคือ “ยุคสังคมสารสนเทศ” ที่ข้อมูลข่าวสารกระจายได้ทั่วไปหมด จนไม่มีใครจะสกัดกั้นได้ จนก่อให้เกิด “การเมืองภาคประชาชน” ที่มีการจัดตั้ง มีการสนับสนุนสารพัดปัจจัย โดยเฉพาะ “งบประมาณ” ที่มากมายมหาศาล จนสามารถระดมสรรพกำลังได้ด้วยนับหลายหมื่นคนทีเดียว
แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า “การลาออก” ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” นั้น ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ไม่อยากเสียตัวตอนแก่” เพราะอายุน่าจะ 80 กว่าๆ ด้วยการประสานงานจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่า “3 ส่วน” ของคุณทักษิณนั้น กำลังห่ำหั่นกับสถาบัน แต่ที่สำคัญต่อมาคือ การที่ไม่สามารถให้พรรคก้าวข้าม “ระบอบทักษิณ” ได้ ที่คุณทักษิณประกาศชัดเจนกับทุกนโยบาย แม้กระทั่ง การจัดอันดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
การลาออกของ “พ่อใหญ่จิ๋ว” น่าจะเป็นการเอาเครดิตของพล.อ.ชวลิต เองบวกกับ “การไม่ให้ราคา” ของคุณทักษิณ ที่มีต่อพล.อ.ชวลิต จึงนำเสนอตนเองใหม่กับสังคม ทั้งนี้ ไม่ว่าในกรณีใดนั้น พล.อ.ชวลิต งานนี้เรียกว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!”
เพราะฉะนั้น “การเมืองการปกครองไทย” วันนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะไม่มีทางเห็นคุณทักษิณและคณะได้กลับมา “ลุแก่อำนาจ” ดังเดิมแน่นอน โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอีกภายใน 2 เดือนกว่าๆ นี้
ถ้าใครไม่เชื่อก็ค่อยพิสูจน์กัน!