xs
xsm
sm
md
lg

การรักษาโรคเรื้อนทางการเมือง

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร


วิกฤตการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับอาการเจ็บป่วยของคนเรา ก็ถือได้ว่าอยู่ในขั้นโคม่าอันตราย ซึ่งหากไม่ได้รับการเยียวยารักษาอย่างถูกวิธีและทันการณ์ ก็อาจถึงกาลสิ้นชีพอวสานได้อย่างง่ายๆ

แนวความคิดฟากฝั่งอนุรักษนิยม และฝ่ายนักการเมืองอาชีพ ที่ประสานเสียงกันว่า เมื่อการเมืองมีปัญหา ก็ต้องกลับไปสู่การตัดสินของประชาชนด้วยการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับเสียงเรียกร้องเซ็งแซ่ของฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยืนกรานว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายต้องเคารพต่อสิทธิเสียงการลงคะแนนเลือกตั้งของประชาชน พรรคการเมืองใดได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากก็ต้องได้รับสิทธิจัดตั้งรัฐบาล และทุกฝ่ายต้องอดทนให้เวลารัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินจนครบวาระ หากรัฐบาลบริหารไม่ดี ประชาชนก็จะเป็นผู้ตัดสินด้วยการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ฟังดูคุ้นๆ หูอยู่นะครับ เพราะฝ่ายการเมืองที่เป็นรัฐบาลฉ้อฉลคอร์รัปชันถูกจับได้ไล่ทัน แล้วถูกมวลชนออกมาประท้วงขับไล่ ก็มักจะใช้วาทกรรมนี้ตอบโต้แก้เกี้ยวเสมอว่า ถ้ารัฐบาลไม่ดีจริง ก็ปล่อยให้ประชาชนตัดสินด้วยการไม่เลือกในครั้งต่อไป จะมาใช้กฎหมู่ขับไล่อย่างไม่เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไรกัน หรือบ่อยครั้งก็มักจะท้าทายฝ่ายที่ออกมาคัดค้านเปิดโปงว่า ให้มาลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกัน ให้ประชาชนตัดสินให้รู้ดีรู้ชั่วกันไปเลย

ซึ่งตรรกะนี้เอง ที่ฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงที่จงรักภักดีต่อ ทักษิณ ชินวัตร มักจะใช้เป็นข้ออ้างในเวทีการชุมนุมต่อสู้เพื่อเชิดชูอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้โดยยึดถือว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์แห่งระบอบประชาธิปไตย เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ถูกยึดอำนาจโดยการรัฐประหารอย่างไม่เป็นธรรม

นักวิชาการนิยมแดงจำนวนหนึ่ง ก็แสดงจุดยืนเคียงข้างฝ่ายทักษิณ ชินวัตร อย่างเหนียวแน่น โดยยึดตรรกะเฉพาะด้านเดียวกันนี้ อย่างละเลยที่จะวิพากษ์ถึงแก่นแท้และพฤติกรรมการบริหารอำนาจรัฐในห้วงเวลาที่ทักษิณ ชินวัตร ครองอำนาจ ว่าได้กระทำการปู้ยี่ปู้ยำต่อรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งการฉ้อราษฎร์บังหลวงกันอย่างโจ๋งครึ่มมโหระทึกอย่างไร

การยืนกรานที่จะพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตยแต่เพียงรูปแบบ โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาและแก่นแท้ของระบอบประชาธิปไตย ทำให้นักวิชาการนิยมแดงและกลุ่มคนเสื้อแดง ยังหลงใหลได้ปลื้มกับการเลือกตั้งว่าเป็นคำตอบเดียว ที่จะธำรงรักษาระบบ ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจทุกคนว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกครั้งที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่ฉ้อฉลคดโกง ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ใช้ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังด้อยโอกาสทางการศึกษา เป็นฐานคะแนนเสียงโดยใช้ระบบอุปถัมภ์ทั้งทางการเงิน และอิทธิพลทางสังคม

ผู้สมัครรับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนปวงชน ถูกจำกัดอยู่ในแวดวงจำเพาะสำหรับนักเลือกตั้งอาชีพ และกลุ่มก๊วนการเมือง ที่ต้องใช้เงินทองมากมายมหาศาลในการลงทุนสำหรับการเลือกตั้ง จนคนดีมีความสามารถที่ไร้สังกัดก๊วนการเมือง ไม่มีทางที่จะเสนอตัวเป็นผู้แทนปวงชนได้
ข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่นี้ คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังสะสมของประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านาน เป็นวงจรอุบาทว์ที่วนเวียนอยู่กับการเลือกตั้ง การได้รัฐบาล และสมาชิกรัฐสภาที่คดโกงไม่ซื่อตรงต่อบ้านเมือง แล้วก็เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจ การร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ ไปสู่การเลือกตั้งแบบเดิมๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งยากจนลง แต่ผู้แทนปวงชนร่ำรวยขึ้น ถึงร่ำรวยมหาศาล

การแก้ไขวิกฤตการณ์การเมืองไทย จึงมาถึงขั้นที่คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เริ่มตระหนักรู้ว่า การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบ และไม่ใช่ทางออกในการแก้ไขปัญหาอย่างมักง่ายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ปัญหาที่ต้องช่วยกันขบคิดก็คือ จะมีวิธีการเว้นวรรคไม่ให้มีการเลือกตั้งได้อย่างไร โดยไม่ใช้วิธีการรัฐประหารยึดอำนาจ ซึ่งไม่เป็นที่พึงประสงค์ของทุกฝ่าย เพราะการรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมาได้พิสูจน์ชัดแล้วว่า ไม่เคยเข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้เลย มิหนำซ้ำกลับสร้างปัญหาพอกพูนมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป

ขณะนี้มีแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การใช้หลักราชประชาสมาสัย ซึ่งอาจารย์ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นำเสนอมาอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่า ราชประชาสมาสัย คือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ประเทศไทยดูเสมือนหนึ่งว่าเคยมี หรือเกือบมี แต่แท้ที่จริงไม่เคยมีเลย

อาจารย์ปราโมทย์ เสนอแนะให้นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ จงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว และทูลถามพระองค์ท่านว่า "โรคเรื้อนทางการเมือง หรือนักการเมืองโรคเรื้อนที่มีอยู่ไม่ถึงพันคน ที่พากันรับใช้ผู้นำการเมืองมะเร็งที่มีอยู่ไม่กี่ตัว จะรักษาโดย ราชประชาสมาสัย ได้หรือไม่?”

อาจารย์ปราโมทย์ ยืนยันว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว ทุกท่านจะได้พบคำตอบว่า ราชประชาสมาสัย คือ ทางออกสุดท้ายที่จะคลี่คลายปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ ได้อย่างแน่นอน

ดูๆ ไปแล้ว แนวทางการร่วมกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่ร้อนระอุอยู่ในขณะนี้จึงมีเพียงสองแนวทาง คือ การเว้นวรรคทางการเมือง และใช้หลักราชประชาสมาสัย จัดการปฏิวัติปฏิรูปองคาพยพทางการเมือง ให้เป็นประชาธิปไตยที่รับใช้ผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง

กับอีกวิธีการหนึ่ง เมื่อจำเป็นต้องไปเลือกตั้ง เพราะต้านทานกระแสฝ่ายการเมืองที่ต้องการเลือกตั้งไม่ไหว ก็ขอให้รวมพลังกันเข้าคูหากาช่อง “ไม่ประสงค์จะเลือก” ซึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับพลังเงียบเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะถ้าพลังเสียง Vote No ไม่ท่วมท้นจริง ก็อาจทำได้เพียงเขี่ยพรรคประชาธิปัตย์ออกไป แต่ได้พรรคทักษิณมาแทนที่ เพื่อนิรโทษกรรมให้ระบอบทักษิณกลับมาครอบครองอำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น