ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้การยุบสภาและการเลือกตั้งจะยังไม่มาถึงดังที่ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศเอาไว้ และยังไม่มีใครคาดคะเนได้ว่า พรรคไหนจะได้คะแนนเสียงสูงสุด และใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่สังคมก็สามารถจินตนาการถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายของรัฐบาลชุดถัดไปได้เป็นอย่างดี
เพราะตัวละครทางการเมืองก็ยังคงวนเวียนอยู่กับคนหน้าเดิมๆ จากพรรคเดิมๆ และมีสันดานทางการเมืองเหมือนเดิมคือ เข้ามาทำการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง
ไม่ต่างอะไรกับ “แก๊งอั้งยี่” หรือ “แก๊งยากูซ่า” เลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ ภายหลังการเลือกตั้งความจริงที่ประชาชนคนไทยทั้งที่มีสิทธิและไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งไม่อาจหลีกหนีไปได้ก็คือ การกลับเข้ามาของนักการเมืองหน้าเดิมๆ เพราะความเป็นไปได้ของการจัดตั้งรัฐบาลมีสูตรการผสมพันธุ์ไม่มากนัก
ถ้าประชาธิปัตย์ชนะ หรือไม่ชนะแต่สามารถผสมพันธุ์กันอย่างเหนียวแน่นกับพรรคร่วมเดิม ประเทศไทยก็จะมีนายกรัฐมนตรีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต่อไป พร้อมกับรัฐมนตรีหน้าตาเดิมๆ อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายโสภณ ซารัมย์ นางพรทิวา นาคาศัย และพลาดไม่ได้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมทั้งวอลเปเปอร์ผู้ทรงบารมีอย่างนายศิริโชค โสภา
แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ ประเทศไทยก็อาจจะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีสำรองที่ชื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ พร้อมกับรัฐมนตรีขวัญใจคนเสื้อแดงอย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล พ.อ.อภิวันทน์ วิริยะชัย
ขณะที่หันไปมองบรรดาพรรคที่อ้างว่าเป็นทางเลือกก็เข้าอีหร็อบเดียวกันคือ ล้วนแล้วแต่เป็นบรรดาเสือโหยและเสือหิวที่เข้ามากอบโกยในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อแผ่นดินที่มีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรืองเป็นหัวหน้าพรรค กลุ่ม 3 พีที่ประกอบไปด้วย ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี นายพินิจ จารุสมบัติและนายปรีชา เลาหพงษ์ชนะ พรรครวมชาติพัฒนาของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กลุ่มมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หรือกลุ่มวังน้ำเย็นของนายเสนาะเทียนทอง
นี่คือความจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้
และการเข้ามาของบรรดา ฯพณฯ ส.ส.ก็มิแคล้วที่จะต้องอาศัย “เงิน” เป็นใบเบิกทาง ดังนั้น จะเห็นได้ว่า พรรคไหนที่สั่งสมกระสุนดินดำมากก็จะมีบรรดานักลากตั้งแห่กันเข้าไปสมัครเป็นสมาชิก หรือคนไทยที่มีวี่แววที่จะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาก็จะพรรคการเมืองเงินถุงเงินหนักควักกระเป๋าซื้อตัวให้เข้ามาร่วมสังกัดด้วยเงินหลัก 30-50 ล้าน
ดังนั้น การสั่งสอนนักลากตั้งเหล่านี้ให้รู้สำนึกเสียบ้างจึงกำลังกลายเป็นกระแสที่มาแรงยิ่ง
ทางหนึ่งเริ่มมีผู้คนจำนวนไม่น้อยคิดถึง “การปฏิเสธการเลือกตั้ง” เพราะไม่เห็นทางออกของระบบการเลือกตั้งที่ได้มาซึ่งนักการเมืองสายพันธุ์เดิม หรือที่มีคำจำกัดความอย่างสั้นๆ ว่า การเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของประเทศ จนบรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายต่างร้อนตัวและออกมาปฏิเสธเรื่องการรัฐประหารกันแทบไม่เว้นแต่ละวัน พร้อมยืนยันว่า จะมีการยุบสภาอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่ยืนยันว่า จะไม่มีการรัฐประหารก่อนการยุบสภา หรือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ระบุว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงเร็วๆ นี้ว่าจะทำให้ไทยมีความมั่นคงทางการเมือง และมั่นใจว่า เมื่อคนไทยได้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามแนวทางประชาธิปไตย การเมืองไทยจะมีความเข้มแข็งมากขึ้น
แต่อีกกระแสหนึ่งที่ดูเหมือนจะมาแรงและมีความเป็นไปได้มากกว่าการรัฐประหาร เพราะเป็นหนทางที่ยังต้องเสี่ยงดวงและทุกครั้งที่ผ่านมา การรัฐประหารที่เกิดขึ้นก็มิได้ทำเพื่อให้สังคมไทยดีขึ้นประการใด ก็คือการไปลงคะแนนเสียง แต่ใช้สิทธิในช่อง VOTE NO เพื่อสั่งสอนให้นักเลือกตั้งได้รู้ว่า พวกเขาไม่เป็นที่ต้องการของประชาชนอีกต่อไป
ดังเช่นที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้เหตุผลเอาไว้ว่า “เมืองไทยต้องการผู้นำที่จะมาแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทั่วโลก และทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เงินทุกบาททุกสตางค์จะต้องลงสู่ประชาชน ทำให้ประเทศน้ำไม่ท่วม พืชผลออกมามาก กำหนดทิศทางไปสู่การเกษตร ไม่ใช่อุตสาหกรรม เมืองไทยทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้ามีนักการเมืองแบบนี้อยู่ เพราะฉะนั้นการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าต้องโหวตโน คือไม่เลือกพรรคไหน เพื่อประท้วงนักการเมือง ให้โหวตโนทุกพรรค ไม่ว่าพรรคไหน วันนี้สังคมไทย ถูกนายทุนครอบงำหมด พวกเราต้องรับใช้นายทุน แล้วนายทุนก็ไปครอบงำรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง นั่นคือคณาธิปไตย เป็นการเมืองของหมู่คณะ คนจะเล่นการเมืองต้องมีพรรค และทุกคนต้องสังกัดพรรคเหมือนบริษัท ซึ่งจะทำให้สามารถใช้เงินซื้อได้ง่าย กลายเป็นธนาธิปไตย คือเอาเงินมาครอบ และก็จะจบลงด้วยโจราธิปไตย คือการเมืองของพวกโจร”
หรือดังเช่นที่ “ดร.ลิขิต ธีรเวคิน” ราชบัณฑิตกล่าวเอาไว้ในการเสวนาเรื่อง “เลือกตั้งมี-ไม่มี” และการ “ปิดเทอม 3 ปี”ว่า “เราต้องตั้งคำถามว่า ถ้าเราเลือกตั้งรัฐบาลซ้ำๆ บริหารส่งเดช โกงกิน ถึงจุดๆ หนึ่งตั้งคำถามได้ว่า ระบบอย่างนี้จะไหวหรือ ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 มีคำถาม 5 ข้อ การเลือกตั้งมีการซื้อเสียง หลังเลือกตั้งมีรัฐบาลแทรกแซงข้าราชการประจำ มีการแบ่งตำแหน่งรัฐมนตรีเหมือนแบ่งเค้ก งบประมาณแผ่นดินมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง โปรเจกต์หมื่นแสนล้านมีคิดแบ็ค(ค่าคอมมิชชัน) กลับมาจึงมีการปฏิรูปการเมือง แต่ปัจจุบันมีคำถามใหม่ว่า ไปรอดหรือไม่ ผมว่ามันไปไม่รอด เลือกตั้งแล้วก็ไปไม่รอด”
และตอกย้ำให้เห็นกันชัดๆ กับผลโพลของทุกสำนักที่มีคำตอบตรงกันว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีความรุนแรงใน 2 เรื่องด้วยการคือ หนึ่ง-ความรุนแรงในการใช้เงินในการเลือกตั้ง และสอง-ความรุนแรงในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นคุณภาพของนักการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศชาติได้เป็นอย่างดีว่ามีหน้าตาอย่างไร
ทั้งนี้ ถ้าหากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเลือกตั้งในอดีตก็จะพบว่า ประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งเคยสั่งสอนนักการเมืองมาแล้ว นั่นคือการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ที่มีคนไปกาในช่อง VOTE NO มากถึง 10 ล้านเสียง จากผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 28 ล้านเสียง
โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มี ส.ส.ได้ 36 คน ซึ่งพรรคไทยรักไทยที่มี นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคชนะการเลือกตั้งทั้ง 36 เขต แต่ปรากฏว่ามีเพียง 9 เขตเท่านั้นที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนสูงกว่าคะแนน VOTE NO
เป็นการ VOTE NO เพื่อสั่งสอน นช.ทักษิณที่ยุบสภาหนีปัญหาและจัดให้มีการเลือกตั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
คราวนี้ กระแสการ VOTE NO เพื่อสั่งสอนนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านก็กำลังมาแรงเช่นกัน และที่สำคัญคือ เป็นการ VOTE NO เพื่อสั่งสอนพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามเดิมเกมการเมืองด้วยวิชาก้นหีบเก่าๆ ว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบีบบังคับให้ประชาชนที่ไม่ต้องการเลือกพรรคเพื่อไทยที่มีนช.ทักษิณเป็นเจ้าของไปลงคะแนนเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งนี้ การ VOTE NOคือการแสดงสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนสามารถนำพาตัวเองให้หลุดพ้นจากกับดักของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดี
และการ VOTE NO คือการประกาศเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชนให้บรรดานักการเมืองได้รับรู้ว่า พวกเขาไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป เพราะพวกเขาไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้กับประเทศชาติ