ASTVผู้จัดการรายวัน-"ประยุทธ์"รับใบสั่ง"เทือก" ออกทีวีช่อง 5,7 อย่าเลือกนักการเมืองเลว ล้มสถาบันฯ ชี้ชัดหมิ่นสถาบันฯ โยงนอกประเทศ พร้อมโวยไม่เป็นธรรมโจมตีทหาร แจงยิบภารกิจชุด 315 ไม่เกี่ยวเลือกตั้ง
เมื่อเวลา 14.00 น.วานนี้ (14มิ.ย.) หลังการประชุม ครม. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.โดยใช้เวลาหารือประมาณ 40 นาที จึงกลับเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.)
โดยการเข้ามาพบผบ.ทบ.ของนายสุเทพครั้งนี้ แจ้งรหัสวิทยุสื่อสาร (ว.) ว่า เป็น วีไอพี ทบ.1 เข้าพบ ไม่ได้ใช้รหัส ว.ว่า เป็น สร. 2 ซึ่งหมายถึงรองนายกรัฐมนตรี เหมือนปกติ
ต่อจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้อัดเทปรายการสัมภาษณ์พิเศษ ชี้แจงบทบาทของกองทัพ ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อนำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และ ช่อง 7
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในบทสัมภาษณ์พิเศษตอนหนึ่งว่า ความเข้าใจทั้งในและนอกกองทัพเป็นสิ่งสำคัญ ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า จากสถานการณ์ภายนอกได้เข้ามากดดันกองทัพหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง การทหาร แม้กระทั่งจัดตั้งรัฐบาล หรือเรื่องการทำงานตามภารกิจต่างๆ ของกองทัพที่ถูกกล่าวไปในทางที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจขึ้นได้
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีภัยคุกคามมาก กองทัพบกจึงจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ในเรื่องการป้องกันยาเสพติด ในปัจจุบันจากการพิสูจน์ทราบของปปส. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า มีการแพร่หลายยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน 35 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เราต้องมีการทำงานร่วมกัน เรียกว่า ชุดปฏิบัติการพิเศษ 315 ซึ่ง เป็นการร่วมมือระหว่างปปส. ทหาร และตำรวจ ซึ่งเดิมเป็นความริเริ่มของรัฐบาล และของปปส. ซึ่งเริ่มคุยตั้งแต่เดือนเม.ย. ในการแก้ปัญหาเราจึงนำกำลังไปช่วยตำรวจ และปปส. เพราะกำลังเขาไม่พอเพียง โดยการที่ทหารลงมา มีการแต่งตั้งเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับปราบปราม เราจัดทำฐานข้อมูล ระบบการป้องกัน สร้างความเข้มแข็งให้สังคม ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ตอบสนองว่า เขาพอใจกับผลงาน ซึ่งทหารเข้าไปพบปะพูดคุยอย่างนิ่มนวล ไม่ เคยไปข่มขู่ใครทั้งสิ้น ไม่ได้ไปดูว่า พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่หัวคะแนนของใครทั้งสิ้น เราไม่ต้องการต่อต้านอะไรทั้งสิ้น ท่านจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าทำผิดกฎหมายเท่านั้น
“เราจะสนับสนุนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ พยายามให้ประเทศผ่านพ้นห้วงเวลาที่ไม่สงบสุขไปได้ สิ่งที่ผมห่วง คือเรื่องสื่อ เพราะเป็นสิ่งสำคัญทำให้ประชาชนรับรู้ความเป็นไปของบ้านเมือง แต่ปัจจุบันมีผลกระทบมากต่อสังคมและประชาชนมาก เพราะบางทีประชาชนถูกชักจูงไป โดยกลุ่มคนบางประเภทที่ปรารถนาไม่ดี และตอบสนองกลับมาทำให้กองทัพมีปัญหากับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ เรื่อง 315 สื่อต้องช่วยประเทศผ่านวิกฤติให้ได้
ปัจจุบันเรามีทั้งสื่อในระบบ และสื่อนอกระบบ คือสื่อที่รับจากดาวเทียมออกอากาศ ทำให้เกิดความแตกแยกหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ ถ้าต้องการให้ประเทศชาติปรองดอง คิดว่าสื่อทั้ง 2 ฝ่าย ต้องเลิก ต้องหยุดได้แล้ว สื่อบางสื่อทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น ไม่ว่า อันไหนถูกหรือผิด แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างบอกว่า ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใครก็ไม่น่าจะออกอากาศในตอนนี้ ที่ผ่านมาทำให้ประชาชนเป็นสองฝ่ายมาตลอด" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ต้องไม่มีฝักไม่มีฝ่ายได้แล้ว ไม่ใช่ว่า เป็นทหารแล้วมีอำนาจบาตรใหญ่ มาห้ามสื่อ ผมคิดว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องดูแลหรือเปล่าไม่รู้ บางวันเวลาไม่เป็นธรรมกับตนและกองทัพ ตนไม่ให้ความสนใจ แต่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งเขาฟังอยู่ ตนเคยได้รับโทรศัพท์จากต่างประเทศ ตำหนิว่า ตนปกป้องดินแดนไม่ได้ ทำร้ายประชาชน ซึ่งตนพยายามอธิบาย แต่ท่านไม่เข้าใจ เพราะท่านฟังมาจาก 2 สื่อที่ว่ามา ตนว่านี่อันตราย แล้วเราจะอยู่อย่างนี้ต่อไปหรือ สังคมต้องดู และลงความเห็นว่า จะปล่อยให้มีสื่ออย่างนี้ต่อไปหรือไม่ ทั้ง 2 สื่อ รู้ว่า ถ้าพูดอย่งนี้ต้องมีคนมาโจมตีแน่นอน แต่ไม่เป็นไร ตนยอมอยู่แล้ว 6 เดือนนี้กับก่อนหน้านี้ มันคนละเรื่อง แต่ทั้งหมดยืนหยัดด้วยกฎหมาย ท่านผิดหรือถูก ก็มาต่อสู้ตามกระบวนการตามกฎหมาย แต่จะบอกว่า กลไกไม่ถูกไม่ได้ เพราะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ใครผิด ใครถูกก็สู้กันไป ละเมิดไม่ได้ ขอร้องประชาชนเรื่องการรักษากฎกติกาของบ้านเมือง
ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ในฐานะเราเป็นเจ้าหน้าที่ เราเสียใจที่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ไม่ควรจะเกิดแม้แต่คนเดียว ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว ต้องว่ากันไปตามกฎหมายว่า ใครผิดหรือถูก ถ้าโยนกันไปกันมาไม่ได้ การแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองด้วยการออกมาเลือกตั้งเป็นสิ่งสำคัญ และต้องเลือกเลือกคนดีเข้า การที่มีคุณธรรมสำคัญ คือรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี อะไรถูก อะไรผิด และสร้างจริยธรรมของท่านขึ้นมาในองค์กรของท่าน ที่ผ่านมาเราเสียใจ และจะพยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก
"จากการติดตามของฝ่ายความมั่นคงเห็นว่า มีการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันฯ มากขึ้น ในเรื่องนักวิชาการในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันฯ คิดว่า มีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2475 ในวิธีการตามปกติของประชาธิปไตย แน่นอนต้องมีคนกลุ่มหนึ่งต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้ไม่ปกติที่ทหารต้องออกมาเคลื่อนไหวบ้าง ไม่ใช่ว่า ทหารจะผูกขาดจงรักภักดี สถาบันฯ ทรงมีคุณประโยชน์ต่อแผ่นดิน ประเทศไทยเป็นประเทศทุกวันนี้เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ พระองค์ไม่เคยลงไปเกี่ยวข้องอะไรที่ไม่ใช่พระราชกิจของท่าน ถึงวันนี้ท่านทรงทำงานมากว่า 60 ปี วันนี้พระองค์น่าจะทรงพักผ่อนด้วยความสบายพระราชหฤทัย เห็นความมั่นคงของประชาชน แต่มีคนบางกลุ่มไม่ปกติ โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง ที่มีการกระทำผิดกฎหมายมากขึ้น โดยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับกลุ่มคนที่อยู่ต่างประเทศทั้งสิ้น เช่น นายใจ อึ๊งภากรณ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข ที่พยายามทำให้สถาบันฯ เสียหาย เกี่ยวพันยึดโยงกับคนอีกหลายกลุ่ม ซึ่งเรายอมไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกคนต้องช่วยกันดูแลพระองค์ท่าน ท่านไม่เคยเรียกร้องความเข้าใจจากใคร ท่านไม่เคยตอบคำถามใครได้ สิ่งกล่าวอ้างทั้งหมดไม่เป็นธรรม ไม่สุภาพด้วยประการทั้งปวง สังคมต้องดูว่า เกิดจากที่ไหนอย่างไร เกี่ยวพันกับเรื่องอะไร ทำไมถึงมากขึ้นทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค หรือสื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณาระดมมากขึ้นในช่วงเลือกตั้ง สถาบันฯ ไม่เคยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ไม่อยากให้คนไปละเมิดท่าน กฎหมาย มาตรา 112 ก็มีคนจะล้มเลิก คิดว่าไม่ใช่เรื่อง ถ้าท่านไม่ไปยุ่งหรือละเมิดว่ากล่าว สถาบันฯ ท่านจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ที่ผ่านมาท่านประสงค์ไม่ให้ดำเนินคดี แต่สิ่งที่ท่านทรงพระเมตตา กลับทำให้คนเหล่านี้ได้ใจว่า ยังไงก็ไม่โดน ซึ่งคนดีส่วนใหญ่ไม่ยอม และพอเจ้าหน้าที่ทำงาน กลับต่อต้าน มาตรา 112 ฝากคำถามนี้ให้สังคมไปแก้ด้วย
สุดท้ายขอให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าช่วยไปเลือกตั้งทราบว่า มียอดผู้มีสิทธิ์ 30-40 ล้านออกมาเลือกตั้ง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หากท่านปล่อยให้การเลือกตั้งเป็นเหมือนเดิมๆ เราก็ได้อะไรแบบเดิมๆ ตลอด อยากฝากให้ทุกตนเลือกตั้งใช้สติ มีเหตุผล รู้จักคิดว่า ทำอย่างไรบ้านเมือง สถาบันฯ จึงจะปลอดภัย ทำอย่างไรคนดีจึงจะได้มาบริหารชาติบ้านเมือง ประชาชนอย่าให้คนเขาดูถูกว่า ท่านชักจูงง่าย โดยไม่ได้ดูว่าคนนั้นดีหรือไม่ มีคุณธรรมหรือไม่ เขาทำผิดกฎหมายหรือไม่ ตนบอกว่ากริยาที่นักการเมืองบางท่านใช้ ไม่เหมาะสม แล้วจะเลือกเขาเข้าไปทำไม เลือกคนที่ดี คนที่สุภาพ ตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเข้าไปทำงานแล้วก็กัน
เมื่อเวลา 14.00 น.วานนี้ (14มิ.ย.) หลังการประชุม ครม. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.โดยใช้เวลาหารือประมาณ 40 นาที จึงกลับเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.)
โดยการเข้ามาพบผบ.ทบ.ของนายสุเทพครั้งนี้ แจ้งรหัสวิทยุสื่อสาร (ว.) ว่า เป็น วีไอพี ทบ.1 เข้าพบ ไม่ได้ใช้รหัส ว.ว่า เป็น สร. 2 ซึ่งหมายถึงรองนายกรัฐมนตรี เหมือนปกติ
ต่อจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้อัดเทปรายการสัมภาษณ์พิเศษ ชี้แจงบทบาทของกองทัพ ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อนำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และ ช่อง 7
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในบทสัมภาษณ์พิเศษตอนหนึ่งว่า ความเข้าใจทั้งในและนอกกองทัพเป็นสิ่งสำคัญ ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า จากสถานการณ์ภายนอกได้เข้ามากดดันกองทัพหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง การทหาร แม้กระทั่งจัดตั้งรัฐบาล หรือเรื่องการทำงานตามภารกิจต่างๆ ของกองทัพที่ถูกกล่าวไปในทางที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจขึ้นได้
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีภัยคุกคามมาก กองทัพบกจึงจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ในเรื่องการป้องกันยาเสพติด ในปัจจุบันจากการพิสูจน์ทราบของปปส. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า มีการแพร่หลายยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน 35 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เราต้องมีการทำงานร่วมกัน เรียกว่า ชุดปฏิบัติการพิเศษ 315 ซึ่ง เป็นการร่วมมือระหว่างปปส. ทหาร และตำรวจ ซึ่งเดิมเป็นความริเริ่มของรัฐบาล และของปปส. ซึ่งเริ่มคุยตั้งแต่เดือนเม.ย. ในการแก้ปัญหาเราจึงนำกำลังไปช่วยตำรวจ และปปส. เพราะกำลังเขาไม่พอเพียง โดยการที่ทหารลงมา มีการแต่งตั้งเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับปราบปราม เราจัดทำฐานข้อมูล ระบบการป้องกัน สร้างความเข้มแข็งให้สังคม ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ตอบสนองว่า เขาพอใจกับผลงาน ซึ่งทหารเข้าไปพบปะพูดคุยอย่างนิ่มนวล ไม่ เคยไปข่มขู่ใครทั้งสิ้น ไม่ได้ไปดูว่า พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่หัวคะแนนของใครทั้งสิ้น เราไม่ต้องการต่อต้านอะไรทั้งสิ้น ท่านจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าทำผิดกฎหมายเท่านั้น
“เราจะสนับสนุนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ พยายามให้ประเทศผ่านพ้นห้วงเวลาที่ไม่สงบสุขไปได้ สิ่งที่ผมห่วง คือเรื่องสื่อ เพราะเป็นสิ่งสำคัญทำให้ประชาชนรับรู้ความเป็นไปของบ้านเมือง แต่ปัจจุบันมีผลกระทบมากต่อสังคมและประชาชนมาก เพราะบางทีประชาชนถูกชักจูงไป โดยกลุ่มคนบางประเภทที่ปรารถนาไม่ดี และตอบสนองกลับมาทำให้กองทัพมีปัญหากับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ เรื่อง 315 สื่อต้องช่วยประเทศผ่านวิกฤติให้ได้
ปัจจุบันเรามีทั้งสื่อในระบบ และสื่อนอกระบบ คือสื่อที่รับจากดาวเทียมออกอากาศ ทำให้เกิดความแตกแยกหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ ถ้าต้องการให้ประเทศชาติปรองดอง คิดว่าสื่อทั้ง 2 ฝ่าย ต้องเลิก ต้องหยุดได้แล้ว สื่อบางสื่อทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น ไม่ว่า อันไหนถูกหรือผิด แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างบอกว่า ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใครก็ไม่น่าจะออกอากาศในตอนนี้ ที่ผ่านมาทำให้ประชาชนเป็นสองฝ่ายมาตลอด" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ต้องไม่มีฝักไม่มีฝ่ายได้แล้ว ไม่ใช่ว่า เป็นทหารแล้วมีอำนาจบาตรใหญ่ มาห้ามสื่อ ผมคิดว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องดูแลหรือเปล่าไม่รู้ บางวันเวลาไม่เป็นธรรมกับตนและกองทัพ ตนไม่ให้ความสนใจ แต่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งเขาฟังอยู่ ตนเคยได้รับโทรศัพท์จากต่างประเทศ ตำหนิว่า ตนปกป้องดินแดนไม่ได้ ทำร้ายประชาชน ซึ่งตนพยายามอธิบาย แต่ท่านไม่เข้าใจ เพราะท่านฟังมาจาก 2 สื่อที่ว่ามา ตนว่านี่อันตราย แล้วเราจะอยู่อย่างนี้ต่อไปหรือ สังคมต้องดู และลงความเห็นว่า จะปล่อยให้มีสื่ออย่างนี้ต่อไปหรือไม่ ทั้ง 2 สื่อ รู้ว่า ถ้าพูดอย่งนี้ต้องมีคนมาโจมตีแน่นอน แต่ไม่เป็นไร ตนยอมอยู่แล้ว 6 เดือนนี้กับก่อนหน้านี้ มันคนละเรื่อง แต่ทั้งหมดยืนหยัดด้วยกฎหมาย ท่านผิดหรือถูก ก็มาต่อสู้ตามกระบวนการตามกฎหมาย แต่จะบอกว่า กลไกไม่ถูกไม่ได้ เพราะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ใครผิด ใครถูกก็สู้กันไป ละเมิดไม่ได้ ขอร้องประชาชนเรื่องการรักษากฎกติกาของบ้านเมือง
ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ในฐานะเราเป็นเจ้าหน้าที่ เราเสียใจที่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ไม่ควรจะเกิดแม้แต่คนเดียว ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว ต้องว่ากันไปตามกฎหมายว่า ใครผิดหรือถูก ถ้าโยนกันไปกันมาไม่ได้ การแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองด้วยการออกมาเลือกตั้งเป็นสิ่งสำคัญ และต้องเลือกเลือกคนดีเข้า การที่มีคุณธรรมสำคัญ คือรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี อะไรถูก อะไรผิด และสร้างจริยธรรมของท่านขึ้นมาในองค์กรของท่าน ที่ผ่านมาเราเสียใจ และจะพยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก
"จากการติดตามของฝ่ายความมั่นคงเห็นว่า มีการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันฯ มากขึ้น ในเรื่องนักวิชาการในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันฯ คิดว่า มีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2475 ในวิธีการตามปกติของประชาธิปไตย แน่นอนต้องมีคนกลุ่มหนึ่งต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้ไม่ปกติที่ทหารต้องออกมาเคลื่อนไหวบ้าง ไม่ใช่ว่า ทหารจะผูกขาดจงรักภักดี สถาบันฯ ทรงมีคุณประโยชน์ต่อแผ่นดิน ประเทศไทยเป็นประเทศทุกวันนี้เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ พระองค์ไม่เคยลงไปเกี่ยวข้องอะไรที่ไม่ใช่พระราชกิจของท่าน ถึงวันนี้ท่านทรงทำงานมากว่า 60 ปี วันนี้พระองค์น่าจะทรงพักผ่อนด้วยความสบายพระราชหฤทัย เห็นความมั่นคงของประชาชน แต่มีคนบางกลุ่มไม่ปกติ โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง ที่มีการกระทำผิดกฎหมายมากขึ้น โดยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับกลุ่มคนที่อยู่ต่างประเทศทั้งสิ้น เช่น นายใจ อึ๊งภากรณ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข ที่พยายามทำให้สถาบันฯ เสียหาย เกี่ยวพันยึดโยงกับคนอีกหลายกลุ่ม ซึ่งเรายอมไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกคนต้องช่วยกันดูแลพระองค์ท่าน ท่านไม่เคยเรียกร้องความเข้าใจจากใคร ท่านไม่เคยตอบคำถามใครได้ สิ่งกล่าวอ้างทั้งหมดไม่เป็นธรรม ไม่สุภาพด้วยประการทั้งปวง สังคมต้องดูว่า เกิดจากที่ไหนอย่างไร เกี่ยวพันกับเรื่องอะไร ทำไมถึงมากขึ้นทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค หรือสื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณาระดมมากขึ้นในช่วงเลือกตั้ง สถาบันฯ ไม่เคยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ไม่อยากให้คนไปละเมิดท่าน กฎหมาย มาตรา 112 ก็มีคนจะล้มเลิก คิดว่าไม่ใช่เรื่อง ถ้าท่านไม่ไปยุ่งหรือละเมิดว่ากล่าว สถาบันฯ ท่านจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ที่ผ่านมาท่านประสงค์ไม่ให้ดำเนินคดี แต่สิ่งที่ท่านทรงพระเมตตา กลับทำให้คนเหล่านี้ได้ใจว่า ยังไงก็ไม่โดน ซึ่งคนดีส่วนใหญ่ไม่ยอม และพอเจ้าหน้าที่ทำงาน กลับต่อต้าน มาตรา 112 ฝากคำถามนี้ให้สังคมไปแก้ด้วย
สุดท้ายขอให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าช่วยไปเลือกตั้งทราบว่า มียอดผู้มีสิทธิ์ 30-40 ล้านออกมาเลือกตั้ง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หากท่านปล่อยให้การเลือกตั้งเป็นเหมือนเดิมๆ เราก็ได้อะไรแบบเดิมๆ ตลอด อยากฝากให้ทุกตนเลือกตั้งใช้สติ มีเหตุผล รู้จักคิดว่า ทำอย่างไรบ้านเมือง สถาบันฯ จึงจะปลอดภัย ทำอย่างไรคนดีจึงจะได้มาบริหารชาติบ้านเมือง ประชาชนอย่าให้คนเขาดูถูกว่า ท่านชักจูงง่าย โดยไม่ได้ดูว่าคนนั้นดีหรือไม่ มีคุณธรรมหรือไม่ เขาทำผิดกฎหมายหรือไม่ ตนบอกว่ากริยาที่นักการเมืองบางท่านใช้ ไม่เหมาะสม แล้วจะเลือกเขาเข้าไปทำไม เลือกคนที่ดี คนที่สุภาพ ตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเข้าไปทำงานแล้วก็กัน
